วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

เบื้องต้นก็ละได้ 3 ข้อ

“เบื้องต้นก็ละได้สามข้อ” 

พระโสดาบันนี้เป็นผู้ที่สามารถปฏิบัติธรรมขั้นสูงได้ คือขั้นปัญญาหรือวิปัสสนา ที่จะละสังโยชน์สามข้อด้วยกัน คือสักกายทิฐิ การถือว่าขันธ์ ๕ คือร่างกาย หรือชีวิตจิตใจของเรานี้เอง เป็นตัวเราของเรา แล้วก็ละความสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ละในเรื่องของศีลธรรม และเรื่องกฎแห่งกรรม ละความสงสัยความลูบคลำในกฎแห่งกรรมได้ เรียกว่า สีลัพพตปรามาส แปลตรงตัวว่าการลูบคลำศีล ศีลธรรมก็คือกฏแห่งกรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ทำดีแล้วได้ความสุข ทำชั่วแล้วได้ความทุกข์ แต่สังโยชน์ทั้งสามนี้มันมักจะไปเป็นพวง 

ข้อที่เราต้องละให้ได้ก็คือ สักกายทิฐิ และเราก็จะได้ทั้งสีลัพพตปรามาสและวิจิกิจฉาไปในตัวด้วย มันมาด้วยกัน แต่ก่อนอื่นที่เราจะไปถึงขั้นสูงนี้ได้ คือธรรมขั้นสูงคือขั้นปัญญานี้ มันก็เหมือนกับการเรียนหนังสือ ถ้าเรายังไม่ได้ผ่านขั้นต่ำขึ้นไป แล้วจะไปเรียนขั้นอุดมศึกษานี้ก็คงจะยาก คนที่ไม่เคยเรียนหนังสือเลย ไม่เคยเข้าชั้นประถมมัธยม ไม่ผ่านชั้นประถมมัธยมแล้วก็จะไปเรียนมหาลัยเลยนี้ คงจะเป็นไปได้ยาก งั้นก็ต้องมีพื้นฐานก่อนในการที่จะสนับสนุนทำเทียร์ (Tier) ที่ต้องปฏิบัติธรรมขั้นสูงนี้ ทางศาสนาก็เหมือนกัน ใครเรียนทางศาสนา เรียนทางธรรมก็เหมือนเรียนทางโลก ก็มีขั้นมีตอน มีชั้นมีอะไรต่างๆ ทางโลกเราก็เริ่มตั้งแต่ สมัยก่อนไม่มีอนุบาลก็มีแค่ชั้นประถม สมัยนี้เพิ่มอนุบาลเข้าไปอีก คือต้องเรียนความรู้ขั้นพื้นฐานก่อน ที่จะไปสู่ขั้นสูงได้ ทางธรรมก็เหมือนกัน ก็ต้องเรียนรู้และปฏิบัติขั้นพื้นฐานให้ได้ก่อน เพราะว่าสิ่งที่จะเป็นพระโสดาบันนี้จะต้องทำในสิ่งที่ยาก และต้องหัดทำตั้งแต่ขั้นที่ง่ายขึ้นไปก่อน เพราะการละสักกายทิฐิก็คือละชีวิตของเรานี่แหละ ร่างกายของเรา ไม่ยึดไม่ติดปล่อยวาง ยิ่งตอนที่เราจะละของยากได้นี้เราต้องไปละของง่ายก่อน ที่เรามีอยู่ในตอนนี้ ของที่เรามีอยู่ในตอนนี้ ที่เราควรจะละก่อนก็คือทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง เราต้องไม่หวงไม่ตระหนี่ ไม่โลภไม่อยากได้ มีไว้เพียงแต่เพื่อใช้ในกิจที่จำเป็น ก็คือการเลี้ยงชีพเลี้ยงร่างกายนี้ไปเท่านั้นเอง 

งั้นถ้าเรามีเงินมากกว่า เหลือจากการเลี้ยงชีพ เราก็ควรที่จะแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นไปละมันไป ถ้าเก็บไว้ก็แสดงว่ายังหวงอยู่ ถ้าไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้ เราก็ต้องรู้ว่าเราต้องใช้เท่าไหร่ที่จำเป็น จำเป็นแค่ปัจจัย ๔ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อันนี้เราต้องมีพอเพียง ถ้ามีพอเพียงแล้วยังมีเงินเหลืออยู่ อันนี้แหละ ต้องเอาไปสละทำทานบริจาค จาคะ แล้วก็ลดการหาเงิน ไม่ให้มันมากกว่าเท่าที่เราต้องการ เพราะว่าหามาได้มากกว่าเกินจำเป็น เราก็ต้องเอาไปทำบุญทำทานอยู่ดี แล้วเราจะไปทำงานหาเงินมาให้เสียเวลาทำไม นี่ขั้นทานนี้ก็คือเรื่องของการที่เราจะต้องลดละของที่มันง่ายก่อน คือทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง เเล้วก็ไม่เอาเวลาไปแสวงหาทรัพย์สมบัติเงินทองมา นอกจากถ้ามันไม่พอเพียงต่อการดำรงชีพ นี่ก็จำเป็น ก็ไปหา แต่ถ้าสมมุติว่าเรามีรายได้มากกว่ารายจ่าย เราสามารถแบ่งปันได้ เราก็ควรที่จะแบ่งปันไป คือถ้าเราอยากจะเอาเวลาให้กับการปฏิบัติมากขึ้น เราก็เอาเงินที่เราเหลือกินเหลือใช้นี้มาเป็นเงินสำรอง เพราะเราจะได้ไม่ต้องหาเงิน ไม่ต้องไปทำงานหาเงิน เพื่อเราจะได้เอาเวลาของการหาเงินหาทองนี้มาหาธรรม เบื้องต้นนี้ ต้องตัดเรื่องความโลภ ความอยากได้เงินทอง ความอยากร่ำอยากรวย แล้วก็ถ้ารวยก็อย่าห่วงทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ต้องสละไปเพราะว่าสิ่งที่ต้องสละมากกว่านี้ก็คือชีวิตของเรา ร่างกายของเราเอง ถ้าเรายังสละของภายนอกไม่ได้ แล้วเราจะไปสละร่างกาย ชีวิตของเราได้อย่างไร งั้นเบื้องต้นพระพุทธเจ้าถึงสอนให้ทำทานก่อนสำหรับผู้ที่ยังยุ่งเกี่ยวกับการเงินการทองอยู่ ให้มีไว้เพียงพอสำหรับการเลี้ยงดูอัตภาพร่างกายคือปัจจัย ๔ ก็พอ เพื่อจะได้ลดการหาเงินการหาทองลงไป แล้วก็ลดความหวงความตระหนี่ในทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้ จะได้มีเวลาไปปฏิบัติธรรมได้นั่นเอง เบื้องต้นต้องสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองส่วนเกินไปให้ได้ก่อน ไม่หวงไม่เก็บเอาไว้ ให้เก็บเอาไว้เท่าที่จำเป็นสำหรับการเลี้ยงดูร่างกายนี้ นี่คือสิ่งแรกที่เราต้องสละ 

