วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เ่ล่าสู่กันฟัง 22 พฤษภาคม 2556

เวลาถูกมารครอบหัว (ความรู้สึก) ไม่อาจเห็นได้แม้ความงามของแสงแดดและต้นไม้ ก็ว่ากันไป

เมื่อวันก่อนที่รู้สึกถึง "พุทโธใหญ่" กับ "พุทโธเล็ก" มาคิดดูอีกที มันจะมีใหญ่มีเล็กไปได้อย่างไร ในเมื่อ 1 พุทโธก็เติมเต็ม 1 ขณะจิต จึงเป็นทฤษฏีขึ้นมาได้ว่า ไอ้ที่รู้สึกว่า "ใหญ่" นั้น ความจริงคือ "หลาย" หมายถึง หลายขณะ ส่วนเล็กนั้นก็เป็นขณะสั้นๆ ที่ถูกคั่นด้วยกระแสฟุ้งซ่าน

เวลาที่พุทโธไปแล้วมันถูกแทรกด้วยกระแสฟุ้งบ่อยๆ มันจะทำให้เกิดความท้อแท้ได้ แต่เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็อย่าไปท้อมัน ถึงจะเป็นพุทโธเล็ก มันก็คือตัดเวลาให้สั้นลง อย่าไปว่ามันด้วย

เมื่อวานระหว่างทางเดินก็พบทูตจากพระเจ้า ตอนแรกว่าขี้เกียจฟัง แต่ก็หยุดฟังด้วยตั้งใจว่าเอามาเป็นเครื่องเปลี่ยนอารมณ์ก็ดี และก็ฟังด้วยจิตที่คิดว่าให้กำลังใจคนพูดไปเขาคงยืนมาทั้งวัน ฟังไปฟังมาก็รู้สึกว่าเขาพูดเรื่องพระเจ้า ถ้าแทนคำว่าพระเจ้าด้วยจิตเดิมแท้นี่จะลงกันเป๊ะเลยกับพุทธ เขาว่า...

พระเจ้านั้นสร้างเราขึ้นมา ประกอบด้วยส่วน กาย จิต และวิญญาณ ซึ่งพระเจ้านั้นอาศัยอยู่ในวิญญาณ ..อีกนัยนึงก็คือ พระเจ้านั้นอยู่กับเราตลอดเวลา

สิ่งที่ทำให้เข้าไม่ถึงพระเจ้าก็คือบาป เพราะมนุษย์มีบาปจึงเข้าไม่ถึงพระเจ้า .. ฟังดูคำว่าบาปนี่ก็คล้ายกับคำว่ากิเลส

ดังนั้นเมื่อชำระบาปออกไปก็ย่อมเข้าถึงพระเจ้า รับรู้การคงอยู่ของพระเจ้า

การสารภาพบาปเป็นการประกาศจิตใจที่ซื่อตรง กำจัดอธรรมออกไป พระเจ้าให้อภัย

ฟังดูแล้วก็เย็นดี ^^

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สิ่งที่ได้เรียนรู้เอง

เกิดภาวะจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเวลาผ่านไป สองสามวันเริ่มฟุ้งซ่านว่าจะไม่ได้อะไรขึ้นมา จึงไปนั่งเล่น เริ่มป้อนคำถามไปว่า "จิตทำหน้าที่อะไร" ทำหน้าที่รู้ รู้อะไรบ้าง ก็ไล่ไปตามตา หู จมูก ลิ้น แล้วแต่จะไปจับอะไร พอไล่มาถึงใจ กลับรู้สึกว่า มัน "ไม่มีอะไรนี่หว่า" แต่ก็ยังไม่ชัดนัก

จากว่าง สักพัก มันก็เข้าไปจับที่ความคิดในใจ จับไปจับมา แล้วพบว่าหลงอยู่กับความคิดในใจ - มโนผัสสะเป็นสัดส่วนมากกว่าอายตนะอื่นๆ พอใจว่างแล้วกลายเป็นที่ตั้งให้กับความฟุ้งซ่านได้อย่างง่ายดาย นี่เองที่เขาต้องพุทโธ ปิดรอยนี้เอาไว้ ไม่ให้ความเผลอเพลินเอาไปกิน

