วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

กำหนด

กำหนด ไม่แค่รู้เฉยๆ
ไม่ใช่การเพ่งใส่ให้มันกลายเป็นอะไร (ทำงั้นจะโง่กว่าเดิม)

กำหนดคือ
แยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร

เช่น เจ็บขา

เจ็บ - เวทนา
ขา - เป็นกาย ไม่ได้เจ็บ

อยากกลืนน้ำลาย

อยากกลืน - เป็นจิต
น้ำลาย - เป็นรูป

แยกไม่ออก คือยังกำหนดไม่ได้

ใจเย็นๆ ค่อยๆ ค้น ค่อยๆ ดู

จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า

เห็นจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า

จิตอกุศล ก็มีจิตที่ดียิ่งกว่า คือจิตกุศล
จิตกามวจรกุศล ก็มีจิตที่ดียิ่งกว่า คือจิตรูปาวจรกุศล
จิตรูปาวจรกุศล ก็มีจิตที่ดียิ่งกว่า คือจิตอรูปาวจรกุศล

คือการรู้จักจิตในระดับต่างๆ ว่ามีหลายๆ แบบ
แต่จิตก็คือจิตที่เป็นของไม่เที่ยง

เห็นจิตในจิต คือเห็นจิตสักว่าเป็นจิตเท่านั้น ไม่ได้เป็นอย่างอื่น

กายคตาสติ VS สติปัฏฐาน

อารมณ์เหมือนกัน วัตถุประสงค์ต่างกัน

กายคตาสติ เน้นฝึกให้ใจไม่ลอย เอามาอยู่กับกายไว้

สติปัฏฐาน เน้นฝึกปัญญา ให้เห็นว่าไม่เที่ยง ไม่เป็นตัวตน

เชื่อมต่อกันได้ ใจไม่ลอยแล้วมาเจริญปัญญา

เวทนา VS นิวรณ์

เวทนา เกิดจากผัสสะ เกิดได้แม้ไม่ต้องมีสัญญา
นิวรณ์ เป็นสังขาร เกิดจากสัญญาที่จำเอาไว้มาปรุงแต่ง

บุญ VS กุศล

บุญ เป็นฝ่ายสมาธิ เพื่อกั้นตัณหา
กุศล เป็นฝ่ายปัญญา เพื่อแก้ทิฏฐิ

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ติดกามคือติดกายวิสัยกล่าว

15 ก.ค.65 

รู้สึกตัวกลางดึกมานั่งสมาธิ
ก่อนนั่งแผ่กรุณาขอให้สัตว์โลกทั้งปวงจงพ้นจากทุกข์
จงเข้าถึงสัมมาทิฏฐิ
จงมีโอกาสเข้าถึงอริยสัจที่ทรงตรัสรู้มาโดยยากนี้ด้วยเทอญ

ในความว่าง...

ติดกามมีรากมาจากติดกาย
จิตกับกายแท้จริงนั้นไม่เกี่ยวข้อง
แต่อยู่ด้วยกันมานาน ก็เสือกเข้าไปรับสุข รับทุกข์ของกายมาร่วมรับรู้

เหมือนมนุษย์เมื่อมาติดอยู่กับโลกนานๆ ก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปกับโลก

การมีอยู่ของกายที่คล้ายจะเป็นเรานี้
เพราะกายมาจากกรรม
เป็นเครื่องฟ้องกรรม ถึงความอยากได้แสวงหา ณ กาลหนึ่งในอดีต
จึงกอบโกยเอาดินน้ำมาปั้นเป็นรูปร่างอิงอาศัยกันไว้

ลองมองในมุมมะนาวต่างดุ๊ดดูบ้าง
ทุกอย่างในโลกจะไม่ใช่เรื่องใหญ่
เฉกเช่นทุกอย่างในกายก็เป็นไปของมันอย่างนั้น
ไม่ต้องพูดถึงกาม ที่เล็กน้อยมาก

มองในมุมที่พร้อมจะกลับดาวแม่ตลอดเวลา
พร้อมจะออกจากโลกตลอดเวลา
พร้อมจะออกจากกายตลอดเวลา
กามจะกลายเป็นเรื่องทีห่างไกลเสียจนไม่มีค่าจะกล่าว

วิสัยอย่างนี้บทจะมาก็มา
เมื่อวิสัยมาเยือน มุมมองก็ต่างออกไป
เหมือนออกมาอยู่อีกมิติหนึ่ง แล้วมองไปอีกมิติหนึ่ง 

กิเลสจุกจิกระหว่างวันดูจะกลายเป็นธุลีไร้ความหมาย
จะมีเยอะมีน้อยก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับเส้นทาง
ความไม่เข้าใจเหตุผล ไม่เข้าใจหลักการ
ความงี่เง่าที่หาความเชื่อมโยงไม่ได้ ดูไร้สาระเมื่ออยู่ต่อหน้าวิสัย

เรื่องที่เคยใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็ก
เรื่องที่ใกล้ ก็เป็นเรื่องที่ไกลห่างออกไป
เป็นอย่างอื่นไป ไม่ได้มีธุระจะต้องไปเกี่ยวไปข้องอะไร

แล้ววิสัยก็หยุดลง
คงเหลือความสบาย สงบเย็น และเงียบเชียบ

ขอบคุณที่มาเยือน

บันทึกถึงความขอบคุณ