แล้วขั้นที่สอง เราก็ต้องสละการกระทำบาปเพราะพระโสดาบันจะไม่ทำบาปแน่นอน พระอริยบุคคลทุกคน เราก็ต้องซ้อมไว้ก่อน ไม่ใช่อยู่ดีๆยังทำบาปอยู่แล้วจะไปเป็นพระโสดาบันได้ยังไง พระโสดาบันนี้ไม่ทำบาป รักษาศีลมากกว่าชีวิตของตน นี่คืออันที่สองก็ต้องไม่ทำบาป รักษาศีล ๕ ให้ได้อย่างมั่นคง 

แล้วทีนี้ก็ต้องไปละขั้นต่อไปก็คือละกามฉันทะ ละการยินดีหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะว่าต่อไปเราจะสละร่างกายแล้ว เราจะไม่ใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุข เราจะไม่ใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย หาความสุขกัน เราก็ต้องเลิกหาความสุขทางกามคือกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ด้วยการเจริญศีล ๘ หรือเนกขัมมะ ถึงจะได้มีเวลามาปฏิบัติการภาวนาขั้นที่หนึ่งก่อน คือขั้นสมาธิหรือขั้นสมถภาวนา เพราะก่อนที่จะไปวิปัสสนาภาวนาหรือขั้นปัญญาได้นี้ ต้องมีสมถภาวนาเป็นเครื่องมือเป็นขั้นบันได เป็นผู้สนับสนุนให้ก้าวขึ้นสู่ขั้นที่สูงต่อไปได้ ถ้ายังไม่มีสมถภาวนา จิตยังไม่รวมเป็นอัปปนาสมาธิ จิตยังไม่มีอุเบกขานี้ ยังไม่มีกำลังที่จะไปต่อสู้กับกิเลสหรือสังโยชน์ที่หลอกให้จิตนี้ยึดติดกับร่างกายว่าเป็นตัวเราของเราได้ แต่ถ้ามีอุเบกขา มีจิตวางเฉยได้ก็จะมีกำลัง ถ้าปัญญาชี้ให้เห็นว่า ร่างกายนี้ความจริงไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา เป็นของดินน้ำลมไฟ ยืมมาจากดินน้ำลมไฟ แล้วก็ต้องคืนให้ดินน้ำลมไฟไปในที่สุด ถ้าไม่มีอุเบกขาจะยึดจะติดจะปล่อยวางไม่ได้ งั้นต้องผ่านสมถะก่อน มันจะได้สมถะก็ต้องเจริญสติ ต้องมีศีล ๘ เป็นผู้สนับสนุน จะได้มีเวลาเจริญศีล ๘ ได้ ปฏิบัติธรรมได้ เจริญสมถภาวนาได้ พอได้สมถะแล้ว ได้อุเบกขาทั้งขณะที่เข้าในสมาธิและขณะที่ออกมา เบื้องต้นนี้ถ้าเราได้สมถะได้สมาธิเพียงเล็กน้อยนี้ เวลาออกจากสมาธิมา อุเบกขาที่ได้ก็จะหมดไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราต้องกลับไปสมาธิให้บ่อยๆให้มากๆ เพื่อที่จะได้มีอุเบกขาอยู่กับใจนานๆ เวลาออกจากสมาธิมา ถ้าเมื่ออุเบกขาใกล้จะหมดก็ต้องกลับเข้าไปในสมาธิใหม่ เพื่อรักษาอุเบกขาให้มีมากๆ เวลาออกจากสมาธิ เพราะเวลาออกจากสมาธิ เราจะได้ใช้อุเบกขานี้มาละสังโยชน์ต่างๆได้ด้วยปัญญา ที่จะสอนให้เห็นว่าสังโยชน์คือสิ่งต่างๆ ที่เรายึดที่เราติดเป็นทุกข์ มันไม่เที่ยง ขันธ์ ๕ นี้มันไม่เที่ยง ร่างกายของเรา ความรู้สึกนึกคิดของเรามันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวเรา มันไม่มีตัวตน มันเป็นธรรมชาติ เป็นภาวะธรรมชาติที่เกิดแล้วดับตามเหตุตามปัจจัยที่ไม่มีใครไปสามารถควบคุมบังคับมันได้ ร่างกายมันก็มีเหตุมีปัจจัยทำให้มันเกิด และก็มีเหตุมีปัจจัยทำให้มันแก่ ให้มันเจ็บ ให้มันตาย เราสอนจิตพื่อให้ปล่อยวาง ให้ยอมรับกับสภาพของความเป็นจริงของร่างกายและจิตใจ ว่าร่างกายนี้จะต้องแก่ จะต้องตาย แล้วก็จะเกิดเวทนาเกิดความทุกข์ขึ้นมาให้ใจได้สัมผัสรับรู้ ซึ่งเวทนาก็มีอยู่สาม ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มีสุขเวทนา ทุกขเวทนา ไม่สุขไม่ทุกขเวทนา ก็เป็นสภาวะธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะต้องรับให้ได้ ถ้ายังไม่ปฏิบัตินี้จะรับทุกขเวทนากันไม่ได้ พอร่างกายเจ็บหน่อยนี่วิ่งหาหมอกันวุ่นเลย มันมีบางทีบางโรคนี้ไม่ต้องไปทำอะไรมัน เดี๋ยวมันก็หายเอง ปวดตรงนั้นปวดตรงนี้หน่อยเดี๋ยวมันก็หาย พอเหตุที่ทำให้มันปวดมันหมดไปมันก็หายเอง เช่นเดินไปเตะก้อนหินมันก็เจ็บ เดี๋ยวสักพักนึงแรงที่ทำให้ขาเจ็บจากการไปเตะก้อนหินมันก็ค่อยๆ อ่อนไปหมดไป อาการเจ็บมันก็หายไปเองได้แค่นั้นเอง ไม่จำเป็นจะต้องไปหาหมอให้เสียเวลา เพียงแต่ว่าใจร้อนไม่อยากจะทนกับความเจ็บ ต้องไปหาหมอเพราะหมอมักจะมียาวิเศษ มีสเปรย์ฉีดมีอะไรทา ทาแล้วก็ทำให้รู้สึกว่าหายเร็วขึ้น เนี่ยแสดงว่าไม่ปล่อยสักกายทิฐิ ไม่ปล่อยเวทนาไม่ปล่อยร่างกาย ถ้ามีอุเบกขาแล้วก็มีปัญญาสอนให้เรารู้ว่า เวทนาหรือขันธ์ ๕ นี่เป็นธรรมชาติ เหมือนดินฟ้าอากาศ ที่เขาจะแปรปรวนไปตามเวลาของเขา ตามเหตุตามปัจจัยของเขา เราไม่สามารถที่จะไปสั่งให้ธรรมชาติให้ดินฟ้าอากาศนี้เป็นไปตามความต้องการของเราได้ ฝนตกจะไปสั่งให้มันหยุดก็ไม่ได้ ฝนไม่ตกจะสั่งให้มันตกก็ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น เวทนาก็เหมือนกัน เวลาเกิดทุกขเวทนาจะสั่งให้มันหายก็ไม่ได้ จะสั่งให้สุขเวทนามาแทนที่ทุกขเวทนาก็ไม่ได้ มันมีเหตุมีปัจจัยทำให้มันเกิดและพาให้มันเป็น และทำให้มันดับไป เราผู้ที่มาสัมผัสรับรู้คือใจนี้ มีหน้าที่เพียงแต่รู้เฉยๆ ถ้าไม่มีอุเบกขาก็อดที่จะไปรักไปชังไม่ได้ ไปกลัวไม่ได้ พอรักชังกลัวก็เลยเกิดตัณหาความอยาก สิ่งไหนที่รักก็อยากจะให้มันอยู่กับเราไปนานๆ สิ่งไหนที่ชังก็อยากจะกำจัดให้มันหายไปเร็วๆ พอทำไม่ได้ก็เกิดความเครียดขึ้นมาเกิดความทุกข์ขึ้นมา 

