วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

21-27 ก.ค.2568 / 2025 ไปภูพอเพียง

  • หัวเรื่องที่เรียน คือโพธิปักขิยธรรม
  • สิ่งที่ได้รู้เพิ่มคือ ถ้าอธิบายตาม step
    • เริ่มที่สติปัฏฐาน 4 นั้น คือการให้เห็นความจริงของ สิ่งที่มี หมายถึง เห็น/เข้าใจความเป็นไตรลักษณ์ในสิ่งที่ปรากฏ ทั้งดี ทั้งไม่ดี คือ เน้นที่สติ ไปรู้จักทั้งสิ่งดีและไม่ดีให้หมดก่อน ไม่เลือก เห็นดีก็ได้ เห็นไม่ดีก็ได้ ให้รู้ก่อนว่าธรรมดามันเป็นอย่างนี้
      • ขยายความ สิ่งที่มี คืออะไรปรากฏ ก็คืออันนั้น
      • ไม่ใช่ว่า ความฟุ้งซ่านปรากฏ ดันไปจ้อง 
        • โดยหวังว่าจะเห็นความดับ (ก็บอกให้เห็นว่าเป็นสิ่งเกิดดับนี่) หรือ 
        • แอบๆ จะเพื่อจะให้มันดับ หรือ
        • เหมือนจิตแอบดุตัวมันเองอยู่ว่า อย่าฟุ้งสิ ! 
        • ที่ถูกคือ เห็นคือเห็น ไม่เห็นคือไม่เห็น แล้วก็แล้วเลย
      • ความง่วงปรากฏ ดันไปเข้าใจผิดว่า เห็นสิ่งนี้จะต้องรู้เหตุของมันด้วยนะ ผลคือ
        • ไปมัวงมหาว่าเหตุมันคืออะไรนะ ฉันอโยนิโสอะไรผิดเนี่ย (ถ้าในกรณีนี้คือ ถ้ามันปรากฏแต่ผล ก็ดูผลโว้ย ! เพราะมันเห็นแค่ผล สิ่งที่ทำคือเห็น เพราะสติมันจับแค่ผล ตอนนี้มันไม่ได้จับเหตุ มึงไม่ต้องควานหาเหตุ ซึ่งไม่ปรากฏกับจิต)
        • การควาน การค้น การคุ้ย การอื่นๆ อีกมากมายที่พยายามจะแสวงทบทวนหาเหตุ ไม่ใช่การรับรู้ความจริงของ "สิ่งที่มี" แต่เป็นการกำลังค้นหา "สิ่งที่ไม่มี"
        • กล่าวคือ มันจะไปพลาดตรงการ identify "สิ่งที่มี" คลาดเคลื่อน 5555 เลยโง่ยาว
    • จากนั้นตั้งแต่สัมมัปธาน เป็นต้นไป คือ เมื่อเห็นทั้งสิ่งดีไม่ดีแล้ว เราก็รู้เหตุปัจจัยว่า ถ้าจะหมดกิเลส จะต้องแจ้งนิพพาน จะแจ้งนิพพาน ต้องมีมรรค จึงทำไปตามหน้าที่คือ เลือกสร้างสิ่งที่เป็นมรรค เลือกละเว้นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับมรรค
      • ดังนั้นโดยการปฏิบัติแล้ว แม้จะรู้ว่าดี - ไม่ดี เสมอกัน แต่จิตที่เดินสัมมัปธาน จะเลือกฝั่งกุศลเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาน
      • และยิ่งจิตที่เป็นวิริยินทรีย์ จะยิ่งประคองให้จิตอยู่ในงานที่สู่เป้าหมาย มุ่งขัดเกลากิเลสตนเป็นหลัก จะไม่ใช้ความเพียรเพื่อแก้ชาวบ้านเลย เลิกแก้สังคม แก้กิเลสตนเท่านั้น 100% ไม่ทอดธุระในกุศลทั้งหลาย มีความรู้สึกว่าเราจะต้องเข้าสู่กุศลให้ได้ทุกๆ ชั้น (เมื่อจิตเริ่มเดินอย่างนี้คือเป็นอินทรีย์ คือเริ่มลงทะเบียนเรียนเก็บหน่วยกิตละ เก็บครบเมื่อเป็นพระอรหันต์)
    • อิทธิบาท เป็นเรื่องของการสร้างฐานของจิตเตรียมให้องค์มรรคประชุม ก็แล้วแต่ว่าจะอาศัยอะไร
      • อาศัยฉันทะ ทำบ่อยๆ เสนอหน้าบ่อยๆ สักวันจะถูกหวย เจ้านายจะให้รางวัล (หมายถึงจิตจะเป็นสมาธิ)
      • อาศัยวิริยะ นานๆ ทำที แต่อาศัยแนวหน้ากล้าตาย สู้ไม่ถอย จนได้รางวัลไป
      • อาศัยจิต ประกอบจิต ปรุงจิตเป็นกุศลเนืองๆ จนได้สมาธิ เหมือนพวกชาติตระกูลดี
      • อาศัยปัญญา อันนี้ยังไม่เข้าใจในรอบนี้
    • อินทรีย์ 
      • สัทธินทรีย์ นี่เป็นศรัทธาปัญญาตรัสรู้ โดยที่ตนก็ได้เข้าถึง เข้าใจระดับนึงที่มั่นใจว่า ถ้าฉันทำเหตุในทางนี้ จะไปสู่ความหลุดพ้นได้อย่างแน่นอน เป็นความมั่นใจระดับที่ว่า ถ้าทำจะมีโอกาสแน่ๆ ไม่ใช่ระดับที่แบบเออลองทำตามๆ ไปก่อนเดี๋ยวก็ได้มั้ง ถ้าอย่างนี้ยังไม่ใช่อินทรีย์
      • จนเริ่มลงมือทำแบบไม่ถอย นี่เป็นวิริยินทรีย์
    • พละ
      • เน้นดูที่ความไม่หวั่นไหวในธรรมตรงข้าม ไม่ว่าจะในตน หรือในผู้อื่น คือคนอื่นไม่ทำเรื่องของเมิง แต่กุทำต่อไปตามเหตุตามผล เพื่อเป้าหมาย คือนิพพาน

