กายภาวนานั้น
เป็นการพัฒนาที่ผัสสทวารทั้ง 5 (ไม่นับมโนทวาร)
เรียกว่าเป็นภาคเสพ
คือว่าด้วยการใช้สอย ตาดู หูฟัง
ให้ดูเป็น ฟังเป็น บริโภคเป็น
อย่างไม่หลงไหล เผลอเพลิน
อย่างรู้คุณค่าที่แท้จริง ให้เกิดสมประโยชน์มุ่งหมาย
มีความพอดี มีความรู้ประมาณ
ไม่หลงมัวเมา จนกลายเป็นทำร้ายตนเอง
เรียกว่าเป็นการฝึกที่จะใช้ช่องทางทั้ง 5
ให้ติดต่อสัมพันธ์กับโลกอย่างได้ผลดี
ส่วนศีลภาวนา (จบที่กายกรรม วจีกรรม)
เป็นภาคปฏิบัติการ
แสดงออกรับต่อการกระทำข้างนอก
เรียกบ้านๆ ว่าพัฒนาพฤติกรรม
วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2562
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2562
เธอพึงตัดป่าแต่อย่าตัดต้นไม้
เธอพึงตัดป่าแต่อย่าตัดต้นไม้
ถ้าเราอยู่ป่า
แล้วเราตัดความเป็น "ป่า" ออก
เราก็จะไม่หลงป่า ว่ามั้ย
ป่า คืออะไร?
เป็นอัตตาตัวหนึ่ง
ที่ใช้เรียกชื่อ ต้นไม้หลายๆ ต้น
ฉะนั้น
"เธอพึงตัดป่า แต่อย่าตัดต้นไม้"
ที่ท่านพูดถึง
คือตัดอัตตา ตัดความยึดว่ามันเป็นป่า
"ป่า" ที่มีคือสมมติขึ้นมา
ป่าจริงๆ ไม่มี มีแต่ต้นไม้
บางคนก็มาหลง "ต้นไม้" อีก
ท่านก็บอกว่า "เธอจงตัดต้นไม้ แต่อย่าตัดกิ่ง"
อ่าวจะทำยังไง?
ต้นไม้ จริงๆ ก็เป็นสมมติอีกอันหนึ่ง
ประกอบด้วย โคน กิ่ง ใบ ฯลฯ
บางคนก็ยังไม่เข้าใจอีก
เพราะมันยังมี "กิ่ง" มี "ใบ"
มันก็ยังหลงอยู่ได้
ถ้าเราอยู่ป่า
แล้วเราตัดความเป็น "ป่า" ออก
เราก็จะไม่หลงป่า ว่ามั้ย
ป่า คืออะไร?
เป็นอัตตาตัวหนึ่ง
ที่ใช้เรียกชื่อ ต้นไม้หลายๆ ต้น
ฉะนั้น
"เธอพึงตัดป่า แต่อย่าตัดต้นไม้"
ที่ท่านพูดถึง
คือตัดอัตตา ตัดความยึดว่ามันเป็นป่า
"ป่า" ที่มีคือสมมติขึ้นมา
ป่าจริงๆ ไม่มี มีแต่ต้นไม้
บางคนก็มาหลง "ต้นไม้" อีก
ท่านก็บอกว่า "เธอจงตัดต้นไม้ แต่อย่าตัดกิ่ง"
อ่าวจะทำยังไง?
ต้นไม้ จริงๆ ก็เป็นสมมติอีกอันหนึ่ง
ประกอบด้วย โคน กิ่ง ใบ ฯลฯ
บางคนก็ยังไม่เข้าใจอีก
เพราะมันยังมี "กิ่ง" มี "ใบ"
มันก็ยังหลงอยู่ได้
วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2562
หลงป่า
เหมือนเราไปเที่ยวป่า
ในป่ามีสัตว์ มีแมกไม้อุดมสมบูรณ์ น่ารื่นรมย์
อยู่ในป่าแล้วมีความสุข
ได้ฟังนก ได้กลิ่นดอกไม้ ได้เห็นสัตว์ต่างๆ
พอจะกลับออกมาปรากฏ ออกไม่ได้
หลงป่า...
ทำไมเราหลงป่า?
เราออกไม่ได้?
ทำไมเราไม่อยู่กับมันล่ะ
ในเมื่อมันเป็นสวรรค์ เป็นที่ที่เราแสวงหาไม่ใช่หรือ?
