3-5 มิ.ย.65
ณ ภูเขาห้าลูก พระพุทธรูปมัว ใจแข็งกระด้าง
สร้างเป็นขอบเขต ไม่กลมกลืนขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะไปกับน้อง
จึงเกิดคู่ควบอย่างนั้นขึ้น
มานะนี้ ทำงานโดยการเปรียบเทียบ
เห็นคนอื่นดีกว่าแล้ว ก็เกิดปฏิกิริยา แต่มันก็เป็นเช่นนั้นเอง
ความไม่รู้นี่จู่โจมหลายทาง
รอบนี้เริ่มต้นด้วยส่งเสริมให้ไปสงสัยเรื่องการแช่ก่อน
แช่อารมณ์ไม่สดชื่น แล้วคิดว่าไม่ต้องแก้
ซึ่งโดยหลักแล้วก็ไม่ต้องแก้จริงๆ แต่ก็ดันไม่ ‘ตื่นรู้’ ด้วยไง ปล่อย อยากแช่ก็แช่ไป
สงสัยว่า จะต้องแก้ด้วยหรือ เดี๋ยวก็หายนิ เกิดเป็นความสองจิตสองใจว่าจะเอายังไงกับอารมณ์นี้
ความสองจิตสองใจนี้ก็เป็นพลาดดอกที่ 1 ... ต้องการทำอะไรเพื่ออะไร
(ยกนี้เธอชนะ)
(จริงๆ เทศน์ก่อนกลับวันนี้ก็ได้คำตอบว่า
ถ้าออกจากอารมณ์ทางใจไม่ได้จริงๆ มันติดจริงๆ ให้กลับสู่กาย)
อุบายที่ได้ในรอบนี้ คือ มันไม่ไปแก้
แต่ก็ต้องไม่ปล่อยจม 1 อารมณ์
การแช่ เป็นการที่อารมณ์เป็นใหญ่ และลืม background
ลืมผู้รู้
ซึ่งเมื่อลืมผู้รู้นี่ มันเลยถูกครองงำในสิ่งเดียว ไม่มีส่วนแบ่งภาคมาเปรียบเทียบ
ไป 3 วัน เห็นมานะ 3 แบบ
วันแรก – เห็นอารมณ์อึนๆ
วันที่สอง – ฟังเทศน์แล้วใจคลาย คลายตรงคำว่า “พระพุทธเจ้าชักสะพานกลับ”
วันที่สาม –
เห็นความกระด้างตั้งอยู่คนละส่วนกับใจ
ขอขมาพระรัตนตรัยไปในใจก็สั่นสะเทือนอย่างมาก
ครูบาอาจารย์ว่าให้ขอขมาออกมาจากใจ
อีกองค์ว่า ที่เขาเคยติด และหลุดได้ก็เพราะ “กลัวตัวเอง”
ดังนั้นให้มาเห็นโทษ เมื่อเห็นแล้วว่ามันเป็นขี้
ไม่มีใครกำอยู่ได้หรอก
มีคำชี้แนะมาว่ามันมีเคสที่มานะขึ้นแล้วเป็นทุกข์
กับมีเคสที่ มานะขึ้นมา แล้วทุกข์ แล้วหลบ
เช่นเห็นหน้าคนนี้แล้ว
ข้อสังเกตด้วยตัวเองสำหรับรอบนี้คือ
มานะมาพร้อมกับโทสะ แต่ไม่ได้เกรี้ยวกราด
อาจจะไม่ปรากฏแล้วตัดเข้าหลบเลยก็ได้
ตากระทบ – ใจเปรียบเทียบ – ไม่ชอบใจ – โทสะ – แช่ว่าง
/ หลบผัสสะไปอารมณ์อื่น
ขมวดมาลงที่ประเด็น ว่าที่ว่ารู้
รู้นั้นเป็นกลางต่ออารมณ์หรือเปล่า นี่เป็นสิ่งที่พึงแยบคาย