  • ข้อสังเกตตามปัญญาตนในรอบนี้
    • ธรรมชาติที่สัปปายะมากกับตน คือ ป่าครึ้ม มีลำธาร และลมพัดเย็นๆ ตลอดเวลา แค่เข้าเขต ใจก็สงบแทบจะทันที เป็นความสงบที่ไม่วุ่นวายในกรรมฐานว่าจะต้องพิจารณาอะไร
    • ในขณะที่อีกสถานที่ก็ดี คือลานต้นไม้หน้าหอแสดงธรรม ซึ่งจริงๆ ก็ดีทุกอย่าง แต่ความเป็นหญ้าเทียม ทำให้ในใจดูไม่เรียบเนียนนิดนึง เดินสบาย แต่ไม่สงบ
    • จิตที่ค้นคว้า ไม่ใช่จิตที่กำลังรับรู้ความเป็นจริง
    • ความเดือดร้อน หรือความเลือกจะเอาข้างใดข้างหนึงที่ดีกว่า จะเกิดกับกิเลสที่ยังไม่ผ่าน แต่กิเลสที่ผ่านแล้ว มันไม่สนใจ มีก็ช่าง ไม่มีก็ช่าง มันมาเดี๋ยวก็ไป เออ ไม่มองได้งี้ทุกตัวล่ะวะ ! มันก็เรื่องเดียวกันเปลี่ยนตัวละครมั้ย
    • มีข้อสันนิษฐานแปลกๆ ว่า ความง่วงเกิดจากกาม ซตพ.กันต่อไป
    • ด้วยความที่ชอบสวดมนต์เร็ว และเสียงดัง ก็จะทนความยานคางของผู้นำไม่ได้ เลยโดนบอกว่า เวลาสวดให้ฟังผู้นำสวดด้วยนะ มันก็เลยเปลี่ยนเป็นนั่งฟัง และพิจารณาธรรมแทน ก็พบว่ามันก็แว่บเห็นมานะ เป็นความแข็งกระด้างเป็นโครงขึ้นมาเชียว แต่นั่งดูก็ตลกดี มันเป็นมานะที่ไม่มีไส้ กลวงๆ แต่มีอยู่นะ แต่แกนทิฏฐิไม่มี เป็นมานะโอโจ้ เพิ่งเคยเห็น ว่าหน้าตาเป็นงี้ เลยทักทายมันไป ขอบคุณสถานการณ์ที่ให้เรียนรู้
    • ยังคงงงๆ กับอาการร้องไห้ในบทธรรมกระแทกใจอยู่เสมอ เกิดทุกวัน 
    • ค้นพบว่า หนึ่งในเหตุที่ไม่เพียร เพราะความรู้ในเหตุผลไม่ชัดเจน 
      • คือถ้าว่ากันตามพระพุทธเจ้า การทำกุศล ต้องให้ผลเป็นสุขเท่านั้น, การทำอกุศล ต้องให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น
      • แต่เวลานั่งสมาธิแล้วปวดหลังปวดเอว หรือเดินจงกรมแล้วง่วงจัง เราเลยคิดว่า มันเป็นเหตุเป็นผลกัน แต่นั่นคือการที่ไม่แม่นยำในเหตุผล
        • ความทรมาน เป็นผลจากอกุศลในอดีต
        • แต่การพยายามนั่ง เป็นการสร้างกุศลปัจจุบัน ที่จะให้ผลในอนาคต
        • ดังนั้นมันคือ เกิดเวลาเดียวกัน แต่มันไม่ใช่เหตุผลของกันและกัน
        • หน้าที่คือ ชัดเจนในตรงนี้ และทำสิ่งที่ควรทำด้วยปัญญาต่อไป
    • สิ่งที่ดังอยู่ในหัวเนืองๆ รอบนี้คือ ธรรมเป็นของมีผล
    • เหมือนจะมีความเข้าใจ ยถาภูตัง ปชานาติ ขึ้นอีกนิด แต่ก็เรียกว่า ดับตรงนั้นเลย มาระลึกตอนนี้ นึกไม่ออก 

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

สมุทัย

มันเป็นการแสวงหาด้วยความอยากของเธอแท้ๆ
ที่ไปทำให้มันมีความแตกต่างกันขึ้น ระหว่างของ 2 สิ่ง

ธัมมายตนะ vs ธัมมารมณ์ / ธรรมารมณ์

ธัมมายตนะ (เอาไว้กระทบกับมโน/ภวังคจิต)

มี 3 ชุด ได้แก่

  • เจตสิก 52
  • สุขุมรูป 16
  • นิพพาน
ธัมมารมณ์ เป็นอารมณ์ของมโนวิญญาณ (คนละอันกับธัมมายตนะ)
มีอยุ่ 6 ชุด
  • ปสาทรูป 5
  • เจตสิก 52
  • สุขุมรูป 16
  • นิพพาน
  • จิต
  • บัญญัติ (สมมติ)