โทสะทางเลือก
posted on 02 Dec 2011 21:36 by the-great-wheel
ในช่วงโทสะฟุ้ง รู้ว่าฟุ้ง
จะเกิดทางเลือกขึ้นสองทาง
ทางแรกคือ ปล่อยมันไป ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น จะระเบิดก็ระเบิดตายในอกเรา ตายคนเดียว ไม่ไปก่อกรรมกับคนอื่น
ทางที่สองคือ ระเบิดลงล้างบางเป็นไงเป็นกัน ศีลขาดทางกายแลวาจา
หากเลือกทางแรก
ความอึดอัดจะพองตัวขึ้นจนเหมือนจะทนไม่ได้ และจะหายไปในไม่ช้า ดับสนิทไม่มีเหลือ หลังจากนั้นจะตามมาด้วยกระแสเย็นแบบเมตตา และมีกระแสความยินดีที่ว่าดีแล้วที่เลือกทางนี้
หากเลือกทางที่สอง
แรงดันระบายออก แต่ตกนรกในเวลาต่อมา ใจไม่สงบเลย อาลัยในถ้อยคำที่พูดออกไปแล้ว มันไม่ใช่ถ้อยคำที่ดีที่สุด
ระหว่างพูดกระแสโทสะยิ่งตีเกลียวสูงขึ้นเรื่อยๆ แทบจะตามจำนวนคำที่พูดออกไป หลังจากนั้นเมื่อแยกตัวออกมาจากเหตุการณ์แล้ว จะเกิดการฉายซ้ำของเหตุการณ์ซึ่งยากจะปลีกไปเรื่องอื่น มีทั้งโกรธยิ่งขึ้น สักพักแปรเป็นเสียใจที่มันน่าจะออกมาดีกว่านี้ได้ แล้วก็อัตตาปลอบตัวเองว่าก็มันช่วยไม่ได้ นานกว่าจะลง
ลืมตัวกลัวป่าช้า ยังเพลิน
ชาติ
posted on 29 Nov 2011 22:41 by the-great-wheel
ยิ่งนานทางยิ่งเศร้า เปล่าเปลี่ยว
เดินดุ่มด้นดายเดียว คู่ไร้
เพียรพลันอย่าซีดเซียว เลยเถิด นาแม่
บทท่องพุทโธไว้ อย่าให้ เปิดเปิง
ลืมตัวกลัวป่าช้า ยังเพลิน
หาใช่ทางจำเริญ เสื่อมพลั้ง
รีบก้าวย่างรอยเดิน ยังอยู่
ยืดสุขเยื้อสุขรั้ง สุขนั้น อีกนาน
ชรามรณะต้อง เป็นไป
ชาติเกิดแล้วคราใด ย่อมม้วย
อุปาทานต่อภพใหม่ น่าสนุก นักฤา
ช่างเถิดไม่อยากด้วย ช่างแล้ว แล้วกัน
อนัตตา
posted on 06 Dec 2011 22:13 by the-great-wheel
คำแปลของ "อนัตตา" ที่ตามบาลี
จะป็นการแปลแบบ "ไม่ใช่อัตตา"
นั่นคือ "ไม่ใช่ตัวเรา" ไอ้ที่เห็นอยู่มันก็เป็นเรานั่นแหละ แต่มันไม่ใช่
ไม่ได้แปลว่า "ไม่มีตัวตน" เสียทีเดียว การแปลเช่นนี้อาจทำให้พาลเข้าใจไปว่า "ไม่มีอะไรเลย"
ไหว
posted on 10 Dec 2011 08:04 by the-great-wheel
ใจระยำ ก่อซ้ำ นั่งย้ำเหตุ
ให้อาเพศ สรวลโศก โรคอาถรรพ์
จะซ้ายขวา หน้าหลัง เร้าเรื้อรัง
สติยัง ค่อยฝัง ทางสร้างตัว
อาลัย
posted on 13 Dec 2011 13:41 by the-great-wheel
ความคิดบางอย่างไม่มีคำพูด
เป็นความรู้สึกวกวนอยู่อย่างนั้น
หน่วงอารมณ์เอาไว้ไม่ปล่อย
