วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ชราและจิปาถะ

ชราเห็นได้แต่ยาก
ผมขาวเป็นทางชราผ่านแต่ไม่ใช่ชรา
เหมือนทางไฟผ่านดำเป็นทางแต่ไม่ใช่ไฟ
----

ซ้ายมีเพราะขวา
หน้ามีเพราะหลัง
ตายมีเพราะเกิด
พรากมีเพราะพบ
จบมีเพราะเริ่ม
---

ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ ย้อมใจให้กำหนัด
--- 

ผิดตั้งแต่เกิดแล้ว ผิดที่มาเกิดนี่ล่ะ
เกิดมามีความผิดติดตัวมา
เกิดมาติดคุกยังไม่รู้ตัว

ต้องแก่ ต้องตาย
---

จะครอบงำใครเขา
ถ้าครอบงำกรรมไม่ได้ก็เป็นกรรมไปเปล่าๆ
อำนาจมากก็เกี่ยวพันเยอะ
---

ร่างกายประกอบจากหลายกรรม
ตาซ้าย/ตาขวาก็คนละกรรม
หูซ้าย/หูขวาก็คนละกรรม

วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560

การละอาสวะ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

อาสวะที่พึงละด้วยการเห็น (ต้องเห็นจึงจะละได้ ไม่เห็นละไม่ได้) มีอยู่
อาสวะที่พึงละด้วยการสังวร (สังวร ปิดกั้น ระวัง หลบ) มีอยู่
อาสวะที่พึงละด้วยการปฏิเสวนา (ใช้สอยให้ถูกต้อง เช่น เสื้อผ้า อาหาร) มีอยู่
อาสวะที่พึงละด้วยการอธิวาสนา (อดกลั้น อดทน เช่น เย็น ร้อน หิว คำพูด) มีอยู่
อาสวะที่พึงละด้วยการปริวชฺชนา (งดเว้น เลิกไปเลย เช่นที่ๆ ไม่ดี อโคจร ยาเสพติด)
อาสวะที่พึงละด้วยการวิโนทนา (บรรเทา เช่น เรื่องเลวร้าย ความคิดไม่ดี) มีอยู่
อาสวะที่พึงละด้วยการภาวนา มีอยู่ (ทำสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้น)

บางอย่างก็ต้องใช้วิธีบางอย่าง ไม่ใช่ละความยึดในอาหารด้วยการไม่ เป็นต้น


ไม่ก่อกรรม

เห็นโทษโดยความเป็นโทษ
และสำรวมระวังในการต่อไป
และละมันเสีย
เป็นความเจริญในอริยวินัย
เป็นเครื่องปฏิบัติซึ่งความสิ้นกรรม

หลักคือ
เอาอยาก เอาคิดออกไป
เอาสัมมาทิฏฐิตั้ง เอาเหตุเอาผลตั้ง
อันไหนเหมาะไม่เหมาะ อันไหนควรไม่ควร

กรรมที่ก่อภพชาติ

โพชฌงค์ทั้ง 7 เป็นกรรมไม่ดำไม่ขาว
มีวิบากไม่ดำไม่ขาว
เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม

กรรมดำ ฝ่ายอกุศล
กรรมขาว ฝ่ายกุศล ถ้าขาวล้วนก็ได้ฌาน เป็นต้น คืออกุศลไม่แทรกเลย

โพธิปักขิยธรรม
ไม่ใช่กรรม แต่ก็เป็นกรรม
เพราะมีการกระทำ มีความตั้งใจ
แต่ไม่ได้ทำตามตัณหา จึงไม่เป็นกรรมที่จะให้เกิดภพชาติ

กรรมที่จะทำให้เกิดภพชาติได้
ตามหลักปฏิจจะคือ
จะมีชาติ ก็ต้องมีกรรม คือมีภพ
จะมีภพ ก็ต้องมีอุปาทาน คือยึดถือเสียก่อน
จะเกิดความยึดถือ ก็ต้องมีตัณหา
จะมีตัณหาก็เพราะความไม่รู้เรื่อง
เห็นว่ามีตน มีของตน ก็รักตน

