วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564

กรณีศึกษาอาลัวพระเครื่อง (หลู่คุณท่าน)

(วิสัชนาธรรมโดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)

       ตกเครื่องบินตาย มีคนถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้รับไม่ได้คนเดียวเพราะปรามาสพระพุทธเจ้า

       “เมื่อหลายปีก่อนเครื่องบินตกที่ภูเก็ต มีคนตาย ๘๓ ศพ มีคนมาถวายสังฆทานกับอาตมาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คนตาย ตอนก่อนไม่เห็น พอปรารภเข้าก็เห็นหมด พวกนั้นมาปรากฏกายทั้งหมด เพราะมาคอยอยู่ที่นี่หมดแล้ว"

       บรรดาผีบอกว่า ถวายสังฆทานให้น่ะดี แต่เวลานี้ยังไม่เอา ขอรอให้คนมามากต่างคนต่างทำ ที่นี่เขาบำเพ็ญกุศลมีกำลังสูง พวกเขาต้องการกุศลจากคนทุกคน แกหากินถูกช่องเหมือนกัน

       ก็เป็นอันว่า เวลาอุทิศส่วนกุศลจริง ๆ รับไม่ได้อยู่คนเดียวเป็นฝรั่ง ถามเทวดาชั้นจาตุมหาราชว่า “ทำไมรับไม่ได้” ท่านบอกว่า 

       “คนนี้ปรามาสพระพุทธเจ้า ไม่มีโอกาสโมทนา”

       เขาอาจจะข้ามพระพุทธรูปเข้ามั้ง ไม่มีเจตนาชั่ว แต่ปรามาสคิดว่าเป็นตุ๊กตา

===
ว่าด้วยเรื่องการนำรูปสัญลักษณ์พระพุทธเจ้ามาทำเป็นขนม

       การนำ "รูปสัญลักษณ์พระพุทธเจ้า" ซึ่งเป็นองค์แทนขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พุทธศาสนิกชนสักการะบูชา เคารพเลื่อมใสด้วยความนอบน้อม ออกมาทำเป็นขนมขาย ไม่ต่างอะไรกับการไปด้อยค่า กดให้ต่ำลง (ปรามาส) ในสิ่งที่ควรบูชาสูงสุด ซึ่งพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่มีความยึดมั่นในพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกแล้ว ย่อมมีจิตพึงรู้ได้ด้วยสามัญสำนึกว่า การกระทำเช่นนี้ย่อมถือเป็นการปรามาสหาใช่การเคารพนอบน้อมด้วยจิตเลื่อมใสศรัทธาไม่ ซึ่งผู้ที่ทำกรรมอันเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้าไว้ หรือผู้มีส่วนร่วมสนับสนุนก็ตาม ย่อมมีโทษมาก และได้รับผลกรรมตามมาเป็นความหายนะอย่างร้ายแรงที่สุด ๑๐ อย่าง คือ

   ๑.บุคคลผู้นั้นจะยังไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ
   ๒.เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ฌาณ สมาธิ จะเสื่อมทันที
   ๓.สัทธรรมของบุคคลผู้นั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว
   ๔.เป็นผู้หลงคิดว่าตนเป็นผู้บรรลุสัทธรรม
   ๕.ไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์
   ๖.ถ้าเป็นภิกษุต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างนึง
   ๗.ย่อมถูกโรคเบียดเบียนอย่างหนัก
   ๘.ถึงความเป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน
   ๙.หลงตามกาละ คือตายอย่างขาดสติ
   ๑๐.เมื่อตายย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

(อ้างอิงจาก: พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต)

   ดังฉะนี้แล้ว เราท่านทั้งหลายจึงพึงระวังให้จงหนัก ถึงผลกรรมอันเกิดจากการปรามาสพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะด้วยประการใด ๆ ก็ดี รู้เท่าถึงการณ์ก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี เจตนาก็ดี หรือไม่เจตนาก็ดี

CR.วัดป่าพรหมยาน

===

พระพุทธรูปนี่เป็นพุทธานุสติ คือเมื่อเห็นแล้วมีจิตระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่เกิดมาก็ไม่ทันเห็นท่าน เวลาเราจินตนาการก็จินตนาการเป็นพระพุทธรูปได้เท่านั้น ซึ่งดูไม่เหมือนคน แต่ก็มีรูปที่ทำให้ระลึกได้ว่านี่คือรูปของคนไม่ใช่อย่างอื่น แต่เป็นเด็กแอบสงสัยว่าทำไมไม่ทำให้รูปเหมือนคนจะได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าหน้าตายังไง