นี่คือธรรมระดับพระโสดาบัน ต้องละสักกายทิฐิให้ได้ ถ้าละได้แล้วใจมีดวงตาเห็นธรรม จะเห็นว่าสภาวะธรรมทั้งหลายนี้ มีการเกิดแล้วต้องมีการดับเป็นธรรมดา เห็นไตรลักษณ์ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นว่าทุกข์นี้เกิดจากความอยากของใจที่อยากจะไปจัดการกับสภาวะธรรมต่างๆ ให้เป็นไปตามความต้องการของตน จึงทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา พอรู้ว่าถ้าไม่อยากจะทุกข์ก็ต้องปล่อย อย่าไปจัดการกับสภาวะธรรม ปล่อยให้สภาวะธรรมเขาเกิดเขาดับไปตามเรื่องของเขา ใจก็จะไม่ทุกข์ ก็จะเห็นอริยสัจ ๔ เห็นว่าทุกข์เกิดจากความอยากไปจัดการกับสภาวะธรรมที่ไม่สามารถจัดการมันได้ พอเห็นด้วยมรรคว่าสภาวะธรรมนี้เป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เลยปล่อยวาง หยุดด้วยอุเบกขา ปล่อยให้สภาวะธรรมเป็นไปตามสภาพของเขา ร่างกายจะแก่ก็ปล่อยมันแก่ไป ร่างกายจะเจ็บไข้ได้ป่วยก็ปล่อยมันไป ร่างกายจะตายก็ห้ามมันไม่ได้ก็ต้องปล่อยมันไป ความเจ็บความตายของร่างกาย ใจก็จะเห็นอริยสัจ ๔ เห็นทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคที่เกิดขึ้นในใจ ทุกข์เกิดจากความอยากให้สภาวะธรรมเป็นไปตามความต้องการของเรา แต่เป็นไปไม่ได้ ถ้าอยากจะหายทุกข์ก็ต้องปล่อย ปล่อยความอยาก อย่าไปอยากให้สภาวะธรรมเป็นไปตามความอยาก เพราะเห็นด้วยปัญญาเห็นด้วยมรรคว่ามันเป็นไปไม่ได้ สภาวะธรรมเขาเกิดเขาดับไปตามเหตุตามปัจจัยของเขา เขาไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของเรา ก็ปล่อย ปล่อยให้สภาวะธรรมเกิดดับไปตามเรื่องของเขา เมื่อปล่อยด้วยปัญญาด้วยสมาธิด้วยอุเบกขา นิโรธก็เกิดขึ้นมา ทุกข์ก็ดับไป ทุกข์ก็หายไป ทุกข์ในระดับพระโสดาบันก็หายไป ทุกข์ในระดับในขันธ์ ๕ ก็จะหายไป ก็จะไม่สงสัยในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เพราะว่าพระธรรมที่เห็นนี้เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนเอง เห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนก็ไม่สงสัยผู้สอนว่ามีจริงหรือไม่มีจริง แสดงว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ไม่ต้องไปอินเดียไปหาที่ประสูติที่ตรัสรู้ ไปก็ไม่เจอพระพุทธเจ้าอยู่ดี ไปเจอแต่สถานที่ที่เขาบอกว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าอีก เพียงแต่เขาบอกกันมาก็เชื่อกันมา แต่ไม่ได้เห็นตัวพระพุทธเจ้าเหมือนกับเห็นธรรมที่เราได้จากการปฏิบัติ เห็นอริยสัจ ๔ ในใจของเรา ที่เกิดจากความอยากให้สภาวะธรรม คือ ขันธ์ ๕ เป็นไปตามความต้องการของเรา ก็เลยเกิดความทุกข์ขึ้นมา แต่พอเห็นว่าสภาวะธรรมเป็นของที่เราควบคุมบังคับไม่ได้ ต้องปล่อยวางด้วยอุเบกขาด้วยปัญญาก็ปล่อย หยุดความอยากไปควบคุมสภาวะธรรม หยุดสมุทัย ทุกข์ก็จะหายไป นิโรธก็เกิดขึ้นมา เห็นอริยสัจ ๔ อย่างชัดเจนภายในใจ เห็นในใจเห็นตามความเป็นจริง เห็นตามเหตุการณ์จริง จะให้เห็นเหตุการณ์จริงได้ก็ต้องทำให้มันมีต้องไปเจอสภาวะธรรมที่ทำให้เราเกิดความอยากขึ้นมาเช่น ต้องให้ร่างกายมันเจ็บปวด แล้วเราอยากจะให้ความเจ็บปวดหายไป แล้วเราก็จะเห็นความทุกข์ทรมานของใจเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ถ้าร่างกายไม่เจ็บปวด มันก็ไม่เห็น สภาวะความเป็นจริงยังไม่เกิด ผู้ที่ต้องการจะเห็นสภาวะความเป็นจริง บางทีต้องนั่งนานๆ ให้มันเกิดความเจ็บขึ้นมา แล้วก็ใช้ความเจ็บนั้นเป็นอุบายในการที่จะสอนใจให้ดู เพราะตอนนี้ร่างกายเจ็บแล้วใจทุกข์หรือเปล่าหรือใจเฉยๆ ถ้าใจทุกข์ก็แสดงว่ามีสมุทัยมีความอยาก อยากให้ความเจ็บหายไป อยากหนีจากความเจ็บไป อันนี้ก็จะเห็นทุกข์สมุทัย แล้วทำยังไงจะให้ทุกข์ดับไป ก็ต้องพิจารณาเวทนาว่า ความเจ็บว่ามันเป็นสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นของมันเอง แล้วเดี๋ยวมันก็จะดับของมันเอง เราไปควบคุมบังคับมันไม่ได้ มันเป็นอนัตตามันเป็นอนิจจัง ถ้าไม่อยากจะทุกข์ก็ปล่อยให้มันเจ็บไป หัดอยู่กับความเจ็บให้ได้ด้วยอุเบกขา ถ้ามีอุเบกขาก็เฉยได้อยู่กับความเจ็บได้ไม่เดือดร้อน สมุทัยก็หยุดระงับไป นิโรธคือความดับทุกข์ก็เกิดขึ้นมาปรากฏขึ้นมา จิตจะเห็นอริยสัจ ๔ อย่างจริงๆ ของแท้ของจริง เห็นสดๆร้อนๆ เห็นธรรมอย่างสดๆร้อนๆ ก็ไม่สงสัยพระพุทธเจ้าผู้แสดงธรรมนี้ว่ามีจริงหรือไม่จริง แล้วก็ไม่สงสัยในพระอริยสงฆ์ว่ามีจริงหรือไม่มีจริง เพราะผู้ที่มี เห็นธรรมเห็นพระพุทธเจ้าคือพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั่นเอง ก็จะไม่สงสัยในเรื่องพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ว่ามีจริงหรือไม่ แล้วก็ไม่สงสัยเรื่องกฎแห่งกรรมว่า ทุกข์เกิดจากอะไร ทุกข์ก็เกิดจากการกระทำของใจนี่เอง เวลาใจคิดไปในทางที่ไม่ดี คิดไปในทางความอยากก็ทุกข์ หรือถ้าไปทำบาปก็ทำให้ใจทุกข์ขึ้นมา ถ้าไม่ทำบาปไม่ทำตามความอยาก ใจก็สุข ใจก็มีความสุขขึ้นมา ก็จะไม่สงสัยว่าทำไมจะต้องรักษาศีล เพราะการทำบาปนี้จะทำให้จิตใจของตนเองทุกข์ร้อนขึ้นมานั่นเอง ให้ทำแต่บุญทำแต่ความดี แล้วก็จะไม่ให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นมาภายในใจ ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ ให้หมดสิ้นไปจากใจ อันนี้เบื้องต้นก็ละได้สามข้อ พระโสดาบัน .