ส่วนโพธิปักขิยธรรม หรือโพชฌงค์พวกนี้
เริ่มด้วยความรู้ จึงไม่จัดอยู่ในพวกกรรมดำกรรมขาว
มีวิบากเป็นวิบากไม่ดำไม่ขาว
เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม

วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พุชฺฌนฺติ

พุชฺฌนฺติ = รู้ คำนี้ไม่ได้หมายถึงรู้ทั่วๆ ไป หมายถึงรู้แจ้ง แทงตลอด

อนุพุชฺฌนฺติ บางสำนวนแปลว่า "รู้ตาม" หรือ "ตามรู้" ไม่ได้หมายถึง ไปตามตูดมันแล้วรู้
ตามความหมายจริงๆ คือ รู้ตามที่เป็นจริง รู้ทุกอันเสมอเหมือนกัน เหมือนใน อนุปสฺสี รู้บ่อยๆ เนืองๆ รู้ทุกอันเสมอกัน ภายในรู้เหมือนกัน ภายนอกรู้เหมือนกัน หยาบก็รู้ ละเอียดก็รู้ เรียกว่ารู้อย่างครบถ้วน ไม่ใช่ในห้องเข้าใจ ออกนอกห้องไม่เข้าใจ

ปฏิพุชฺฌนฺติ = รู้ลึกซึ้ง เฉพาะเจาะจงในเรื่่องนั้นๆ ลงไป

สมฺพุชฺฌนฺติ = รู้อย่างถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยน

โพชฺฌงฺคา = ธรรมที่ตั้งขึ้นมาที่เรียกภาวะจิตที่พร้อมใช้งานอย่างเต็มที่
                = ธรรมตรงข้ามนิวรณ์ เคลียร์จิตให้พร้อมเพื่อให้เกิดจักขุ

อญญาณ = รู้ แต่ไม่เป็นญาณ รู้แต่อาจจะรู้ไม่ถูก ไม่ถึงกับไม่รู้อะไร

สติสมฺโพชฺฌงฺโค = สติที่เป็นไป "เพื่อนิพพาน" เป็น สติ+เนปกฺก
เนปกกปญญา = รู้ว่าควรทำอะไร ควรเลี่ยงอะไร เพื่อเป็นไปในการนี้ (คือรวมสัมปชัญญะไปแล้ว)
ตามระลึกได้แม้ทำนานแล้ว แม้พูดนานแล้ว ถ้าระลึกไม่ได้ก็ไม่เหมาะจะใช้ปัญญาวิจัย รู้เท่าทันว่าคิดอย่างไรจึงทำอย่างนี้ ทำแล้วเป็นอย่างไร ระลึกและตามระลึกได้อยู่เสมอ จึงจะนำไปธมมวิจัยได้ เอามาประมวลได้ว่า นี้เป็นไปเพื่อเสื่อม หรือเจริญ

ธมมวิจยสมฺโพชฺฌงฺโค = มีสติอยู่อย่างนั้น (สติสมฺโพชฺฌงฺโค) แล้วสอบสวนอยู่ด้วยปัญญา ไม่หลงลืม มีอันนี้เกิดขึ้นแล้ว มีอันนี้เกิดขึ้นแล้ว เป็นกุศลหรืออกุศล เศร้าหมองหรือสะอาด เที่ยงมั้ย ใคร่ครวญให้ลึกลงไปในเรื่องนั้น เป็นรูปหรือนาม เกิดเพราะอะไรยังไง พิจารณาโดยรอบด้าน รู้คุณ โทษ วิธีที่จะออก