พอโตมาเรียนอักษร อาจารย์เขาว่ารูปพระพุทธเจ้า ไม่ได้ทำเหมือนจริง แต่เป็น abstract แต่ละชิ้นส่วนแทนคุณธรรมความดีหรือบารมีที่พระองค์ได้สั่งสมมา จึงกลายเป็นพระมหาปุริศลักษณะ คือรูปร่างของมหาบุรุษ 

ตอนนี้ถ้านึกถึงพระองค์ที่เป็นคนก็จะนึกถึงตอนที่คีนูรีพแสดง เพราะรู้สึกว่าหล่อมาก ใช่เลย ดูแล้วเป็นเจ้าชายฯ แต่ล่าสุดที่เป็นพระเอกแขก เราอยู่วัดแล้ว ไม่มีอารมณ์อย่างนั้นแล้ว มันเลยไม่จำ 555 ถามตอนนี้ก็จำได้แต่คีอานูรีฟ เพราะมันประทับใจเป็นสัญญา 

ดังนั้นก็เลยเข้าใจว่า ทำไมเขาไม่สร้างพระพุทธรูปมีกล้ามเนื้อ ดูเรียลลิสติก ให้ส่อไปทางกามได้เลย เพราะพระองค์เหนือมนุษย์ไปแล้ว เป็นสัญญะ หรือสัญลักษณ์เท่านั้น เขาถึงใช้รูปแบบศิลปะอย่างนี้ คือตัดทอนและมีลักษณะที่เป็นสัญลักษณ์ คงไว้เท่าที่จำเป็น เพราะยังไงก็คือคน คือภูมิมนุษย์

ต้องงามด้วย ต้องดูศักดิ์สิทธิ์ น่าเชื่อถือ ดูแล้วสงบ มีเมตตา ดูแล้วเชื่อว่าเป็นตัวแทนรูปพระพุทธองค์ ต้องไม่ชวนให้คิดไปทางอื่น ถ้าศึกษาแล้วจะรู้สึกว่าน่าทึ่งมากๆ ศิลปินเก่งมากๆ 

ถ้าได้ทำฌาน ก็รู้อีกว่า ศิลปินเก่งมากขนาดนั้น ฟ้าต้องส่งลงมาเกิด หรือไม่ก็มาแบบไม่ต้องเกิดเลย สร้างเสร็จก็หายวับไปแบบนั้น สามารถตอบโจทย์ทางปรัชญา หรือทางธรรมได้หมด ในรูปเดียว

ดังนั้นจริงๆ แล้วพระพุทธรูปคือพระธรรม เป็นสื่อแสดงธรรม ไม่ใช่เป็นศาสดาซะเอง แต่หน้าที่สำคัญ คือ เมื่อเห็นแล้วเกิดความระลึกนึกถึงพระพุทธองค์ เป็นพุทธานุสติ เห็นแล้วระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า หรือพุทธคุณ จิตเกิดปีติปราโมทย์ พ้นทุกข์ได้หนึ่งขณะสองขณะ ถ้าตายตอนนั้นไปสู่สุคติได้ 

(การถอดรหัสนี้ จะไม่เกิดในยุคปัจจุบัน ซึ่งการเรียนการสอนธรรมะเป็นส่วนเกินของหลักสูตร เป็นความล้มเหลว เพราะเอาไปไว้ในระบบการศึกษา)

พระเครื่องมามีเมื่อโลกเริ่มยึดวัตถุมากขึ้น อย่างไรก็ดี พระเครื่องจัดเป็นวัตถุมงคล ในโลกของวัตถุนิยม materialism นี้ ถ้าเราจะยึดวัตถุอะไรสักอย่างด้วยนิสัยชอบยึด ก็ให้ยึดพระเครื่องเสีย จะได้เป็นมงคล ก็ยังดีกว่าไปยึดอย่างอื่นที่เป็นอัปมงคล ครูบาอาจารย์พระสงฆ์หลายองค์ก็เลยทำพระเครื่องขึ้นมาให้ลูกศิษย์ไปบูชา 