ตอนแรกนี่เราพยายามไปเที่ยวป่า
แต่พอรู้ว่า "หลงป่า"
เราพยายามหนีจากป่า พยายามออกจากป่า
คนเราเป็นอย่างนี้เสมอ
พอรู้ตัวว่ามันไม่ใช่
เราก็ดึงดันจะเอาตัวออกมา
แล้วสวรรค์ของความเป็นป่าไปไหนเสียล่ะ?
สิ่งที่ดึงดูดใจเราให้อยู่ในป่าไปไหนเสียล่ะ?
เราก็หาไป..หาไป
ก็ออกจากป่าไม่ได้
ก็มีแต่ความทุรนทุราย
ย้อนมาดูสิว่า
ที่เรา "หลงป่า"
เราหลงป่าจริงหรือ?
เราไม่ได้หลงป่านะ
เราหลงอุปาทานที่อยู่นอกป่าต่างหาก
หลงครอบครัว หลงทรัพย์สิน
หลงความเคยชินที่เราย้อมมันทุกวัน
พอออกจากป่ามานานๆ
อุปาทานนอกป่าก็จางคลายลงเรื่อยๆ
ลองนึกว่า 60 ปีอยู่ในป่าล่ะ
คนเราถึงจุดหนึ่งมันจะปลง
ข้างนอกคงไม่มีใครเหลือแล้ว คงตายหมดแล้ว
งั้นเราก็อยู่ในป่าดีกว่า อยู่ด้วยภาวะจำนน
ไม่ได้อยู่ด้วยปัญญา
แต่มันเกิดความจำนน
เพราะออกจากป่าไม่ได้
และคิดว่าสิ่งที่อยู่นอกป่านี่ มันคงไม่มีแล้ว
เมื่อคิดว่ามันไม่มีแล้ว
ก็ปลดปล่อยจากอุปาทานนอกป่า
จำนนที่จะอยู่ในป่า ยอมที่จะอยู่ในป่า
แล้วก็ตายอยู่ในป่า
เมื่อตายอยู่ในป่า
เกิดใหม่ก็เกิดในป่า
เพราะว่าไม่มีปัญญา
ขณะที่อีกฟากหนึ่ง
อยู่ในป่าเหมือนกัน และเข้าใจว่า
เราหาทางออกจากป่า
แต่เราก็อยู่ในป่ามาได้ตั้งนาน
เราไปทั่วทุกตารางนิ้วของป่าแล้ว
แต่เรายังหาทางออกไม่ได้
แล้วทำไมเราไม่อยู่กับมัน
จริงๆ เราอยู่กับมันได้
แต่ที่เราพยายามหาทางออก เพราะเราผลักไสมัน
นี่เรียกว่า "หลงป่า"
จริงๆ เราอยู่กับมันได้
เราไม่ได้หลงหรอก
ถ้าเรายอมรับที่จะอยู่กับมันได้
เข้าใจมันได้ เราก็อยู่กับมันได้
เพราะเราก็อยู่มา 60-70 ปีแล้ว
มันก็อยู่มาได้ นั่นแสดงว่า ป่าไม่ได้ทำร้ายทำลายเรา
มีแต่เรานั่นแหละทำร้ายทำลายใจตัวเอง
ดิ้นรนจะออกจากป่าด้วยความทุรนทุราย
"เมื่อเราอยู่ได้
เราก็อยู่ไปสิ"
พอเกิดความเข้าใจนี้ขึ้นมา
มันเกิดปัญญาขึ้นมา มันอยู่ด้วยปัญญา
ไม่ได้อยู่ด้วยจำนน
อยู่กับป่าด้วยความเป็นป่า
นี่แหละ ผู้ออกจากป่าที่ตัวเองหลง
ออกจากป่าด้วยภาวะที่ยอมรับว่า
เออ มันออกจากมันไม่ได้
ประกอบกับเหตุปัจจัยที่ก็อยู่กับมันมานาน
มันก็ "เออ ! ก็มันก็อยู่ได้ไม่ใช่เหรอ"
เมื่อไรที่เราเข้าใจป่า
แล้วอยู่กับป่าด้วยภูมิปัญญาที่เราเข้าใจแล้ว
เราจะรู้ว่า เราไม่ได้หลงป่าหรอก
แต่เราดิ้นทุรนทุรายจะไปอยู่นอกป่าเท่านั้นเอง
เราก็จะกลับมาสู่ความเป็นสวรรค์ในป่าเหมือนเดิม
อยู่กับป่าได้เหมือนเดิม
มันไม่ดิ้นทุรนทุรายที่จะออกจากป่า หรือจะไม่ออกจากป่า
มันไม่ได้หลงป่า
ไม่หลงด้วยการเข้าใจ ว่าเราออกจากมันไม่ได้
ฉันนั้น
ถ้าเข้าใจแล้ว
นิพพานนั้น มันไม่มีดอกท่าน
เป็นเพียงสมมติที่เราตั้งขึ้นมาเพื่อไขว่คว้าหาเส้นชัย
ตราบใดที่พยายามออกจากป่า
จะไม่มีทางที่จะมีปัญญา "ออกจากป่า"
เมื่อใดที่ยอมรับที่จะออกในป่า ด้วยเหตุปัจจัยที่ร้อยเรียงมา
เมื่อนั้น ก็ออกจากป่าแล้ว
นิพพานไม่ได้อยู่ในอนาคต
นิพพานอยู่ที่เข้าใจในปัจจุบัน
เมื่อไรที่เข้าใจ
มันก็สงบ ไม่ทุรนทุราย
และอยู่กับมันได้
ในป่ามีสัตว์ มีแมกไม้อุดมสมบูรณ์ น่ารื่นรมย์
อยู่ในป่าแล้วมีความสุข
ได้ฟังนก ได้กลิ่นดอกไม้ ได้เห็นสัตว์ต่างๆ
พอจะกลับออกมาปรากฏ ออกไม่ได้
หลงป่า...
