วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2568

ให้อภัยในมุมสมอง

การให้อภัยคือการเคารพคุณค่าของตัวเอง

0
“การเกลียดใครสักคน มันเหนื่อยจัง”

อันนี้เป็นประโยคที่ผมบ่นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บ่นให้ตัวเองฟังบน หน้ากระจกในห้องน้ำบนเครื่องบิน เที่ยวบินที่บินจากกรุงเทพไปมานิลา เพื่อร่วมงานหนังสือนานาชาติที่นั่น 

และพอกลับมานั่งที่ก็เลยคิดว่าไหนๆก็ไม่มีอะไรทำ นั่งอยู่อีกตั้ง 3 ชั่วโมงกว่าถึงจะไปถึงที่นู่น ก็เขียนบทความเกี่ยวกับ การเกลียด vs การให้อภัยอีกครั้งดีกว่า (เพราะถ้าจำได้ผมเคยเขียนไปแล้ว แต่วันนี้ขอเขียนแบบ reframe ก็แล้วกัน) 


1
การให้อภัย ไม่ใช่การทำดีกับเขา 

เรามักถูกสอนให้เชื่อว่า “การให้อภัยคือการยกโทษให้เขา” เหมือนกับว่าเรากำลังทำความดีครั้งใหญ่ต่ออีกฝ่าย 

แต่หากลองมองลึกเข้าไปในกลไกสมอง จะเห็นว่าความจริงแล้ว การให้อภัยไม่ใช่เรื่องของเขาเลย หากแต่เป็นเรื่องของเรา มันคือเรื่องของการปกป้องพลังชีวิตและเวลาที่มีจำกัดของเราไม่ให้ถูกเผาผลาญไปกับความโกรธ

“การเกลียดใครสักคน มันเหนื่อยจัง” คำพูดนี้ของผม จึงไม่ใช่เพียงความรู้สึก แต่คือข้อเท็จจริงทางชีววิทยา สมองของเราต้องทำงานหนักทุกครั้งที่เกลียดใคร เหนื่อยแบบที่เราอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเพราะความเกลียดมันเผาผลาญพลังงานสมองเรา 


2
ความเกลียดที่เผาผลาญสมองเรา

สมองส่วน amygdala เป็นด่านแรกที่ตอบสนองเมื่อเรานึกถึงใครบางคนที่เราเกลียด 

Amygdala มันคอยตีความสิ่งนั้นเป็นภัยคุกคาม และส่งสัญญาณไปทั่ววงจร limbic system ร่างกายเราถูกกระตุ้นเหมือนต้องสู้หรือหนี ทั้งที่ไม่มีศัตรูอยู่ตรงหน้า หัวใจเต้นแรง กล้ามเนื้อเกร็ง ความดันขึ้น เหมือนกับว่าทุกครั้งที่เราคิดถึงเขา เรากำลังจำลองการต่อสู้ขึ้นมาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

นอกเหนือจาก Amygdala นะครับในปี 2008 คุณ Zeki และ Romaya (2008) ทำการวิจัยโดยใช้ fMRI ศึกษาคนที่นึกถึงบุคคลที่เกลียด ผลคือพวกเขาพบว่าสมองส่วน medial frontal gyrus และ insula ถูกกระตุ้นชัดเจน 

ซึ่งทั้งสองพื้นที่นี้เกี่ยวข้องกับการประเมินภัยและการรับรู้ความไม่พอใจ แปลว่าเพียงแค่ “นึกถึง” ความเกลียด สมองเราก็เผาผลาญพลังงานทางอารมณ์อย่างมหาศาลแล้ว และไม่เพียงเท่านั้น สมองส่วน prefrontal cortex (PFC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางเหตุผล ก็ต้องทำงานหนักเพื่อกดอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา 

ผลลัพธ์คือความเหนื่อยล้าสะสมอยู่ภายในสมองของเราครับ 
ย้ำอีกทีว่าความเหนื่อยล้าสะสมอยู่ในสมองของเรา
โดยที่อีกฝ่ายอาจไม่รู้สึกอะไรเลยครับ 
มีเพียงเราเท่านั้นที่เสียพลังงานไปกับการเกลียด


3
สมองตอนให้อภัย = สมองตอนให้คุณค่าตัวเอง

แล้วทำไมบางครั้งเรากลับเลือกจะให้อภัย?คำตอบคือเพราะสมองเรามีวงจรอีกแบบหนึ่ง ที่ทำงานเพื่อปกป้องเราเอง ไม่ใช่เพื่อยกโทษให้เขา

งานวิจัยของ Strang และคณะ (2014) พบว่า เมื่ออาสาสมัครผู้เข้าร่วมถูกทำให้เสียประโยชน์ แต่ได้รับคำขอโทษก่อน แล้วตัดสินใจให้อภัย สมองส่วน angular gyrus ทำงานเด่นชัดขึ้น สมองส่วนนี้คือบริเวณที่เชื่อมโยงกับการตีความมุมมองใหม่และการทำความเข้าใจตนเอง 

