วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เรื่อยเปื่อย 31 ก.ค.56

เวลาไปออกหน่วยจะมีธรรมชาติิอย่างหนึ่งปรากฏให้เห็นก็คือ ความไม่ค่อยอยากจะอยู่ร่วมกับสังคมนั้นสักเท่าไรนัก ด้วยหัวข้อการสนทนาที่เป็นไปอย่างโลกๆ ทำให้เรารู้สึกเบื่อแต่มาพอดูจิตตัวเองแล้วรู้สึกมันเบื่อๆ เนือยๆ มันจะรู้ก็ไม่รู้เฉยๆ จะเหยียบๆ โทสะไปเสียทุกครั้ง เวลาคนเห็นหัวก็พองฟู เวลาไม่มีใครเห็นหัวก็ฟีบเหี่ยว ธรรมดาขึ้นๆ ลงๆ คราวนี้ไม่ได้เต้นมากมายเหมือนทุกครั้งแต่รู้สึกมันเป็นอะไรดีหนา .. ปฏิกิริยาตอบสนองให้อีกฝ่ายเงียบซะ อะไรทำนองนี้ ก็เหมือนไม่ได้เกิดมาจากโทสะ และก็ไม่ได้เข้าใจว่าทำไมมันได้ทำไปแบบนั้น แต่มันก็คงไม่ได้ใช่อะไรที่ดีเด่และควรทำเป็นนิสัย การเบรกใครหัวทิ่มแบบนั้นคงไม่น่าพอใจนักสำหรับบางอุปาทานน่ะนะ

มันมีความรู้สึกไม่ค่อยแคร์
ไม่จำเป็นต้องแคร์ใครมากกว่าเดิม
กระนั้นนี่ไม่ใช่จิตที่รู้ ตื่น เบิกบาน ดูมันออกจะเป็นจิตที่เมินๆ เฉยๆ ซะมากกว่า

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อดีตมีพิษเพี้ยงสุริโย

เป็นวันที่สวดมนต์เกือบทั้งวันไม่ว่าจะทำอะไร
ไปเยี่ยมญาติซื้อของไปให้ กลับมาหาแม่
แต่ด้วยความหมกมุ่นกับตัวของเขาทำให้รู้สึกว่าไม่ได้รับการใส่ใจ แม้เราจะพยายามทำอย่างเต็มที่ก็ตามเกิดเป็นอาการน้อยใจ เสียใจ พอเสียใจปุ๊บน้ำตาก็เอ่อๆ แล้วก็พบว่ามีอาการชาหัวเข้ามา แล้วมันคุ้น จำได้ว่าอาการนี้เคยเกิดสมัยตกนรกอยู่นั่น ตอนนั้นมันดิ้นด้วยเพราะอาการชานั่นทำให้ไม่รับรู้ ปิดกั้นการรับรู้ แล้วก็มาต่ำต้อยด้อยค่าว่าตัวโง่อยู่เป็นนานสองนาน แต่ตอนนี้ เออจะชาก็ชาไป เสียใจก็ยังเป็นเราเสียใจอยู่ดี ก็ไม่รู้จะทำอะไรให้มันดีขึ้นมาทำไม ขี้เกียจไล่ตาม 555 ช่างมัน แต่ก็ทำให้เห็นว่ามันยังมีชิ้นส่วนที่ยังต้องการการดูแลทะนุถนอม และยังโง่ไม่เสื่อมคลายอยู่

เมื่อวานมีความคิดขำๆ ลอยเข้ามาว่าถ้าญาติสนิทตายไปจะเป็นยังไง แว่บหนึ่งนั่นก็เสียใจและรู้สึกถูกดึงติดเข้ากับอดีต แต่อีกแว่บหนึ่งมันก็มีคำว่า "ปรากฏการณ์ญาติสนิท" เกิดขึ้นในใจ มันสอนตัวเองว่า เกิดขึ้นแล้วดับไปน๊า