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม 
วิสัชนาธรรม
วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2568

ให้อภัยในมุมสมอง

การให้อภัยคือการเคารพคุณค่าของตัวเอง

0
“การเกลียดใครสักคน มันเหนื่อยจัง”

อันนี้เป็นประโยคที่ผมบ่นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บ่นให้ตัวเองฟังบน หน้ากระจกในห้องน้ำบนเครื่องบิน เที่ยวบินที่บินจากกรุงเทพไปมานิลา เพื่อร่วมงานหนังสือนานาชาติที่นั่น 

และพอกลับมานั่งที่ก็เลยคิดว่าไหนๆก็ไม่มีอะไรทำ นั่งอยู่อีกตั้ง 3 ชั่วโมงกว่าถึงจะไปถึงที่นู่น ก็เขียนบทความเกี่ยวกับ การเกลียด vs การให้อภัยอีกครั้งดีกว่า (เพราะถ้าจำได้ผมเคยเขียนไปแล้ว แต่วันนี้ขอเขียนแบบ reframe ก็แล้วกัน) 


1
การให้อภัย ไม่ใช่การทำดีกับเขา 

เรามักถูกสอนให้เชื่อว่า “การให้อภัยคือการยกโทษให้เขา” เหมือนกับว่าเรากำลังทำความดีครั้งใหญ่ต่ออีกฝ่าย 

แต่หากลองมองลึกเข้าไปในกลไกสมอง จะเห็นว่าความจริงแล้ว การให้อภัยไม่ใช่เรื่องของเขาเลย หากแต่เป็นเรื่องของเรา มันคือเรื่องของการปกป้องพลังชีวิตและเวลาที่มีจำกัดของเราไม่ให้ถูกเผาผลาญไปกับความโกรธ

“การเกลียดใครสักคน มันเหนื่อยจัง” คำพูดนี้ของผม จึงไม่ใช่เพียงความรู้สึก แต่คือข้อเท็จจริงทางชีววิทยา สมองของเราต้องทำงานหนักทุกครั้งที่เกลียดใคร เหนื่อยแบบที่เราอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเพราะความเกลียดมันเผาผลาญพลังงานสมองเรา 


2
ความเกลียดที่เผาผลาญสมองเรา

สมองส่วน amygdala เป็นด่านแรกที่ตอบสนองเมื่อเรานึกถึงใครบางคนที่เราเกลียด 

Amygdala มันคอยตีความสิ่งนั้นเป็นภัยคุกคาม และส่งสัญญาณไปทั่ววงจร limbic system ร่างกายเราถูกกระตุ้นเหมือนต้องสู้หรือหนี ทั้งที่ไม่มีศัตรูอยู่ตรงหน้า หัวใจเต้นแรง กล้ามเนื้อเกร็ง ความดันขึ้น เหมือนกับว่าทุกครั้งที่เราคิดถึงเขา เรากำลังจำลองการต่อสู้ขึ้นมาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

นอกเหนือจาก Amygdala นะครับในปี 2008 คุณ Zeki และ Romaya (2008) ทำการวิจัยโดยใช้ fMRI ศึกษาคนที่นึกถึงบุคคลที่เกลียด ผลคือพวกเขาพบว่าสมองส่วน medial frontal gyrus และ insula ถูกกระตุ้นชัดเจน 

ซึ่งทั้งสองพื้นที่นี้เกี่ยวข้องกับการประเมินภัยและการรับรู้ความไม่พอใจ แปลว่าเพียงแค่ “นึกถึง” ความเกลียด สมองเราก็เผาผลาญพลังงานทางอารมณ์อย่างมหาศาลแล้ว และไม่เพียงเท่านั้น สมองส่วน prefrontal cortex (PFC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางเหตุผล ก็ต้องทำงานหนักเพื่อกดอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา 

ผลลัพธ์คือความเหนื่อยล้าสะสมอยู่ภายในสมองของเราครับ 
ย้ำอีกทีว่าความเหนื่อยล้าสะสมอยู่ในสมองของเรา
โดยที่อีกฝ่ายอาจไม่รู้สึกอะไรเลยครับ 
มีเพียงเราเท่านั้นที่เสียพลังงานไปกับการเกลียด


3
สมองตอนให้อภัย = สมองตอนให้คุณค่าตัวเอง

แล้วทำไมบางครั้งเรากลับเลือกจะให้อภัย?คำตอบคือเพราะสมองเรามีวงจรอีกแบบหนึ่ง ที่ทำงานเพื่อปกป้องเราเอง ไม่ใช่เพื่อยกโทษให้เขา

งานวิจัยของ Strang และคณะ (2014) พบว่า เมื่ออาสาสมัครผู้เข้าร่วมถูกทำให้เสียประโยชน์ แต่ได้รับคำขอโทษก่อน แล้วตัดสินใจให้อภัย สมองส่วน angular gyrus ทำงานเด่นชัดขึ้น สมองส่วนนี้คือบริเวณที่เชื่อมโยงกับการตีความมุมมองใหม่และการทำความเข้าใจตนเอง 

ดังนั้นการให้อภัยจึงไม่ใช่แค่ “ปล่อยเขาไป” แต่คือการที่สมองบอกกับเราเองว่า “ที่ฉันโกรธก็เพราะฉัน ไม่ใช่คนแบบเขาไงล่ะ” ประมาณว่า “เป็นเรา เราไม่ทำแบบนี้หรอก” และ “เพราะแบบนี้ไงเราถึงแตกต่างกัน และไม่แปลกที่ฉันจะโกรธ”   

อันนั้นอาจจะเป็นจุดแรกที่เริ่มมีการ “ให้อภัย” มันคือการ “เข้าใจความแตกต่างระหว่างเรากับเขา” 

ถัดมาครับงานวิจัยในปี 2013 ของ Ricciardi และคณะ แสดงหลักฐานว่าเมื่อเราให้อภัย สมองส่วน mPFC, TPJ และ anterior insula ทำงานประสานกัน พื้นที่เหล่านี้คือวงจรของการสะท้อนตัวเอง (self-reflection) และการเข้าใจผู้อื่น (empathy) แต่หัวใจจริง ๆ ไม่ใช่การสงสารอีกฝ่าย หากเป็นการปกป้องหัวใจเราเอง 