วิริยสมฺโพชฺฌงฺโค = เมื่อสอบสวน ค้นคว้าลึกซึ้ง เข้าถึงด้วยปัญญา ความเพียรก็เป็นอันตั้งขึ้น ถือว่ามีขึ้น ไม่เกียจคร้าน ไม่จมลง ไม่นอนเล่น ได้ทำกิจที่ควรทำ วิริย = กล้าหาญ บากบั่น ไม่กลัว พอแปลเป็นไทยกลับแปลว่า ความเพียร

ปีติสมฺโพชฺฌงฺโค = ปีติอันไม่ต้องอาศัยอามิส ย่อมบังเกิดแก่ผู้ปรารภความเพียร

ปสฺสทฺธิสมฺโพชฺฌงฺโค = แม้กายของผู้ที่มีใจปีติก็ย่อมสงบระงับ แม้จิตก็ย่อมสงบระงับ ไม่มีอะไรทิ่มแทง

สมาธิสมฺโพชฺฌงฺโค = จิตของผู้มีกายระงับ และมีความสุข ย่อมตั้งมั่นด้วยดี สํ = ดี, ธิ = ตั้งมั่น สมาธิ = ตั้งมั่นด้วยดี

อุเปกขาสมฺโพชฺฌงฺโค = เมื่อตั้งมั่นอยู่อย่างนั้น ย่อมเป็นผู้เพ่งอยู่อย่างใกล้ชิดด้วยดี โดยถูกต้อง โดยเหมาะสม โดยสมควร คือ ควรทำหรือไม่ทำอะไรอย่างไร ควรแก้ไขหรือไม่ควรแก้ไข ควรจัดการหรือควรปล่อยไปก่อน อชฌุเปกขิตา จึงเรียกว่าอุเปกฺขาสมฺโพชฺฌงฺโค (อชฌุ = ใกล้ชิด, อุเปกขิตา = มองดู นั่งดู รวมๆ คือ ดูอย่างใกล้ชิด) พอแปลเป็นไทยกลับ แปลว่า วางเฉย เป็นภาษาโบราณมา

จะเข้าใจโพชฺฌงฺค จะต้องไล่มาแต่ข้อแรก






วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

inter-being

เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี

โลก

ว่าด้วยโลก
คือมีดีชั่ว
มีถูกผิด

เหนือโลก คือออกมามองดูเหนือดีเหนือชั่ว
เหนือถูกเหนือผิด

ดูว่าเหตุปัจจัยที่ทำให้มันดี
มันก็ไม่เที่ยง
ความดีตัวมันก็ไม่เที่ยง

เหตุปัจจัยที่ทำให้มันชั่ว
มันก็ไม่เที่ยง
ความชั่วตัวมันก็ไม่เที่ยง

ระดับเหนือโลก
ถ้ายังทุกข์อยู่ก็ยังผิด
จะเป็นบุญถ้ายังทุกข์อยู่ก็ยังผิด

กลัวอะไร

กลัวตายไม่มีประโยชน์
กลัวความมืดไม่มี่ประโยชน์

กลัวบาปมีประโยชน์

ความเข้าใจเรื่องกรรม

ความเข้าใจเรื่องกรรม
ผลของกรรม
ดีชั่วอยู่ที่กรรม

ทำความดีก็ได้ความดี
ทำความชั่วก็ได้ความชั่ว

เราได้สิ่งที่เราทำ
ได้สิ่งที่เราคิด

คิดอะไรก็ได้อันนั้น
ความคิดอันนั้นย่อมมีอิทธิพลต่อความเสื่อมลงหรือเจริญขึ้นของตน


วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ทำไมมันเป็นอย่างนี้

ทำไมมันเป็นอย่างนี้
ก็เพราะมันเป็นอย่างนี้

เมื่อไรมันจะหายจากความเป็นอย่างนี้
ก็เมื่อมันหายไปจากความเป็นอย่างนี้

เขาสมควรโดนเตะ
แต่เราไม่สมควรไปเตะเขา

เขาเป็นของเรา
เราจึงมีสิทธิ์
อันนี้โง่



เพราะสิ่งนี้มิใช่สิ่งอื่น

สิ่งที่กำลังเป็นอยู่
คือสิ่งที่ขวางความเป็นสิ่งอื่น
หากปรารถนาจะเป็นไปในสิ่งอื่น
พึงละไปจากสิ่งที่กำลังเป็น

วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วารีดุริยางค์


    ...เลิกความคิดขันเข่งปรุงแต่งจิต
    เลิกชีวิตวุ่นวายในทุกที่
    เลิกเดือดร้อนดิ้นรนคนไยดี
    ไม่ต้องมีปรารถนาในอารมณ์



    ฟังต้นไม้สายน้ำย้ำให้หยุด
    หยุดเสียทีเถิดมนุษย์หยุดสะสม
    หยุดปรุงแต่งแสร้งตามความนิยม
    สร้างสังคมโสโครกโลกจึงร้อน



    จงหยุดชมชื่นใจในใจเถิด
    ทุกสิ่งเกิดก่อไว้ในใจก่อน
    สมมติจากหัวใจไปทุกตอน
    ใจจึงซ่อนทุกสิ่งจริงลวงไว้



    สงสารใจ ใจเจ้าเอ๋ยไม่เคยนิ่ง
    วนและวิ่งคืนและวันหวั่นและไหว
    เหมือนถูกกายกำบังกักขังใจ
    ใจจึงได้ดิ้นรนทุกหนทาง



    กลางคืนคอยเป็นควันอั้นอัดไว้
    ครั้นกลางวันก็เป็นไฟไปทุกอย่าง
    ร่างกายถูกผูกพันสรรพางค์
    เป็นสื่อกลางแก่ใจรับใช้การ



    เมื่อใจทุกข์กายก็ต้องทนครองทุกข์
    ครั้นใจสุขกายก็สุขสนุกสนาน
    วนเวียนหว่างทุกข์สุขทุกวันวาร
    แล้วสะสมสันดารการเป็นคน



    ทุกวิถีที่ใจได้เที่ยวท่อง
    ล้วนขึ้นล่องอยู่ระหว่างกลางปลายต้น
    ที่โคจรของใจไม่เคยจน
    ไม่เคยพ้นไม่เคยพรากจากวงจร



    ใจจึงหน่ายจึงเหนื่อยจึงเมื่อยล้า
    วุ่นผวาว่อนไหวถูกไล่ต้อน
    เกิดแล้วก่อล่อแล้วเร้นเย็นแล้วร้อน
    ไม่พักผ่อนเพียงสักคราวเฝ้าแฟบฟู



    รู้และเห็นเป็นไปตามใจอยาก
    จึงเหมือนฉากขวากขวางกำบังอยู่
    หยุดเสียทีหยุดเสียเถิดเปิดประตู
    เพื่อได้รู้และได้เห็นตามเป็นจริง



    ขอกายเจ้าจงเป็นเช่นต้นไม้
    ยืนอยู่ได้โดยภพสงบนิ่ง
    เพื่อแผ่ร่มและเป็นหลักให้พักพิง
    แต่งดอกพริ้งผลัดฤดูอยู่ชั่วกาล



    และใจเจ้าจักเป็นเช่นสายน้ำ
    ใสเย็นฉ่ำชื่นแล้วไหลแผ่วผ่าน
    เพื่อเลี้ยงชีพชโลมไล้ให้เบิกบาน
    เพียงพ้องพานผิวแผ่วแล้วผ่านเลย



    อิสระเสรีที่จะไหล
    ด้วยเพลงไพเราะล้ำร่ำเฉลย
    ชมดอกไม้สายลมพรมรำเพย
    และชื่นเชยกับชีวิตทุกทิศทาง