ดังนั้นการให้อภัยจึงไม่ใช่แค่ “ปล่อยเขาไป” แต่คือการที่สมองบอกกับเราเองว่า “ที่ฉันโกรธก็เพราะฉัน ไม่ใช่คนแบบเขาไงล่ะ” ประมาณว่า “เป็นเรา เราไม่ทำแบบนี้หรอก” และ “เพราะแบบนี้ไงเราถึงแตกต่างกัน และไม่แปลกที่ฉันจะโกรธ”   

อันนั้นอาจจะเป็นจุดแรกที่เริ่มมีการ “ให้อภัย” มันคือการ “เข้าใจความแตกต่างระหว่างเรากับเขา” 

ถัดมาครับงานวิจัยในปี 2013 ของ Ricciardi และคณะ แสดงหลักฐานว่าเมื่อเราให้อภัย สมองส่วน mPFC, TPJ และ anterior insula ทำงานประสานกัน พื้นที่เหล่านี้คือวงจรของการสะท้อนตัวเอง (self-reflection) และการเข้าใจผู้อื่น (empathy) แต่หัวใจจริง ๆ ไม่ใช่การสงสารอีกฝ่าย หากเป็นการปกป้องหัวใจเราเอง 

ดังนั้นงานวิจัยนี้มันแสดงให้เราเข้าใจว่า การให้อภัย = การรีเฟรมเหตุการณ์ใหม่ ว่ามันไม่คุ้มที่จะเผาผลาญชีวิตไปกับความโกรธ การให้อภัยไม่ใช่การยกโทษให้เขา แต่เป็นการยกคุณค่าความรู้สึก และเวลาคืนให้เรา

มันคือการบอกว่า “เวลา” และ “ความรู้สึก” ของฉันมีค่ามากเกินกว่าจะเอาไปเผาผลาญกับ อีนั่น อีนั่น อีนั่น และอีนั่น ประมาณนี้ฮะ 


4
ให้อภัย = คืนเวลาชีวิต

ลองจินตนาการถึงการกำถ่านไฟไว้แน่น ความโกรธก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละฮะ ยิ่งกำไว้นาน ยิ่งแผดเผามือเราเอง และเราไม่จำเป็นต้องเขวี้ยงมันกลับไปใส่หน้าเขา เราแค่ปล่อยมือจากถ่านฮะ 

การปล่อยมือ ไม่ได้แปลว่าเราต้องหาคนมารับถ่านไฟต่อนะ เราไม่ต้องรอให้ใครมารับ เราแค่ปล่อยมือทิ้งมันลงไปเลย  พูดให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ การหยุดทำร้ายตัวเองครับ 

งานวิจัยด้าน self-forgiveness ของ Kim และคณะ (2023) พบว่าคนที่มีแนวโน้มให้อภัยตัวเองบ่อย มีโครงสร้างสมอง fusiform gyrus ที่เด่นกว่า และสิ่งนี้สัมพันธ์กับความยืดหยุ่นทางจิตใจ (resilience) และความเมตตาต่อตัวเอง (self-compassion) 

งานวิจัยนี้สะท้อนว่า “แก่นแท้ของการให้อภัย” คือการยืนยันคุณค่าในตัวเองมากกว่าการทำเพื่อคนอื่น

ทุกครั้งที่เราบอกว่า “ฉันให้อภัย” เรากำลังเลือกใช้เวลาชีวิตไปกับสิ่งที่เติมเต็ม มากกว่าที่จะเสียมันไปกับการ replay ความเจ็บปวด

ดังนั้นทุกการให้อภัย
คือการเรียกกลับคืนของ “คุณค่าตัวเราเอง” 
และคือการ “ยืนยันคุณค่าในตัวเราเอง” ครับ 


5
ปรัชญาจากสมอง

Mark Twain เคยเขียนไว้ว่า “Forgiveness is the fragrance that the violet sheds on the heel that has crushed it.” “การให้อภัย คือกลิ่นหอมที่ดอกไวโอเลตฝากไว้บนส้นเท้าที่เหยียบย่ำมัน”

กลิ่นนั้นไม่ได้เปลี่ยนส้นเท้าให้สะอาดขึ้น แต่มันสะท้อนเพียงว่าไวโอเลตยังคงเป็นไวโอเลต ยังคงมีกลิ่นหอมของตัวเองอยู่เสมอ

การให้อภัยก็เช่นกัน มันไม่ได้เปลี่ยนอีกฝ่าย แต่เปลี่ยนเรา ให้เรากลับมายืนยันคุณค่าของตัวเอง ว่าเรายังคู่ควรกับความงดงาม ความเบาใจ และชีวิตที่ไม่ถูกเผาผลาญไปด้วยความเกลียดชัง

ดังนั้นนะครับ การให้อภัยจึงไม่ใช่ของขวัญที่เรามอบให้คนอื่น แต่คือของขวัญที่เรามอบให้กับสมองและหัวใจของเราเอง 

ทุกครั้งที่เราให้อภัย เรากำลังบอกกับตัวเองว่า “ฉันคู่ควรกับการใช้ชีวิตอย่างเบาใจมากกว่าที่จะจมอยู่กับความโกรธ”

วันนี้คุณอยากให้สมองของคุณหมดแรงไปกับการเกลียดใคร 
หรืออยากใช้พลังนั้นเพื่ออยู่กับสิ่งที่ทำให้คุณเติบโต?
คุณเลือกได้นะฮะ 

https://www.facebook.com/share/169QtdvjFX/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น