วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2565

12 - 15 ส.ค.65

ไปวัด ส่งการบ้านแค่ว่าเห็นมันหลบผัสสะ หลวงตาไม่ได้ว่ากระไร หลบก็ไม่เห็นสิ


สังเกตเห็นว่าจากคลิปที่ฟังๆ ลต.พูดเรื่องการพิจารณากาย พิจารณาอสุภะ
แม้ไม่ได้รู้สึกถึงความต่อต้านอะไร
แต่ใจเหมือนจะนิ่งๆ ไม่น้อม
คือ เมื่อมีผู้บรรยาย ใจก็เคลื่อนตามไปดูความไม่สวยงามตามนั้น
แต่ภายใต้การไม่มีอะไรเหนี่ยวนำ มันไม่สนใจในอารมณ์ดังกล่าว

แต่สิ่งที่กระแทกใจได้เสมอๆ คือ
ความพลัดพราก
เหมือนคลิปนางปฏาจารา ดูเป็นสิบรอบก็ยังร้องไห้ได้เฉยๆ

ในสมาธิอธิษฐานขอสิ่งที่ติดอยู่ให้ปรากฏ
และอธิษฐานให้ท่านอธิบายทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
เพราะเหมือนมั่วไปมั่วมาอยู่ภายในอยู่นั่น

ในสมาธิมีภาพแว่บหนึ่งเป็นความวุ่นวายของสงคราม
ทุกคนแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง
ดูจริงเสียอย่างกับเคยผ่านเหตุการณ์นั้นมาก่อน
แต่ก็แค่แวบเดียวและไม่เห็นอีกเลย

เป็นความรู้สึกถึงความพลัดพรากอย่างช่วยไม่ได้
พร้อมกับเปรียบเทียบว่า ความโกลาหลอย่างนั้น ภาวนาได้ยากหนอ

ในจิตเกิดความรู้สึกราวกับว่า
กาลครั้งหนึ่งเคยอยู่ร่วมกับบุคคล หรือไม่ก็สิ่งที่ดีมากๆ
มันดีจนติดใจมาถึงทุกวันนี้
ไม่รู้ว่าคือใคร หรือเป็นอะไร
ดีเสียจนเข้าใจได้ว่าทำไมชาตินี้จึงไม่สนใจจะหาคู่หรืออะไร
เมื่อเคยมองเห็นท้องทะเลกว้างขวางแล้ว ก็ไม่มองสระน้ำเล็กๆ ในสายตา
ในความรู้สึกมันเป็นแบบนั้น

ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นชัดอีกหลังกลับมาวันแรกและระหว่างจะเดินไปเข้างาน
อินจนน้ำตาซึม และพยายามจะอยู่กับความรู้สึกนั้นอย่างตรงไปตรงมา
ถึงที่ทำงานเสียก่อน เลยทำได้แค่ญาตปริญญา
ขอบคุณความดีงามอันนั้น พร้อมกับสังเกตรอบตัวว่ามันเป็นอารมณ์ที่แม้เดินอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย
แต่ใจก็ fixate อยู่ตรงนั้น
ความรู้สึกนี้ในวันถัดๆ มา พัฒนาเป็นความหลบเข้า safe zone อ่อนๆ
ราวกับเรื่องอื่นดูไร้สาระ ไม่ก็พยายามจะพิจารณาสิ่งที่มันยังทำไม่จบ

อีกประเด็นที่กระแทกใจได้เสมอคือ
"แล้วมันก็จบลง" 
"จะไม่จบลงก็ไม่ได้"
มีน้องอธิบายให้ฟังถึงความเป็นวัฏจักรของเหตุการณ์ต่างๆ
น้ำตาไหลไม่หยุดราวกับใจนี้พยายามจะเหนี่ยวรั้งอะไรบางอย่างไว้
และก็รู้อยู่แก่ใจด้วยว่า "มันเป็นไปไม่ได้"

น้ำตาไหลจนปวดหัว
ทั้งหมดทั้งมวล ลึกๆ รู้สึกว่าเป็นอารมณ์เก่าอย่างไรชอบกล
ตอนน้ำตาไหล ภายในก็งงๆ ว่าเสียใจอะไรหนักหนาหนอ

ความเป็นวัฏจักรนี้ยังไม่รวมลงเป็นนิพพิทากระมัง
ความเห็นไม่พียงพอ

การไปวัดรอบนี้
เมื่อสวดพระปริตรใจรู้สึกอินกับพุทธานุภาเวนะ และธัมมานุภาเวนะเป็นพิเศษ
ใจมันสะท้านมั่นใจขึ้นมาเหลือเกินว่าด้วยอานุภาพนี้นี่แหละ
จะพาสู่ โสตถิ เม/เต โหตุ สัพพทา ได้

ในสมาธิที่เดิน

ทุกข์คืออะไร?
ก็สังขารหมดนั่นแหละทุกข์ เป็นสิ่งเกิด เป็นสิ่งต้องดับ

ตัณหาคืออะไร?
อะไรทีค้างเติ่งนั่นแหละตัณหา

แล้วละตัณหาคือยังไง?
ก็ละความเห็นผิดในมัน มันก็เป็นสังขารแหละ ค้างเติ่งไม่ได้หรอก

...(เงียบ)...
เนี่ยแหละ ชิมๆ ให้พอรู้ สัจฉิกิริยา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น