    วงของน้ำทำประกายกับสายแดด
    ร้อนจะแผดเผาทรายพริบพรายพร่าง
    ราวกากเพชรเกล็ดโปรยโรยระวาง
    หาดกรวดกว้างกลางน้ำเริ่มคร่ำครวญ



    ไม่ใยดีปรีดาประสาโลก
    ไม่ทุกข์โศกเสียใจหรือไห้หวน
    มีความสุขอยู่ทุกยามตามที่ควร
    ไม่ปั่นป่วนไปตามความเร่าร้อน



    รู้จักเพียงพอดีที่จะรับ
    ความเกิดดับธรรมดาอุทาหรณ์
    พร้อมรู้สึกตามวิสัยไปทุกตอน
    เหมือนทุกก้อนกรวดทรายย่อมคล้ายกัน...


    วารีดุริยางค์.....เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์

ยืมแร่แปรธาตุ

เมื่อใจ ฝากไว้ ได้เป็นอื่น
เธอจะตื่น ฤาจะครวญ กับความฝัน
เมื่อฝากไว้ กับเงื่อนไข สารพัน
เป็นอื่นยัน ยึดไว้ อวิชชา

มีอะไร ไหนบ้าง ไม่เป็นอื่น
ความดาษดื่น ในผัสสะ ชวนหรรษา
ทุกผัสสะ ปรวนแปร ตลอดเวลา
ละอวิชชา คืนใจไว้ ให้นิพพาน

วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2560

how to control very strong energy - Q&A

ความอยากจะควบคุมภายนอก
เป็นความกดข่มภายในรูปแบบหนึ่ง

ยังอยากจะควบคุมสิ่งใด
ยังไม่รู้สิ่งนั้นอย่างที่มันเป็น

Simple recognition

วันก่อนว่าฝัน

14 สิงหา 60

ฝันนี่ก็เป็นผัสสะเหมือนกัน มีองค์ประกอบในความรับรู้จริงเท่ากัน

ในฝัน ฝันว่านอนคุยกับรูป ท่ามกลางท้องฟ้าดาราจักร
ในประเด็นที่ว่า "ศีลนี้ต่างหาก คือความป้องกันตัวอย่างแท้จริง"
ในฝันคล้ายความอำลา
แต่อำลาก็เกิดดับ
ทุกเหตุการณ์เสมอภาค เกิดขึ้นเพียงครั้งในจักรวาล

เราเรียกรูปว่า "รูป"
ด้วยคลับคล้ายว่า มีสัญญาต่อรูปไว้ในอดีตสมัย

การพบและพรากก็เท่ากัน ล้วนเป็นสิ่งที่วิเศษเช่นกัน


วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560

สีลสุคนธ์


แม้นหอมใด ในสวรรค์ สุคันธชาติ
ยังมิอาจ ปฏิวาต ประหลาดผัน
มีเพียงหนึ่ง ซึ่งรส สุคนธ์อัน
สามารถยัน วาโยย้อน ขจรไกล

จะมีกลิ่น หอมใด ในพิภพ
นำขบวน อวลอบ ปรารภสมัย
สุคนธ์ทิพย์ คือศีล สุคนธ์ไง
พระจอมไตร ตรัสไว้ ไม่เกินเลย

---
นมตฺถุ รตนตยสฺส

วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ว่าด้วยศัพท์ทางปัญญา

ญาณ = เห็นแล้วก็สรุปเป็นองค์ความรู้
ถ้าเห็นแล้วยังไม่สรุปก็เฉยๆ เป็นอนุปัสสนา
มรรค = เห็นแบบไม่เหลือที่ให้สงสัย
ธรรมจักขุ = ตาดี ทิฏฐิสมบูรณ์ สัมมาทิฏฐิสมบูรณ์ทั้ง 2 ฝ่าย

วิปัสสนา = เห็นบ่อยๆ เนืองๆ โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นอุบายที่จะฝึกให้เกิดญาณ

