วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

รัตนสูตร คำฉัน(ท์)

สมบัติ ณ หนไหน

สิริใดในเมืองแมน

จักเปรียบเสมอแม้น

พระตถาคตไม่มี

อันพุทธะรัตนะ

ประณีตะวิเศษศรี

ด้วยสัจวาจานี้

สวัสดีจงมีเทอญ

 

มละวิราคา

อมตาประณีตอัน

มุนิสักย์ ธ ทรงธรรม์

ตั้งมั่นละ ณ ฤดี

อันธรรมะรัตนะ

ประณีตะวิเศษศรี

ด้วยสัจวาจานี้

สวัสดีจงมีเทอญ

 

พุทธะพระประเสริฐ

วะระเลิศ ธ บอกตรัส

ผ่องใสสุจีรัตน์

ประจักษ์ชัด ณ ธรรมนี้

อนันตรีกา

สมาธิ์พาวิสุทธิ์ศรี

หาไหนเสมอมี

สมาธิ์นี้ไม่มีเลย

อันธรรมะรัตนะ

ประณีตะวิเศษเผย

ด้วยสัจวาจาเอ่ย

สวัสดีจงมีเทอญ

 

ใดใดบุคลา

สรรเสริญมาที่แปดคน

สี่คู่นับสองหน

ผู้ควรตนทักษิณา

สงฆ์ใดผู้หมดจด

เป็นสุคตสาวกา

ทานใดถวายมา

ย่อมมหัปผลามี

นื้สังฆะรัตนะ

ประณีตะวิเศษศรี

ด้วยสัจวาจานี้

สวัสดีจงมีเทอญ

 

สงฆ์ใดใฝ่ใจชอบ

เพียรประกอบกุศลใหญ่

มุ่งจะละโลกัย

ตามวินัยพระโคดม

พึงลุอมตะ

อันเขมะประสงค์สม

เสวยรส สะอุดม

นิพพา-นะสงบเย็น

นื้สังฆะรัตนะ

ประณีตะวิเศษเห็น

ด้วยสัจวาจาเช่น

สวัสดีจงมีเทอญ

 

กรรมเก่ามิได้ข้อง

ทั้งมิจ้องจองภพใหม่

เบื่อหน่ายละคลายใจ

พีชะใดไม่งอกเงย

เป็นปราชญ์ฉลาดผู้

รู้นิพพานว่าเสบย

ประทีปนะเพื่อนเอย

เมื่อแล้วลับก็ดับมี

นื้สังฆะรัตนะ

ประณีตะวิเศษศรี

ด้วยสัจวาจานี้

สวัสดีจงมีเทอญ

วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

ปรับอินทรีย์กับผัดไท

ผัดไท : คิดยังไงให้เป็นอกุศล

เช่น

- น่าพอใจมั้ย                                                ประกาศถึงโลภะ

- ผัดตั้งแต่เมื่อไร ใครผัด ใช้อะไรผัดเนี่ย     ประกาศถึงปฏิฆะ

- หรือเฉยๆ ไม่พิจารณาอะไรสักอย่าง          ประกาศถึงโมหะ

ผัดไท : คิดยังไงให้เป็นกุศล

เอากรอบทาน ศีล ภาวนา มาจับคร่าวๆ 

ทาน
- เคยให้แบบนี้ไหม
- สิ่งนี้เราใช้คนเดียว หรือเราแบ่งให้ใครด้วย
- คิดจะให้ไหม

ศีล : วารีต
- มีสิ่งที่ควรจะงดเว้นอยู่ไหม
- ได้มาอย่างไร โดยไม่ผิดธรรมหรือไม่

ศีล : จารีต
- ปัจจเวกก่อนรึยัง

สมถะ
- พิจารณาอาหาเรฯ

กายานุปัสสนา
- พิจารณารูปเหล่านี้ไปบำรุงเลี้ยงกายที่ประกอบด้วยมหาภูตสี่

ประมาณการสัทธินทรีย์

        ถ้าทำอะไรแล้วพอใจมั้ย มีความสุขมั้ย มีฉันทะมั้ยที่จะทำอย่างนั้น ถ้าไม่มีไม่ค่อยเต็มใจทำมากนัก ทำไปแกนๆ ไม่ค่อยโสมนัส อันนี้เรียกว่าสัทธินทรีย์อ่อน