ดังนั้นงานวิจัยนี้มันแสดงให้เราเข้าใจว่า การให้อภัย = การรีเฟรมเหตุการณ์ใหม่ ว่ามันไม่คุ้มที่จะเผาผลาญชีวิตไปกับความโกรธ การให้อภัยไม่ใช่การยกโทษให้เขา แต่เป็นการยกคุณค่าความรู้สึก และเวลาคืนให้เรา

มันคือการบอกว่า “เวลา” และ “ความรู้สึก” ของฉันมีค่ามากเกินกว่าจะเอาไปเผาผลาญกับ อีนั่น อีนั่น อีนั่น และอีนั่น ประมาณนี้ฮะ 


4
ให้อภัย = คืนเวลาชีวิต

ลองจินตนาการถึงการกำถ่านไฟไว้แน่น ความโกรธก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละฮะ ยิ่งกำไว้นาน ยิ่งแผดเผามือเราเอง และเราไม่จำเป็นต้องเขวี้ยงมันกลับไปใส่หน้าเขา เราแค่ปล่อยมือจากถ่านฮะ 

การปล่อยมือ ไม่ได้แปลว่าเราต้องหาคนมารับถ่านไฟต่อนะ เราไม่ต้องรอให้ใครมารับ เราแค่ปล่อยมือทิ้งมันลงไปเลย  พูดให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ การหยุดทำร้ายตัวเองครับ 

งานวิจัยด้าน self-forgiveness ของ Kim และคณะ (2023) พบว่าคนที่มีแนวโน้มให้อภัยตัวเองบ่อย มีโครงสร้างสมอง fusiform gyrus ที่เด่นกว่า และสิ่งนี้สัมพันธ์กับความยืดหยุ่นทางจิตใจ (resilience) และความเมตตาต่อตัวเอง (self-compassion) 

งานวิจัยนี้สะท้อนว่า “แก่นแท้ของการให้อภัย” คือการยืนยันคุณค่าในตัวเองมากกว่าการทำเพื่อคนอื่น

ทุกครั้งที่เราบอกว่า “ฉันให้อภัย” เรากำลังเลือกใช้เวลาชีวิตไปกับสิ่งที่เติมเต็ม มากกว่าที่จะเสียมันไปกับการ replay ความเจ็บปวด

ดังนั้นทุกการให้อภัย
คือการเรียกกลับคืนของ “คุณค่าตัวเราเอง” 
และคือการ “ยืนยันคุณค่าในตัวเราเอง” ครับ 


5
ปรัชญาจากสมอง

Mark Twain เคยเขียนไว้ว่า “Forgiveness is the fragrance that the violet sheds on the heel that has crushed it.” “การให้อภัย คือกลิ่นหอมที่ดอกไวโอเลตฝากไว้บนส้นเท้าที่เหยียบย่ำมัน”

กลิ่นนั้นไม่ได้เปลี่ยนส้นเท้าให้สะอาดขึ้น แต่มันสะท้อนเพียงว่าไวโอเลตยังคงเป็นไวโอเลต ยังคงมีกลิ่นหอมของตัวเองอยู่เสมอ

การให้อภัยก็เช่นกัน มันไม่ได้เปลี่ยนอีกฝ่าย แต่เปลี่ยนเรา ให้เรากลับมายืนยันคุณค่าของตัวเอง ว่าเรายังคู่ควรกับความงดงาม ความเบาใจ และชีวิตที่ไม่ถูกเผาผลาญไปด้วยความเกลียดชัง

ดังนั้นนะครับ การให้อภัยจึงไม่ใช่ของขวัญที่เรามอบให้คนอื่น แต่คือของขวัญที่เรามอบให้กับสมองและหัวใจของเราเอง 

ทุกครั้งที่เราให้อภัย เรากำลังบอกกับตัวเองว่า “ฉันคู่ควรกับการใช้ชีวิตอย่างเบาใจมากกว่าที่จะจมอยู่กับความโกรธ”

วันนี้คุณอยากให้สมองของคุณหมดแรงไปกับการเกลียดใคร 
หรืออยากใช้พลังนั้นเพื่ออยู่กับสิ่งที่ทำให้คุณเติบโต?
คุณเลือกได้นะฮะ 

https://www.facebook.com/share/169QtdvjFX/

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2568

31 ส.ค. 2568 / 2025

31 ส.ค 68
เริ่มสงสัยว่าการติดเฉย ติดแช่หรือมีภาวะ default มาอยู่ที่ความเฉยนี้อาจเกิดจาก survival บางอย่างในตอนเด็ก

9 ส.ค. 2568 / 2025


ไปกราบหลวงตา ท่านยังคงว่าติดแช่ เราว่าไม่เห็นค่ะ

จากกระบวนการสนทนาและสุดท้ายสิ่งที่กระเทือนใจคือคำว่าไม่ยอมรับความจริงในปัจจุบัน

สิ่งที่มันดิ้นรนค้นหาคือความยอมรับความจริงอย่างถาวร

และระหว่างการสนทนาก็คอยจะแว๊บว่าถ้าออกมาข้างนอกจะเป็นอย่างไร

มุมที่เริ่มสัมผัสมากขึ้นคือเห็นหรือไม่จิตเป็นอนัตตาไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเจ้าของเลย