เหมือนจะเห็นแต่ก็ไม่หายไปกลายเป็นหนักอึ้งกว่าเดิม
กว่าจะเห็นมันเปลี่ยนให้เห็น นานทีเดียว
สนุก
posted on 20 Dec 2011 17:11 by the-great-wheel
ความสนุกนั้นเป็นไฉนหนอ
นั่งคิดไปคิดมามีสองคำที่มาเกี่ยวข้องกันคือ
"รื่น" กับ "ลื่น"
สิ่งใดทำแล้วลื่นไหล สิ่งนั้นสนุก
สิ่งใดทำแล้วรื่นเริง สิ่งนั้นสนุก
บางทีการทำอะไรตามคนอื่นไปมากๆ กลับรู้สึกเหมือนทำไปอย่างนั้นเอง
ทำอะไรไรโดยไม่ได้คิด ไม่ได้มองอะไรชัดๆ มันก็ไม่สนุก
พอไม่สนุกมันก็ไม่เห็นอะไร พอไม่เห็นอะไรมันก็ไม่สนุก
บางครั้งไม่ต้องทำให้ถูกก็ได้ ไม่ต้องทำให้ดีก็ได้
แต่ทำให้ลื่นไหล ทำให้รื่นเริง ก็พอ...
พรหมจรรย์
posted on 28 Nov 2011 18:52 by the-great-wheel
นานมาแล้วเคยสงสัยว่าวิถีชีวิตอย่างขงจื่อ ต่างกับพุทธตรงไหน
เท่าที่ดูก็เหมือนจะลงรอยกัน ไม่มีอะไรที่ฟังดูขัด
แต่มันต้องต่างกันสิ...
จนวันก่อนได้ไปฟังเรื่องการประพฤติพรหมจรรย์
ก็รู้สึกเลยว่า มันเป็นสับเซต
พรหมจรรย์วางแนวปฏิบัติอยู่บนรากแห่งความจริง
มีเรื่องความควร-ไม่ควร, มีความสอดคล้องกับธรรมชาติ
ฟังไปฟังมามันก็คือๆ กันกับขงจื่อ
แต่...
สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ เป้าหมายในการประพฤติพรหมจรรย์ ที่ย้ำให้ชัดเจนและกว้างขวางขึ้น
การประพฤติพรหมจรรย์ คือการกระทำที่ถูกต้อง
ถูกต้องต่อตนเอง ถูกต้องต่อสิ่งที่ต้องไปข้องเกี่ยว
เพราะสังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ เป็นของหนัก เป็นภาระ
เพราะต้องคอยดูแล จัดการ ให้มันคงสภาพดังเดิม
หากไม่คอยดูแล ปฏิบัติให้ดี มันจะก่อให้เกิดปัญหา เกิดเป็นความเดือดร้อน ซึ่งทำให้ทุกข์ยิ่งกว่าเดิม
เมื่อดูแลได้ดี ไม่มีปัญหา ชีวีก็มีสุข ไม่ทุกข์ร้อน (ขงจื่อ มาถึงตรงนี้)
แต่สิ่งทั้งหลายย่อมเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา
ความที่ต้องคอยดูแลให้ดีอยู่เสมอ เรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด....มันเหนื่อย
มันก็มีความสุข มันก็ปกติดี แต่มันน่าเหนื่อย และน่าหน่าย คล้ายกับต้องแบกถืออะไรไว้ตลอดเวลา
ไอ้ความเหนื่อยและหน่ายนี่แล จึงเห็นมันเป็นทุกข์
ความสุขอันต้องคอยระวังรักษา นั้นเป็นทุกข์
เมื่อใดเห็นชัดว่ามันเป็นทุกข์ ย่อมสละออก (พุทธมาถึงตรงนี้)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น