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เข้าพรรษาวัดมเหยงคณ์


  • ดูเบาๆ ดูแบบแตะๆ ไม่เพ่ง ไม่ได้จ้อง ชำเลืองๆ เหลือบๆ 
  • ถ้าอารมณ์มันแรงจนเอาไม่อยู่ดูไม่รอดก็ต้องใช้สมถะหยุดมันไว้ก่อน ไม่ไหวก็ใช้ความคิด
  • นั่งสมาธิแล้วเครื่องบินตกวูบมี 2 แบบ สัปหงก กับ ... 
  • จิตให้กับจิตรับต่างกันนิดหน่อย การรับแม้จะดีใจแต่ถ้ามองดีๆ จะมีจิตโลภอยู่ด้วย
  • ตอนนั่งสมาธิท่านก็ย้ำอีกครั้งว่าให้นั่งให้สบาย เพื่อไม่ให้ง่วงก็ไปซื้อพัดมานั่งพัด นั่งริมสระรับลมเย็น เหมือนจะมีอยู่ 2 ขณะที่คล้ายว่ากำลังจะเข้าใจอะไรสักอย่าง เห็นความ "ผ่านไป" เกิดเป็นความสุขขึ้น และเหมือนจะมีช่วงที่เกือบจะเข้าใจว่า มีอาการดีใจแบบไม่ีมีผู้ดีใจ ไอ้การมีผู้ดีใจเนี่ย ความดีใจมันไปชิดติดอยู่กับแกนอะไรสักอย่าง แต่การมีอาการดีใจเนี่ยความดีใจมันลอยอยู่กลางอากาศ แต่เห็นแค่ขณะเดียว ไม่ชัดเท่าไร การเสียบหูฟังธรรมะคาไว้ก็ดี พอรู้สึกตัวปุ๊บฟังเสียงธรรมะก็ตื่นทันที ไม่ทันที่จะไหลฟุ้งซ่านเละเทะ ความคิดฟุ้งซ่านทำให้การนอนเหมือนไม่ได้นอน
  • ได้ยินท่านตอบคำถามโยมเกี่ยวกับปีติที่ว่าน้ำตาไหล ท่านว่ามันเป็นธรรมดา เรามีชีวิตปกติที่ทุกข์มากพอได้รับความสุขจากสมาธิมันก็น้ำตาไหลเป็นธรรมดา ในตอนที่ไปกราบพระที่เจดีย์โบราณสถานน้ำตาก็ไหลแต่เข้าใจเองว่าไม่เกี่ยวกับปีติ แต่คงเกี่ยวกับการที่ได้นั่งสมาธิมามากอยู่บ้าง แต่เหตุที่ไหลที่รับรู้ได้คือรู้สึกสะเทือนใจที่เห็นซากปรักหักพังของพระพุทธรูป จากที่ตอนเช้าเพิ่งอธิษฐานขอทำร่วมบุญสร้างอุโบสถว่าขอให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

17 ก.ค.56
ใจเฉยๆ กายเฉื่อยๆ

มีความแปลกเวลาเจอ
มันไม่ชอบในความง๊องแง๊ง
จริงๆ แล้วเราคาดหวังอะไรกับเขากันนะ
มันจะมีกระบวนการวนซ้ำอันน่าระอา
แน่นอนที่สุดว่าผู้ที่เราคบหาเป็นคนดี บางทีสิ่งที่ควรทำแม้ยังไม่รู้อะไรคือการเน้นย้ำในข้อดีอันนี้ ขยายมันจนข้อเสียนั้นไม่มีนัยสำคัญไป

การบันทึกอะไรย้อนหลังนี้แปลก เหมือนไม่สามารถรำลึกไปได้ทันที
มันเหมือนมีกระแสคลื่นสั่นไหวบังอยู่ให้เห็นไม่ชัด
และมันก็ไม่ได้อยากระลึกจึงไม่มีอะไรให้บันทึก หรือจดจำเป็นเรื่องเป็นราวสักเท่าไร ทั้งๆ ที่หากจะเอาจริงๆ เค้นมาบันทึกมันก็จะเห็นอะไร แต่ด้วยความรุ้สึกว่ามันปรุงแต่ง มันจะเห็นแค่เงาของความจริง เพราะความจริงมันจมไปอยู่ไหนแล้ว ดีไม่ดีหายไปแล้ว

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ครั่น 2

นอกจากนี้ความครั่นยังเกิดจากโทสะเล็กๆ
เกิดจากความหงุดหงิด เป็น stress เวลาเจออะไรที่ต้องรีบๆ เร็ว
บังเกิดเป็นความสั่นไหวขึ้นมา

ครั่น

22/7/56
ความครั่น ปัญหาในสายราคะ
ครั่นทั้งตัว ครั้นทั้งใจทรมานดีแท้
ระหว่างเดินจงกรมรอบพระธาตุ ก็ได้ยินจิตบอกว่า "ขันตี ปรมัง ตโปตีติกขา"
ทนๆ เอาเด้ิอ