สัมมาทิฏฐิ (โลกิยะ) ยังมีดำ/ขาว ดี/ไม่ดี
ฝ่ายบุญ คือ ให้รู้ดี ชั่ว จะได้ไม่ไปเกลือกกลั้วกับชั่ว เรื่องกรรม กฏแห่งกรรม ความถูก ความผิด เหมาะไม่เหมาะ เป็นความรู้เข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องโลกๆ เกลือกกลั้วกับน้ำคลำจะไปสะอาดได้อย่างไร
ตัวดำไม่มีประโยชน์อะไร ก็ทำตัวให้ขาว อยู่ในโลกก็อยู่ให้มันสบาย ไม่ให้มีอะไรขัดข้อง จึงต้องมาชำระกัน

โลกุตระ (เหนือดีชั่ว)
แต่ก็ยังต้องอาศัยฐานขาวขึ้นไป มีลำดับของมัน ไม่สามารถกระโดดจากดำขึ้นไปได้

การให้มีผล การบูชามีผล
มีผล = มีวิบาก

บูชา หมายถึง บูชาผู้อยู่เหนือเรา เราอยู่ใต้เท้าท่าน ท่านมีคุณธรรมเหนือเราผู้ที่เป็นแบบอย่าง idol เรา
บวงสรวงมีผล หมายถึง มงคลกิริยาต่างๆ การทำอะไรที่ดีงามสวยงาม รู้จักไหว้ ต้อนรับ การเคารพ นอบน้อม - ผลคือ สำรวมระวัง อ่อนน้อม

เอาจริงๆ การกระทำที่ไม่มีผลไม่มี ทุกการกระทำมีผล
คิด ทำ พูด เล็กๆ น้อยๆ มีผลหมด ต่อบุคลิกภาพ และตัวเอง
ต่อนิสัย ต่อความยากง่ายในการปฏิบัติธรรมในอนาคต
คิดไม่ดี เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ควรคิด
คิดดี เล็กๆ น้อยๆ ก็ควรคิด
จะสะดวกหรือไม่สะดวกก็อยู่ที่ความคิด
คิดไม่ดีก็ไม่สะดวก พูดไม่ดีก็ไม่สะดวก
ยิ่งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยิ่งคิดไม่ดียิ่งขัดขวาง ขัดแข้งขัดขาตัวเอง กวนใจ
จะมาโทษใครเป็นพญามารก็ไม่ได้ ก็คิดไม่ดีเองนั่นล่ะ
หรือถ้ามันจะส่งเสริม มันก็เราเองนั่นล่ะ
ถ้ามันเกิดขึ้นก็ต้องยอมรับผล ก็ทำไว้เอง
โทษคนอื่นก็ได้โทษมาด้วย
จับผิดคนอื่น ก็จับได้ผิดมาด้วย

ทำกุศล คือ ความฉลาดให้ถึงพร้อม หมายถึง ทำสัมมาทิฏฐิให้ถึงพร้อม


(โลกนี้มี/โลกอื่นมี)

โลกนี้มี คือ ความเป็นมนุษย์มีสำหรับสัตว์อื่นๆ ความเป็นมนุษย์ไม่ได้แก่เราคนเดียว มีแก่ภพภูมิอื่นๆ ด้วย เพียงแต่ตอนนี้กรรมนำเรามาเป็นมนุษย์ชั่วคราว ความเป็นมนุษย์จึงเป็นของสาธารณะ เราก็เป็นมนุษย์ชั่วคราว

โลกอื่นมี คือ ความเป็นหมาก็มีสำหรับเรา มีโอกาสไปได้เหมือนกันถ้าจัดกรรมเอาไว้ ภพภูมิสัตว์อื่นๆ นอกจากมนุษย์มีอยู่ และมีโอกาสเป็นได้สำหรับเรา