ลูกศิษย์เอาไปบูชาบ้างก็เกิดพุทธานุสติ บ้างก็แค่เอาไว้เป็นกำลังใจจะได้ทำผิดทำบาปอย่างปลอดภัยก็มี อันนี้ครูอาจารย์ท่านก็คงห้ามไม่ได้ แต่เจตนาคือเอาไว้เพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจ เอาไว้บูชา ด้วยความศรัทธา ทำให้ศิษย์มีการไหว้พระบูชา มีการท่องคาถาอาราธนา ก็เป็นอุบายให้ได้ปฏิบัติทานศีลภาวนา นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี 

ส่วนขนมเอาไว้กิน อาลัวเป็นขนมที่หายาก เพราะไม่ค่อยมีคนรู้จัก แต่ถ้าทำรูปทรงน่ารักๆ ก็ยังน่ากินยังขายได้ หากินได้ ถ้าทำเป็นรูปที่กินได้ เห็นแล้วน่ากิน ตามบรรทัดฐานที่เหมาะที่ควร แต่ถ้าทำรูปที่มันเป็นของอุบาทว์ ผิดบรรทัดฐานการกิน เช่นทำรูปขี้ หรือรูปผี ก็คงดังแค่พักเดียว แต่ถ้าทำรูปที่น่ากิน ก็ขายได้เรื่อยๆ

การเอาขนมมาทำเป็นรูปพระเครื่อง นอกจากจะไม่เป็นมงคล ไม่ได้ช่วยให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ แต่ระลึกว่าไม่ควรทำไม่ดีไม่งาม(อกุศล) 

ใครกินเข้าไปก็ต้องเรียกว่าอัปมงคล 

เห็นเงินดีกว่า คุณธรรมความดี คงจะมีทุคติเป็นที่ไปอย่างแน่นอน ไม่เชื่อลองติดตามดูชีวิตของพวกเขาหลังจากนี้ไป 

ฉันไม่ได้เป็นพระภิกษุ ไม่ได้เรียนบาลี ไม่สำเร็จเลยสักประโยค แต่ฉันก็รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาป 

 "ความลบหลู่เป็นการทำสิ่งที่เขาทำดีแล้วให้พินาศไป 

จำได้มั้ยห้างดังที่ยิงกันหลายศพ ครั้งนึงก็เปิดโอกาสให้มีการล่วงเกินปรามาสพระพุทธเจ้า อย่างถูกต้องตามกฏหมายกฏหมู่ กฏอะไรก็ตาม

ตอนที่ต้องรับวิบากกรรม ก็เพราะสถานที่มันอัปมงคล กรรมมันก็ลงได้ง่าย 
ดังนั้นก็เลยต้องนิมนต์พระสงฆ์มาปัดเป่ามาสวดมนต์ให้เป็นมงคลภายหลัง 

สำหรับขนมอัปมงคล ก็ดูกันต่อไป ว่าจะเป็นยังไง

พี่ไม่ได้แก่ศรัทธา พี่แค่ชอบพิสูจน์ทฤษฏี และพร้อมใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์ ทำสิ่งอัปมงคล ชีวิตจะเป็นมงคลได้ยังไง ดูกันไปค่ะ

นี่ยังไม่ได้พูดถึงความเป็นมงคล หรือความดีงามของพระสมเด็จเลยนะคะ
เด็กที่วาดรูปพระพุทธเจ้าในชุดอุลตร้า ยังลบหลู่แค่พระพุทธ แต่เอารูปพระสมเด็จมาทำพิมพ์ขนม คุณอัปมงคลหลายระดับ ลบหลู่ทั้งองค์สาม คือพระรัตนตรัยเลยค่ะ 

พี่น้องอย่าไปกดไลก์ คือทำกรรมร่วมกับเขาเลยนะ แม้แชร์ก็ไม่ควรแชร์นะ เพราะอาจทำให้คนอื่นกดไลก์ได้นะ

อนิจจานุปัสสนา vs อนิจจานุปัสสี

อนิจจานุปัสสนา 
เป็นชื่อของปัญญา

ส่วนอนิจจานุปัสสี
เป็นชื่อของบุคคล
ผู้มีปัญญาชนิดนี้เป็นปกติ

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2564

โคลงทำนาย

ตรัสแก้สุบินนิมิตรของพระเจ้าปเสนทิโกศล
(จัดพิมพ์ในหนังสือ “วันทามะหัง” ปี พ.ศ.๒๕๕๔)
.................................

๑. เห็นสี่โคตั้งเค้า ชนกัน
     ท่าที ฤ แข็งขัน เข่นฆ่า
     ต่อชาวบ้านโจษจัน ห้อมโห่
     กลับเลิกรอยถอยล้า ดังนี้ เป็นใด ?