หลายครั้งในช่วงนี้ รู้สึกว่า อะไรๆ เคยทำมาหมดแล้ว
การเห็นไม่ยาก ตาไม่เปิด ถ้าตั้งได้เมื่อไรก็เห็นทันที

ลองเอาคำพูดของคนอื่นมาทวนดู
บางคำจะพบว่า ด้วยความเป็นเราแล้ว ไม่มีทางพูดอย่างนั้นออกมาได้
เช่น มีคนมาขอร้องให้ช่วยเหลือ เราไม่มีทางพูดว่า "ขอเล่นตัวพองามก่อนนะ"

หรือการพูดยอกย้อนอย่าง
จำเรื่องวันก่อนได้มั้ย ด้วยความเป็นเรา ไม่มีทางพูดว่า "เรื่องวันก่อนมีตั้งหลายเรื่องเธอหมายถึงเรื่องไหน"

เห็นหน้ากากอัตโนมัติ เมื่อคนอื่นมีกระแสมา เห็นทางเลือกมาเสนอว่า มันน่าจะทำอย่างนี้นะ แต่ด้วยสภาวะจิตที่มีความเฉื่อยในการปรับทำให้ยัง "ไม่ยอม" ปรับ

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เบื่อ

เบื่อนะ แต่เป็นเบื่อแบบโทสะ
เป็นความเบื่อในความคิด

รักนะแต่แค่คิดว่ารัก ประโยคนี้เป็นความจริงนะ
แต่ยังไม่เห็นเป็นความจริง เพราะยังไม่เห็นมันจึงยังไม่ยอมรับและไม่ปล่อยไปนี่ไง

หงุดหงิดแต่ไม่คิดว่าหงุิดหงิดก็จบ แต่ไม่จบจริงนะ มีอะไรบางอย่างหลุดรอดไปได้

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เจ้าความคิดซะเหลือเกิน

7/7/2013

ความทนได้ต่อความทุกข์ คือทนที่จะให้กิเลสลากคอไปๆ มาๆ ได้ มองแง่นึงมันก็เป็นกำลังอย่างนึงเหมือนกัน แต่ออกจะบ้าใบ้หนวกบอดไปหน่อย

ที่น่าสนใจคือกำลังตรงนี้ถ้ารวมเข้ามา ในทิศทางอันถูกต้องและเป็นระเบียบน่าจะเพียงพอ

ถ้าเช่นนั้นมนุษย์จึงมีศักยภาพในตัว

ปัญญา กับสมาธิ??
ทำไมแว่บหนึ่งของความรู้สึกรู้สึกว่ามันคือสิ่งเดียวกัน

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

笨不是偷懒的理由

笨不是偷懒的理由。โง่ไม่ใช่เหตุผลของความขี้เกียจ
谎言不会因为它看起来漂亮就不会给别人带来伤害

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

3 กรกฏาคม 2556

ในความหลากหลายของชื่อที่เพิ่มขึ้น มันไม่ได้เพิ่มหรือลดความจริง แม้แต่ความดีงามที่เราเคยรู้จัก มันแค่ย้ายตำแหน่ง จากสิ่งที่เคยอยู่ในลิ้นชักนี้ไปอยู่ในอีกลิ้นชักหนึ่งเท่านั้น มันอาจจะหาได้ยากขึ้น แต่มันก็ยังคงอยู่นั่นล่ะ

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เพราะฉันอยู่ตรงนี้

1/7/2013

เพราะฉันอยู่ตรงนี้ เธอจึงอยู่ตรงนี้ไม่ได้
เพราะเธออยู่ตรงนั้น ฉันจึงอยู่ตรงนั้นไม่ได้

การสวัสดีค่ะ ขอให้โชคดีนะคะ ช่วยกันความหงุดหงิดเล็กๆ เวลาข้ามถนนได้

อยู่ใกล้อะไรมากๆ จะติดภาพลักษณ์ของสิ่งนั้น

สองสามวันที่ผ่านมาดูคุณนายจะดูละเอียดละออนุ่มนวลขึ้นกว่าปกติ
ดอกไม้เริ่มโรยรา

ภาษาจีนนิดหน่อย


  • 不哭而神伤
  • 当时只道是寻常
  • 我是人间惆怅客
  • 以自然之眼观物,以自然之舌言情
  • 多情自古原多病
  • 多情善感