ประมาณการวิริยินทรีย์

        ส่วนทำอะไรก็ดีนะ แต่ทำไมไม่ค่อยต่อเนื่อง ทำมั่งไม่ทำมั่ง นึกอยากทำเมื่อไรก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ หรือทำแล้วไม่คิดจะทำอีกเลย อันนี้วิริยินทรีย์อ่อน 

ประมาณการสมาธินทรีย์

        หรือบางทีทำไปไม่สงบ สังเกตมั้ยทำกุศลบางอย่างไม่สงบ ไม่ค่อยสบายใจมากนัก อันนี้เรียกว่าสมาธินทรีย์อ่อน

ประมาณการปัญญินทรีย์

        ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้พิจารณาอะไรบ้าง มีความเข้าใจอะไรบ้างในขณะที่กำลังทำ สะท้อนปัญญินทรีย์

ส่วนหน้าที่ของสตินั้น...

  1. การอ่านสภาวะตัวเองออกว่าตอนนี้เป็นแบบนี้ๆๆ นี้เป็นกิจของสติ
  2. และสติยังดูอีกว่าถ้าปล่อยแบบนี้ไปบ่อยๆๆๆๆ อะไรจะเกิดขึ้น
  3. สติยังวินิจฉัยว่าอาการแบบนี้ต้องใช้ธรรมอะไรมาเกื้อกูล มารักษา มาประคองให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

ให้รู้ว่าที่ใดใช้คำว่าสติ ที่นั่นต้องมีสัมปชัญญะด้วยแล้ว

ในอรรถกถาท่านอธิบายว่าสติที่ไม่มีสัมปชัญญะไม่สามารถทำกิจของตนได้

สติเป็นตัวมาอาวัชชนะว่าอะไรขาดอะไรเกิน 

เหมือนนักชิม กินผัดไทไปคำนึงก็รู้ว่าต้องเติมอะไร เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม

คนที่เก่งพิจารณากุศลนี่ก็เหมือนนักชิม

พอกุศลเกิดขึ้นปุ๊บเขารู้เลยว่าอะไรขาด

เพียรน้อยไป? ฟุ้งมากไป? หรือสักแต่ว่าทำไปเฉยๆ 


ทีนี้ถ้าจะให้ศรัทธามากขึ้นล่ะ ทำยังไง นี่ก็เป็นกิจอย่างหนึ่งของสติ

แล้วดูด้วยว่าข้อมูลอะไรที่จะมาพร้อมบริบูรณ์ให้มาเจริญอย่างนั้นได้ นี้ก็เป็นกิจของสติ

สติจึงเป็นตัววินิจฉัยแยกแยะ 

ทั้งนี้ถ้าเรียนไม่พอ ก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาพิจารณาอีกนั่นแหละ 

คือจะบอกว่าเหมือนพระฉันอาหาร เค็มหน่อย จืดหน่อยก็ฉันไปอย่างนั้น

แต่การบริหารกุศลจิตต้องไม่ปล่อยตามยถากรรมอย่างนั้น ต้องบริหารปรุงแต่งกันอย่างเต็มที่

เพราะกุศลธรรมเหล่านี้เป็นพรหมจรรย์ เป็นสิ่งที่จะต้องประพฤติ จะต้องตกแต่ง จะต้องพิจารณาให้อย่างดี