มันคงไม่เคยชินที่จะอยู่กับความว่าง

อีกคืนต่อมาที่กลับจากเดินธุดงค์ขึ้นเขา
ปวดขามาก เมื่อยขามาก แต่บอกกับตัวเองว่าก็ดี ดูเป็นเวทนาไม่ใช่ตัวเราไป
ทู่ซี้เดินบนพระเจดีย์ ด้วยท่าทียังไงก็ได้ เอาให้เมื่อยๆ สุดๆ หมดแรงกันไปข้างเลย
พอง่วงได้ประมาณนึง มันก็เริ่มแยกผู้รู้ออกมา
จิตที่คิดอกุศล เออก็คิดไป เรื่องของแก ไม่เอาตัวเข้าไปรับความเศร้าหมองใดๆ

ตอนไปทำพื้นโมเสก กลับลืมคำว่า Harmony ไปซะฉิบ ฟังแล้วก็ให้ขำตัวเอง

อุบายแก้ไข - 19 พ.ค.

เวลาครั่นตัว คันใจ บอกใครไม่ถูก สวดมนต์ยาวๆ ช่วยทั่นได้

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บันทึกคำสอนตัดภพฯ (๗) - 12 พ.ค.56


  • ที่แจ้วๆ ว่าเรา ก็คือ สังขาร นั่นหมายถึง มีเพียงความคิดที่เป็นเรา
  • ถ้าไม่มีเราก็ไม่มีอะไรไปรองรับทุกข์
  • การอธิษฐานก็ต้องเข้มแข็ง ตั้งใจจริง ไม่เหลาะแหละ
  • มันต้องชัด และแรงพอที่จะตัด นิพพานเป็นอัพยากฤตธรรมที่ชัด
  • ขณะที่มันแจ้วๆ อยู่ว่า "เราอย่างนู้นอย่างนี้" มันก็เกิดเฉลียวขึ้นมาว่า "เอ๊ะ! นี่มันไม่ใช่เรา"
  • ภพชาติมันแค่เวทนา
  • ถ้าเข้าไปสู่ความตั้งมั่นเป็นกลางบ่อยๆ มันจะออกจากภพชาติเอง
นิดหน่อยเกี่ยวกับสมาธิ ลพ
  • มาตรฐานลพ. 4 ชั่วโมง ทำไมต้องนั่งนาน เพราะยิ่งนาน ยิ่งชัด กิเลสยิ่งอ่อนกำลัง
  • อ่อนแอ งมงาย ขี้เกียจ ฟุ้งซ่าน

บันทึกคำสอนตัดภพฯ (๖) - 10 พ.ค.56


  • หัดแยกความรู้สึกกับความคิด
  • ความคิดจะไม่ล้ำเกินไปจากความจำ แต่ความรู้สึกนั้นจะต่างออกไป และเป็นแค่สภาวะ ไม่ได้แสดงสถานภาพของความรู้สึก
  • ความอยากได้ปัญญาก็เพื่อมาสนองอัตตา
  • มีแต่ทุกข์ (ความไม่คงที่) เกิดขึ้นแล้วดับไป -- ธรรมฐีติญาณ
  • วจีสังขารก็เป็นสัญญาที่ผสมขึ้น
  • มีความพึงพอใจในรูป ก็คือ มีอุปาทานในรูป
  • ตัณหาดับ อุปาทานก็ดับ ก็แค่เผลอเพลินประเดี๋ยวเดียวก็หาย
  • บุคคลคิดถึงสิ่งใด วิญญาณก็ตั้งในสิ่งนั้น
  • ในสังขารมีสัญญา ในสัญญา มีเวทนา (เราจำเฉพาะเรื่องที่ทำให้เราสุข หรือทุกข์)
  • ญาณก่อนนิพพานนั้นจะเกิดเป็นภาพรวมๆ
  • ความคร่ำครวญอยากได้เวทนา มันก็ส่งผลให้คิดใหม่ ปรุงใหม่ ออกเป็นบุญ เป็นบาป เป็นการข่มอารมณ์ วิญญาณก็เข้าไปรับรู้ ส่งผลสู่นามรูป
  • เวทนาเกิดจากกายส่วนใหญ่ มีที่สุดแค่กาย
  • สังโยชน์ก็เกิดจากเวทนา
  • สิ่งหนึ่งเมื่อปรากฏขึ้นแล้ว มันปรากฏลักษณะอื่นด้วยเสมอ -- มันเสื่อม
  • สมาธิทั้งหมดคือการออกจากความคิดมาอยู่ที่ความรู้สึก มันจึงเทลาดไปสู่ความไม่ปรุงแต่ง นั่นคือ นิพพาน