การรู้เป็น passive ธรรมดา
กับการรู้ซ้อนรู้ที่พยายามเข้าไปหมายว่านี่ฉันรู้จริงๆนะ

ความพยายามตรึงทางอายตนะทั้ง 6 ให้รู้ไม่ให้หลงเหล่านี้เป็นสังขารทั้งหมดเลย

เพื่อที่จะรู้ตลอดเพื่อที่จะไม่ให้หลงเพื่อที่จะเอาอะไรสักอย่าง

กำลังใจเล็กน้อย ท่านว่าทางพวกนี้ต้องผ่านทุกคน แต่เป็นทางผ่านไม่ใช่ทางติด

ท่านว่าจิตมีปัญญาและไม่ได้ดื้อ จึงจี้ให้

เมื่อวานตรงหน้าพระหยกขาวและในศาลาเล็ก แค่นั่งเฉยๆ ก็ราวกับได้ฟังคำสอน จิตสะเทือนกับความเงียบเป็นพักๆ

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

21-27 ก.ค.2568 / 2025 ไปภูพอเพียง

  • หัวเรื่องที่เรียน คือโพธิปักขิยธรรม
  • สิ่งที่ได้รู้เพิ่มคือ ถ้าอธิบายตาม step
    • เริ่มที่สติปัฏฐาน 4 นั้น คือการให้เห็นความจริงของ สิ่งที่มี หมายถึง เห็น/เข้าใจความเป็นไตรลักษณ์ในสิ่งที่ปรากฏ ทั้งดี ทั้งไม่ดี คือ เน้นที่สติ ไปรู้จักทั้งสิ่งดีและไม่ดีให้หมดก่อน ไม่เลือก เห็นดีก็ได้ เห็นไม่ดีก็ได้ ให้รู้ก่อนว่าธรรมดามันเป็นอย่างนี้
      • ขยายความ สิ่งที่มี คืออะไรปรากฏ ก็คืออันนั้น
      • ไม่ใช่ว่า ความฟุ้งซ่านปรากฏ ดันไปจ้อง 
        • โดยหวังว่าจะเห็นความดับ (ก็บอกให้เห็นว่าเป็นสิ่งเกิดดับนี่) หรือ 
        • แอบๆ จะเพื่อจะให้มันดับ หรือ
        • เหมือนจิตแอบดุตัวมันเองอยู่ว่า อย่าฟุ้งสิ ! 
        • ที่ถูกคือ เห็นคือเห็น ไม่เห็นคือไม่เห็น แล้วก็แล้วเลย
      • ความง่วงปรากฏ ดันไปเข้าใจผิดว่า เห็นสิ่งนี้จะต้องรู้เหตุของมันด้วยนะ ผลคือ
        • ไปมัวงมหาว่าเหตุมันคืออะไรนะ ฉันอโยนิโสอะไรผิดเนี่ย (ถ้าในกรณีนี้คือ ถ้ามันปรากฏแต่ผล ก็ดูผลโว้ย ! เพราะมันเห็นแค่ผล สิ่งที่ทำคือเห็น เพราะสติมันจับแค่ผล ตอนนี้มันไม่ได้จับเหตุ มึงไม่ต้องควานหาเหตุ ซึ่งไม่ปรากฏกับจิต)
        • การควาน การค้น การคุ้ย การอื่นๆ อีกมากมายที่พยายามจะแสวงทบทวนหาเหตุ ไม่ใช่การรับรู้ความจริงของ "สิ่งที่มี" แต่เป็นการกำลังค้นหา "สิ่งที่ไม่มี"
        • กล่าวคือ มันจะไปพลาดตรงการ identify "สิ่งที่มี" คลาดเคลื่อน 5555 เลยโง่ยาว
    • จากนั้นตั้งแต่สัมมัปธาน เป็นต้นไป คือ เมื่อเห็นทั้งสิ่งดีไม่ดีแล้ว เราก็รู้เหตุปัจจัยว่า ถ้าจะหมดกิเลส จะต้องแจ้งนิพพาน จะแจ้งนิพพาน ต้องมีมรรค จึงทำไปตามหน้าที่คือ เลือกสร้างสิ่งที่เป็นมรรค เลือกละเว้นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับมรรค
      • ดังนั้นโดยการปฏิบัติแล้ว แม้จะรู้ว่าดี - ไม่ดี เสมอกัน แต่จิตที่เดินสัมมัปธาน จะเลือกฝั่งกุศลเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาน
      • และยิ่งจิตที่เป็นวิริยินทรีย์ จะยิ่งประคองให้จิตอยู่ในงานที่สู่เป้าหมาย มุ่งขัดเกลากิเลสตนเป็นหลัก จะไม่ใช้ความเพียรเพื่อแก้ชาวบ้านเลย เลิกแก้สังคม แก้กิเลสตนเท่านั้น 100% ไม่ทอดธุระในกุศลทั้งหลาย มีความรู้สึกว่าเราจะต้องเข้าสู่กุศลให้ได้ทุกๆ ชั้น (เมื่อจิตเริ่มเดินอย่างนี้คือเป็นอินทรีย์ คือเริ่มลงทะเบียนเรียนเก็บหน่วยกิตละ เก็บครบเมื่อเป็นพระอรหันต์)
    • อิทธิบาท เป็นเรื่องของการสร้างฐานของจิตเตรียมให้องค์มรรคประชุม ก็แล้วแต่ว่าจะอาศัยอะไร
      • อาศัยฉันทะ ทำบ่อยๆ เสนอหน้าบ่อยๆ สักวันจะถูกหวย เจ้านายจะให้รางวัล (หมายถึงจิตจะเป็นสมาธิ)
      • อาศัยวิริยะ นานๆ ทำที แต่อาศัยแนวหน้ากล้าตาย สู้ไม่ถอย จนได้รางวัลไป
      • อาศัยจิต ประกอบจิต ปรุงจิตเป็นกุศลเนืองๆ จนได้สมาธิ เหมือนพวกชาติตระกูลดี
      • อาศัยปัญญา อันนี้ยังไม่เข้าใจในรอบนี้
    • อินทรีย์ 
      • สัทธินทรีย์ นี่เป็นศรัทธาปัญญาตรัสรู้ โดยที่ตนก็ได้เข้าถึง เข้าใจระดับนึงที่มั่นใจว่า ถ้าฉันทำเหตุในทางนี้ จะไปสู่ความหลุดพ้นได้อย่างแน่นอน เป็นความมั่นใจระดับที่ว่า ถ้าทำจะมีโอกาสแน่ๆ ไม่ใช่ระดับที่แบบเออลองทำตามๆ ไปก่อนเดี๋ยวก็ได้มั้ง ถ้าอย่างนี้ยังไม่ใช่อินทรีย์
      • จนเริ่มลงมือทำแบบไม่ถอย นี่เป็นวิริยินทรีย์
    • พละ
      • เน้นดูที่ความไม่หวั่นไหวในธรรมตรงข้าม ไม่ว่าจะในตน หรือในผู้อื่น คือคนอื่นไม่ทำเรื่องของเมิง แต่กุทำต่อไปตามเหตุตามผล เพื่อเป้าหมาย คือนิพพาน