รู้จักฉลาดในนิมิต

คือฉลาดในอารมณ์ของกรรมฐาน คือน้อมไปเสมอๆ ว่าในอารมณ์นั้นๆ เนี่ยเจริญอะไรได้บ้าง

 ถ้าเจริญพรหมวิหารก็ให้ฉลาดในพรหมวิหาร

  • เช่น ถ้าจะเจริญเมตตา คิดอย่างไรให้สัตว์ทั้งหมดนี่เป็นปิยมนาปสัตว์ (น่ารักน่าพอใจเหมือนกันหมด) ฉลาดที่จะมองว่าเขามีส่วนที่น่าพอใจอยู่ อยากให้เขาได้สบายๆ อย่างเราบ้าง
  • หรือเจริญกรุณา คิดให้ออกว่าทุกคนมีส่วนที่น่าสงสาร
  • หรือเจริญมุทิตา คิดให้ออกว่าทุกคนเขามีดีอยู่ในตัวเขา มันจะต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นความดีในตัวเขา
  • หรือเจริญอุเบกขา คิดว่าเขาก็มาตามกรรมของเขา เราก็ไปตามกรรมของเรา แต่ข้อนี้ไว้ได้ฌานที่สามค่อยมาเจริญ
ถ้าเจริญอสุภะก็ให้ฉลาดในเจริญอสุภะ คิดยังไงให้ปฏิกูล

ถ้าฉลาดในกสิณ น้อมไปเห็นอะไรบ้างไม่ใช่กสิณไม่มี
  • เห็นผล ก็นีลกสิณ
ถ้าฉลาดในการให้ทาน
  • เห็นอะไรก็น้อมไปในทางให้ทาน ซึ่งคนอื่นอาจคิดไม่ถึง เช่น เออ ถ้าตรงนั้นสว่างหน่อยนะ คนนั้นคงจะเห็นชัดขึ้น
  • บางคนให้ทานมีภาพแค่ ใส่บาตร อย่างเดียวจบ
ถ้าฉลาดเรื่องศีลกุศล
  • แต่ละอย่างเป็นนิมิตให้เจริญศีลได้อย่างไร ให้ผิดศีล หรือให้รักษาศีลตรงไหนได้บ้าง
ฉลาดประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง
  • สมัยที่ควรประคองก็คือ สมัยที่เกือบหลับ เช่น อ่านพระไตรปิฎกไปเริ่มหรี่ลงๆๆ 
  • เหมือนทำกับข้าวต้องคอยดูไฟ
  • เร่งเจริญธัมมวิจย ปีติ วิริยะสัมโพชฌงค์ 
  • หรือบางทีก็ไม่ได้ง่วง แต่แบบจิตซึมๆ ไม่ต้องการทำอะไร อยากจะเฉยๆ ไม่อยากคิดอะไร ให้รีบเอาอริยสัจมาคิด พิจารณาสังเวควัตถุ
  • ถ้าไม่แก้ สมาธิไม่ตั้งมั่นแน่นอน 
  • แต่ถ้าง่วงๆ อยู่ไปเจริญสมาธิ เช่น กำหนดลมหายใจ ไม่กี่ครั้งหลับสนิทรับรอง
4 7 11 11 7 11 5

ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม

  • ก็ข่มในสมัยฟุ้งซ่าน
  • ปล่อยจิตให้ฟุ้งไปก็ทำอุทธัจจะให้เจริญขึ้น นิวรณ์เจริญ ปัญญาก็ดับ
  • เวลาพูดมากๆ ก็มักจะฟุ้ง ก็จะเหนื่อย ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ใคร่ครวญเอาไว้ก่อน หรือไม่ชำนาญ โดยมากก็ไม่โสมนัส การเป็นพหูสูตร หรือการซ้อมช่วยได้ ซักซ้อมในกรรมฐาน ฝึกเอาไว้จนชำนาญ น้อมไปเพื่อพูดถึงสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ก็มีอีกอย่างที่ถึงรู้ แต่ไม่พร้อมจะพูดก็พูดไม่ได้
  •  
มีปัญญาร่าเริง
  • ถ้าปัญญาไม่ร่าเริง การแล่นไปในอารมณ์ต่างๆ ค่อนข้างจะเหนื่อย
  • การพูดก็เหมือนกัน ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ใคร่ครวญเอาไว้ก่อน หรือไม่ชำนาญ โดยมากก็ไม่โสมนัส