เมื่อโลกกันดารด้วย ความดี
จักแห้งแล้งขาดสี เขียวข้าว
เมฆทะมึนแต่สี่- ทิศท่า หนักเท
จนแล้วก็ร้อนเร่า ตั้งเค้า หลอกคน ฯ

..........

๒. ไม้พันธุ์ไม่พอคืบ พ้นดิน
      ผลิดอกออกผลริน เกลื่อนทุ่ง
      เดชะพระภูมินทร์ โปรดบอก
      ละอ่อนพืชหยาบยุ่ง เล่าร้าย ลางใด ?

เมื่อโลกร้อนด้วยเชื้อ ไฟกาม
แน่งน้อยมิทันงาม เต็มเนื้อ
รู้เสพสวาททราม ครรภ์ป่อง
วัยแม่ห่างลูกเชื้อ ไม่สิ้น สิบปี ฯ

..........

๓. แม่โค ฤ ก็แก่ ใกล้กาล
     ง้อขอดื่มนมธาร ลูกน้อย
      ลูก ฤ ก็เอาการ ตระหนี่
      อุบาทว์ใดจักคล้อย ด้วยเรื่อง ดังฝัน ?

เมื่อแผ่นดินสิ้นเชื้อ กตัญญู
ประโยชน์ก็เพื่อกู เท่านั้น
เลี้ยงแม่จักเลี้ยงดู ไม่ต่าง เลี้ยงแมว
แม่อดต้องทนกลั้น ขอข้าว เดนกิน ฯ

.............

๔. เทียมเกวียนเทียมไถด้วย ลูกโค
     แปลก.ไม่เลือกตัวโต เชื่องแล้ว
     โคน้อยไร้แรงโข อ่อนหัด
      เกวียนล่มไถไม่แคล้ว ดังนี้ ลางใด ?

ต่อผู้นำถ่อยทั่ว เต็มกลืน
กรมกองเด็กวานซืน นั่งชี้
จับผู้ใหญ่เวนคืน ขังคอก
ลากบ้านเมืองป่นปี้ สุดแล้ว ซวยใคร ฯ

...............

๕. ม้าแปลกมีสองปาก อ้ารอ
    คน ฤ ต่างพะนอ ป้อนหญ้า
    สองปากเหมือนไม่พอ จักอิ่ม
    ด้วยสุบินดังว่า จักร้าย แรงใด ?

เมื่อสิทธิ์พิพากษา ชั่วดี
ตกแก่มือกาลี ปากกว้าง
ถูกผิดคิดตามมี โอนอุด
คุกเหล็กเงินยังง้าง ประสาไร กฎหมาย ฯ

...............

๖. ค่าควรเมืองเช่นนั้น ถาดทอง
    บรรจงขัดเอี่ยมอ่อง อวดค่า
   น้อมเป็นกระโถนรอง สุนัขฉี่
   การณ์อนาถดังว่า ส่อเภท ภัยใด ?

เมื่อสถุลหนาแน่น นั่งเมือง
วงศ์หงส์ก่อนรุ่งเรือง กลับร้าย
ยากสู้พิษฝืดเคือง จำจิต
ยกธิดาคล้ายขาย แต่งด้วย เทือกสถุล ฯ

.................

๗. หนึ่งชายนั่งฟั่นเชือก หนังโค
     ปลายเชือกค่อยยาวโย้ หล่นแคร่
     นางจิ้งจอกหิวโซ นอนแอบ
     แทะเชือกปลายอิ่มแปล้ เขาหา รู้ความ ?

ผัวทำงานงก-งก สร้างครัว
เมียอยู่บ้านแต่งตัว ร่านเที่ยว
ผลาญทรัพย์บำเรอมั่ว ชายอื่น
ผัวหารู้สักเสี้ยว นกเอี้ยง เลี้ยงมา ฯ

................

๘. ตุ่มโตเต็มเอ่อน้ำ ตั้งกลาง
     ตุ่มเล็กแล้งน้ำวาง แวดล้อม
     ตุ่มเต็มจนล้นราง อุตส่าห์ ยังเติม
     ตุ่มแล้งตั้งร้อยห้อม สักผู้ ใครสน ?

รวยแล้วถึงรวยแล้ว ชอบกล
ก็จักขูดคนจน เลือดน้อย
คนจนนับเป็นคน ? อาจจะ !
โลกไม่ถมคนด้อย ถมแต่ คนมี ฯ