  • ข้อสังเกตตามปัญญาตนในรอบนี้
    • ธรรมชาติที่สัปปายะมากกับตน คือ ป่าครึ้ม มีลำธาร และลมพัดเย็นๆ ตลอดเวลา แค่เข้าเขต ใจก็สงบแทบจะทันที เป็นความสงบที่ไม่วุ่นวายในกรรมฐานว่าจะต้องพิจารณาอะไร
    • ในขณะที่อีกสถานที่ก็ดี คือลานต้นไม้หน้าหอแสดงธรรม ซึ่งจริงๆ ก็ดีทุกอย่าง แต่ความเป็นหญ้าเทียม ทำให้ในใจดูไม่เรียบเนียนนิดนึง เดินสบาย แต่ไม่สงบ
    • จิตที่ค้นคว้า ไม่ใช่จิตที่กำลังรับรู้ความเป็นจริง
    • ความเดือดร้อน หรือความเลือกจะเอาข้างใดข้างหนึงที่ดีกว่า จะเกิดกับกิเลสที่ยังไม่ผ่าน แต่กิเลสที่ผ่านแล้ว มันไม่สนใจ มีก็ช่าง ไม่มีก็ช่าง มันมาเดี๋ยวก็ไป เออ ไม่มองได้งี้ทุกตัวล่ะวะ ! มันก็เรื่องเดียวกันเปลี่ยนตัวละครมั้ย
    • มีข้อสันนิษฐานแปลกๆ ว่า ความง่วงเกิดจากกาม ซตพ.กันต่อไป
    • ด้วยความที่ชอบสวดมนต์เร็ว และเสียงดัง ก็จะทนความยานคางของผู้นำไม่ได้ เลยโดนบอกว่า เวลาสวดให้ฟังผู้นำสวดด้วยนะ มันก็เลยเปลี่ยนเป็นนั่งฟัง และพิจารณาธรรมแทน ก็พบว่ามันก็แว่บเห็นมานะ เป็นความแข็งกระด้างเป็นโครงขึ้นมาเชียว แต่นั่งดูก็ตลกดี มันเป็นมานะที่ไม่มีไส้ กลวงๆ แต่มีอยู่นะ แต่แกนทิฏฐิไม่มี เป็นมานะโอโจ้ เพิ่งเคยเห็น ว่าหน้าตาเป็นงี้ เลยทักทายมันไป ขอบคุณสถานการณ์ที่ให้เรียนรู้
    • ยังคงงงๆ กับอาการร้องไห้ในบทธรรมกระแทกใจอยู่เสมอ เกิดทุกวัน 
    • ค้นพบว่า หนึ่งในเหตุที่ไม่เพียร เพราะความรู้ในเหตุผลไม่ชัดเจน 
      • คือถ้าว่ากันตามพระพุทธเจ้า การทำกุศล ต้องให้ผลเป็นสุขเท่านั้น, การทำอกุศล ต้องให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น
      • แต่เวลานั่งสมาธิแล้วปวดหลังปวดเอว หรือเดินจงกรมแล้วง่วงจัง เราเลยคิดว่า มันเป็นเหตุเป็นผลกัน แต่นั่นคือการที่ไม่แม่นยำในเหตุผล
        • ความทรมาน เป็นผลจากอกุศลในอดีต
        • แต่การพยายามนั่ง เป็นการสร้างกุศลปัจจุบัน ที่จะให้ผลในอนาคต
        • ดังนั้นมันคือ เกิดเวลาเดียวกัน แต่มันไม่ใช่เหตุผลของกันและกัน
        • หน้าที่คือ ชัดเจนในตรงนี้ และทำสิ่งที่ควรทำด้วยปัญญาต่อไป
    • สิ่งที่ดังอยู่ในหัวเนืองๆ รอบนี้คือ ธรรมเป็นของมีผล
    • เหมือนจะมีความเข้าใจ ยถาภูตัง ปชานาติ ขึ้นอีกนิด แต่ก็เรียกว่า ดับตรงนั้นเลย มาระลึกตอนนี้ นึกไม่ออก 

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

สมุทัย

มันเป็นการแสวงหาด้วยความอยากของเธอแท้ๆ
ที่ไปทำให้มันมีความแตกต่างกันขึ้น ระหว่างของ 2 สิ่ง

ธัมมายตนะ vs ธัมมารมณ์ / ธรรมารมณ์

ธัมมายตนะ (เอาไว้กระทบกับมโน/ภวังคจิต)

มี 3 ชุด ได้แก่

  • เจตสิก 52
  • สุขุมรูป 16
  • นิพพาน
ธัมมารมณ์ เป็นอารมณ์ของมโนวิญญาณ (คนละอันกับธัมมายตนะ)
มีอยุ่ 6 ชุด
  • ปสาทรูป 5
  • เจตสิก 52
  • สุขุมรูป 16
  • นิพพาน
  • จิต
  • บัญญัติ (สมมติ)