ทำไมเราหลงป่า?
เราออกไม่ได้?
ทำไมเราไม่อยู่กับมันล่ะ
ในเมื่อมันเป็นสวรรค์ เป็นที่ที่เราแสวงหาไม่ใช่หรือ?
ตอนแรกนี่เราพยายามไปเที่ยวป่า
แต่พอรู้ว่า "หลงป่า"
เราพยายามหนีจากป่า พยายามออกจากป่า
คนเราเป็นอย่างนี้เสมอ
พอรู้ตัวว่ามันไม่ใช่
เราก็ดึงดันจะเอาตัวออกมา
แล้วสวรรค์ของความเป็นป่าไปไหนเสียล่ะ?
สิ่งที่ดึงดูดใจเราให้อยู่ในป่าไปไหนเสียล่ะ?
เราก็หาไป..หาไป
ก็ออกจากป่าไม่ได้
ก็มีแต่ความทุรนทุราย
ย้อนมาดูสิว่า
ที่เรา "หลงป่า"
เราหลงป่าจริงหรือ?
เราไม่ได้หลงป่านะ
เราหลงอุปาทานที่อยู่นอกป่าต่างหาก
หลงครอบครัว หลงทรัพย์สิน
หลงความเคยชินที่เราย้อมมันทุกวัน
พอออกจากป่ามานานๆ
อุปาทานนอกป่าก็จางคลายลงเรื่อยๆ
ลองนึกว่า 60 ปีอยู่ในป่าล่ะ
คนเราถึงจุดหนึ่งมันจะปลง
ข้างนอกคงไม่มีใครเหลือแล้ว คงตายหมดแล้ว
งั้นเราก็อยู่ในป่าดีกว่า อยู่ด้วยภาวะจำนน
ไม่ได้อยู่ด้วยปัญญา
แต่มันเกิดความจำนน
เพราะออกจากป่าไม่ได้
และคิดว่าสิ่งที่อยู่นอกป่านี่ มันคงไม่มีแล้ว
เมื่อคิดว่ามันไม่มีแล้ว
ก็ปลดปล่อยจากอุปาทานนอกป่า
จำนนที่จะอยู่ในป่า ยอมที่จะอยู่ในป่า
แล้วก็ตายอยู่ในป่า
เมื่อตายอยู่ในป่า
เกิดใหม่ก็เกิดในป่า
เพราะว่าไม่มีปัญญา
ขณะที่อีกฟากหนึ่ง
อยู่ในป่าเหมือนกัน และเข้าใจว่า
เราหาทางออกจากป่า
แต่เราก็อยู่ในป่ามาได้ตั้งนาน
เราไปทั่วทุกตารางนิ้วของป่าแล้ว
แต่เรายังหาทางออกไม่ได้
แล้วทำไมเราไม่อยู่กับมัน
จริงๆ เราอยู่กับมันได้
แต่ที่เราพยายามหาทางออก เพราะเราผลักไสมัน
นี่เรียกว่า "หลงป่า"
จริงๆ เราอยู่กับมันได้
เราไม่ได้หลงหรอก
ถ้าเรายอมรับที่จะอยู่กับมันได้
เข้าใจมันได้ เราก็อยู่กับมันได้
เพราะเราก็อยู่มา 60-70 ปีแล้ว
มันก็อยู่มาได้ นั่นแสดงว่า ป่าไม่ได้ทำร้ายทำลายเรา
มีแต่เรานั่นแหละทำร้ายทำลายใจตัวเอง
ดิ้นรนจะออกจากป่าด้วยความทุรนทุราย
"เมื่อเราอยู่ได้
เราก็อยู่ไปสิ"
พอเกิดความเข้าใจนี้ขึ้นมา
มันเกิดปัญญาขึ้นมา มันอยู่ด้วยปัญญา
ไม่ได้อยู่ด้วยจำนน
อยู่กับป่าด้วยความเป็นป่า
นี่แหละ ผู้ออกจากป่าที่ตัวเองหลง