คือ ความเห็นตรงถูกต้องว่า สามารถสลับกันไปมา ใครจะมาจะไปตามกรรม ไม่มีใครเป็นเจ้าของความเป็นมนุษย์ตลอดไป และเราก็สามารถกลับไปเป็นสัตว์อื่นได้

(มารดามี/บิดามี)
มารดา/บิดามีคุณต่อบุตรมาก
พ่อแม่เราทำได้กับเรา มีคุณธรรมต่อลูกมาก
ถ้าทำผิดต่อท่านคือ ผิดมาก ทำถูกต่อท่านมาก คือถูกมาก
พ่อแม่เป็นนาบุญของลูก

พระอรหันต์เป็นนาบุญของโลก (ทำดีกับทุกคนได้เสมอกัน)
ถ้าทำผิดไว้มาก ปฏิบัติจะยาก

บุญช่วยให้เกิดความสุข สุขคือสะดวก 
สะดวกที่ดีที่สุดคือ สะดวกในการเดินตามอริยมรรค

(โอปปาติกะมี)
ตายแล้วเกิดใหม่ทันที ไม่มีใครตายแล้วหายสูญไป





วันอังคารที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2560

อิตถิภาววิการจิต

15 ส.ค.60

สืบค้นภายใน
เค้าเดิมต้นเรื่องจากบทสนทนาเรื่อง ทางเดินของปลาและอาภัพฐานะ 18 ประการ

อิตถิิภาวเป็นยังไง

  • อยู่ในภาวะพอใจอะไรได้ยาก
  • ถ้าต้องการจะมาดหวังให้ได้เสมอ
  • ใจร้อน
  • ต้องเสร็จ
  • เป็นโทสะกรุ่นๆ เจือๆ
  • เหมือนจะมีความรับผิดชอบ แต่จะเอาความคาดหวังผูกกับความรับผิดชอบนั้นด้วย
  • ใจไม่เป็นอิสระ
  • รู้สึกว่ามีเวลาน้อยในการจัดการสิ่งต่างๆ 
  • เอาความพอใจไปผูกกับการจัดการภายนอก ด้วยจัดการร่างกายไม่ได้
  • ความตีเสมอท่านเมื่อมีโอกาส
  • คิดเอาเป็นฐานก่อนการให้ ราวกะว่าการ "ได้รับ" เป็นสิ่งที่สมควรจะต้องเป็น
  • มีความมายาเสแสร้งอยู่บางอย่าง
สรีรสมุฏฐาน

เด็กหญิงเปลี่ยนเป็นสตรี เมื่อร่างกายเข้าสู่การมีรอบเดือน
ไม่ถูกทักก็ลืมไปแล้ว
ร่างกายได้ถูกธรรมชาติขืนใจมาแล้ว วิการจิตถูกประกอบขึ้นจากความช่วยตนเองไม่ได้
และก็ทำอะไรไม่ได้ โทษอะไรไม่ได้ เพราะธรรมชาติกลไกมาอย่างนั้น

ภาวะแห่งความต้องจำยอม
ความแปรสภาพเป็นผู้ต้องขังในร่างกายตนอย่างฉับพลัน
ก่อให้เกิดความเสียใจสุดประมาณอย่างไม่สามารถร้องทุกข์กับใครได้
สตรีทุกร่างถูกปราบพยศมาแล้ว และถูกกำราบอยู่เนืองๆ

ขณะนึกถึงสภาพเหล่านี้ ร่างกายรวดร้าวอ่อนๆ ไร้แรง จิตไม่แช่มชื่น ไม่เบิกบาน 

พอนึกถึงอย่างนี้ ถ้ามองในแง่กฏแห่งกรรม
อาจเคยขืนใจใครอย่างนี้มาก่อนกระมัง

รู้ 7 ประการ
  1. ความรู้ในสภาวะ (รู้ความเกิด)
  2. ความรู้ในเหตุเกิด
  3. ความรู้ในความดับ
  4. ความรู้ในวิธีให้ถึงความดับ
  5. รู้คุณ
  6. รู้โทษ
  7. รู้อุบายเครื่องออก/รู้ทางออก


ความสามารถของเมตตา

พยัญชนะเดียวกัน
ใส่เมตตาเข้าไป
ดูราวกับตัวตนจะหายไปในรส

มณฑลแห่งแสงจันทร์

มณฑลแห่งแสงจันทร์
บุหลันยันเมฆา
สกุณาร่อนเวหา
ใครกันหนามายืนดู

วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2560

นาม

นามมีลักษณะแห่งการน้อมไป
แล้วบรรจบกัน จึงปรากฏ
ถ้าแยกจากกันก็ไม่ปรากฏ

ผู้เดินโสดาปัตติมรรค จักไม่ตายก่อนได้โสดาปัตติผล

อภพฺโพว ตาว กาล กาตุง, ยาว น โสตาปตฺติผลํ สจฺฉิกโรติ
เป็นผู้ไม่สมควรเพื่อที่จะทำกาละ
เป็นผู้ไม่สมควรตาย
เป็นผู้จะไม่ตาย
ตราบเท่าที่ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล

มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหาหัตถิปโทปมสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ ข้อ ๓๐๖
สังยุตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสูตร เล่ม ๑๗ ข้อ ๓๑๑

ท่านว่าแม้โลกจะแตกก็ต้องรอก่อน

[๓๓] ฐิตกัปปีบุคคล บุคคลผู้ชื่อว่า ฐิตกัปปี เป็นไฉน ?1
บุคคลนี้ พึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล และเวลาที่
กัปไหม้จะพึงมี กัปก็ไม่พึงไหม้ตราบเท่าที่บุคคลนี้ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดา-
ปัตติผล บุคคลนี้เรียกว่า ฐิตกัปปี. บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยมรรคแม้ทั้งหมด

ชื่อว่า ิตกปฺปี ผู้มีกัปตั้งอยู่แล้ว.
พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 213

วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เดือดร้อนในสิ่งใด 11/8/60

ยังเดือดร้อนในสิ่งใด
ยังเชื่อว่าสิ่งนั้นจะคงอยู่ตลอดไป

ยังเชื่อว่าสิ่งใดจะคงอยู่ตลอดไป
ยังหวังว่าสิ่งนั้นจะคงอยู่ตลอดไป

เลิกหวัง ก็เลิกเชื่อ ก็เลิกเดือดร้อน

...

ในความเงียบก็มีการกระทำ
เป็นการกระทำที่ไม่รู้จัก
เพราะเงียบจึงถามไม่ถูก
จึงสนใจ จึงเพ่งมอง จึงไม่หายไป
จึงเข้าใจผิด

วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2560

จากอยู่กับรู้สัญจร 27-30 ก.ค.60

โดยสภาวะ
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เป็นตัวเดียวกัน ภวังคุบาท

มีลักษณะแห่งความตั้งมั่น เป็นฉากหลัง ผลคือไม่ถลำไถลไปกับชอบไม่ชอบในผัสสะ หรือไปก็กลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่ค้างหรือเพลินอยู่ในชอบไม่ชอบนั้น

อุปาทานขันธ์ 5

อุปาทานขันธ์ 5

ไม่ได้แปลว่า ความยึดในขันธ์ 5
ไม่ได้หมายความว่า ขันธ์ 5 ไม่ทุกข์แล้วความไปยึดในขันธ์ 5 เป็นทุกข์

แต่สื่อถึงประเภทของขันธ์ที่ถูกยึดได้

คือขันธ์ แบ่งเป็นที่ถูกยึดได้ และที่ถูกยึดไม่ได้

ที่ถูกยึดไม่ได้ เช่น โลกุตรจิต

เทศน์เช้า 9 ก.ค.60