ออกจากป่าด้วยภาวะที่ยอมรับว่า
เออ มันออกจากมันไม่ได้
ประกอบกับเหตุปัจจัยที่ก็อยู่กับมันมานาน
มันก็ "เออ ! ก็มันก็อยู่ได้ไม่ใช่เหรอ"
เมื่อไรที่เราเข้าใจป่า
แล้วอยู่กับป่าด้วยภูมิปัญญาที่เราเข้าใจแล้ว
เราจะรู้ว่า เราไม่ได้หลงป่าหรอก
แต่เราดิ้นทุรนทุรายจะไปอยู่นอกป่าเท่านั้นเอง
เราก็จะกลับมาสู่ความเป็นสวรรค์ในป่าเหมือนเดิม
อยู่กับป่าได้เหมือนเดิม
มันไม่ดิ้นทุรนทุรายที่จะออกจากป่า หรือจะไม่ออกจากป่า
มันไม่ได้หลงป่า
ไม่หลงด้วยการเข้าใจ ว่าเราออกจากมันไม่ได้
ฉันนั้น
ถ้าเข้าใจแล้ว
นิพพานนั้น มันไม่มีดอกท่าน
เป็นเพียงสมมติที่เราตั้งขึ้นมาเพื่อไขว่คว้าหาเส้นชัย
ตราบใดที่พยายามออกจากป่า
จะไม่มีทางที่จะมีปัญญา "ออกจากป่า"
เมื่อใดที่ยอมรับที่จะออกในป่า ด้วยเหตุปัจจัยที่ร้อยเรียงมา
เมื่อนั้น ก็ออกจากป่าแล้ว
นิพพานไม่ได้อยู่ในอนาคต
นิพพานอยู่ที่เข้าใจในปัจจุบัน
เมื่อไรที่เข้าใจ
มันก็สงบ ไม่ทุรนทุราย
และอยู่กับมันได้
วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2562
อยู่กับพุทธองค์
อยู่กับพุทธองค์
ตรงไม่ตามเห็นรูปโดยความเป็นตน
ไม่ตามเห็นตนมีเวทนา
ไม่ตามเห็นความจำในตน
หรือความคิดในตน
อยู่กับพุทธองค์
ตรงไม่ตามเห็นรูปโดยความเป็นตน
ไม่ตามเห็นตนมีเวทนา
ทั้งสัญญา สังขาร และวิญญาณ
ไม่มีใครข้างใน
ข้างในไม่มีใคร
ไหนนิพพาน? นั่นอยู่ไหน? ตรงไม่มี...
ราคะ-โทสะ-โมหะไง อยู่ตรงนั้น อยู่ตรงนั้น...
อยู่กับพุทธองค์
ตรงไม่ตามเห็นรูปโดยความเป็นตน
ไม่ตามเห็นตนมีเวทนา
ไม่ตามเห็นความจำในตน
หรือความคิดในตน
อยู่กับพุทธองค์
ตรงไม่ตามเห็นรูปโดยความเป็นตน
ไม่ตามเห็นตนมีเวทนา
ทั้งสัญญา สังขาร และวิญญาณ
ไม่มีใครข้างใน
ข้างในไม่มีใคร
ไหนนิพพาน? นั่นอยู่ไหน? ตรงไม่มี...
ราคะ-โทสะ-โมหะไง อยู่ตรงนั้น อยู่ตรงนั้น...
ตรงนั้นนั่นแหละคือนิพพาน
จงขยัน จงขยัน ขยันละอุปาทา-(อ)าน....
ไม่มีตัวตนใครในวิญญาณ
โลภโกรธหลงจะไปอยู่ตรงไหน
ในเมื่อไม่มีใคร
ไม่มีใครในวิญญาณ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)