บันทึกคำสอนตัดภพฯ (๕) - 9 พ.ค.56


  • มันเป็นกระแส ไม่ได้มีใครไปเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครมีอุปาทาน ไม่มีใครมีเวทนา เพียงแค่เกิดจากผัสสะ เป็นกระแสขึ้นต่อเนื่องกันเท่านั้น
  • เมื่อไม่รู้จักผัสสะจึงเกิดเป็นเวทนา เป็นตัณหา เป็นอุปาทาน ภพชาติ ความคับแค้นใจ
  • รูปนั้นก็เกิดจากธาตุ 4 ดับจากธาตุ 4 เซลล์คนเราก็ผลัดทุกวัน เกิดดับตลอดเวลา copy ถ่ายสำเนาไปเรื่อยๆ เสื่อมลงไปเรื่อยๆ
  • อวิชาชาพูดง่ายๆ คือความไม่รู้ขันธ์ 5
  • รูปกระทบกันทำให้เกิดเวทนา แล้วเวทนาก็ทำให้เกิดจิตที่มีราคะ / โทสะ / โมหะ 
  • สัมปชัญญะ เข้ามารู้สึกตรงจิตเดิมแท้ ไม่ใช่ตัวราคะ โทสะ ซึ่งอันนั้นเป็นจิตสังขาร
  • ความคิดนั้นไม่ได้เกิดจากสัญญาบริสุทธิ์ มันเต็มไปด้วยความคิดความเห็น ที่เรียกว่า สัญญาวิปลาส ซึ่งวิปลาสก็หมายถึง ความคลาดเคลื่อนนั่นเอง
  • สรุปว่า จำผิด ก็คิดผิด
  • เท้ากระทบพื้น ท่องไปในใจ โป้ง ชี้ กลาง นางก้อย แต่ไอ้ตัวปรมัตถ์มันไม่ได้รู้ด้วยหรอก
  • กลับมารู้สึกที่ตัวเดิมแท้, จิต, วิญญาณ
  • ที่เราฟังไปทั้งหมดก็เพื่อไปปรุงเป็นภาพ สร้างขึ้นมาก็ไม่มีตัวตน พอนึกปุ๊บก็มีเวทนาไปผสมทันที เช่น เราพูดถึงกุ้ง (รสกุ้ง สีกุ้งก็ตามมา)
  • ความเห็นลักษณะ นั่นคือ เกิดจากอะไรก็รู้ ดับจากอะไรก็รู้
  • เวทนานั้นทำให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ
  • พรหม มีรูปเดียวกัน สัญญาเดียวกัน
  • เวลาเราดูวีดีโอ อ่านนิยาย จริงๆ เราเห็นจินตนาการ ไม่ได้เห็นคนจริงๆ ทุกอย่างนั้นมันไปกระตุ้นจินตนาการ สุดท้ายก็คือไปจบอยู่ที่เวทนา ไปกระตุ้นเวทนา
  • ถ้าขาดจินตนาการ เช่น เวลาจะซื้อเสื้อผ้า มันก็อะไรก็ได้ สีอะไรก็ได้ ไม่มีรสชาติ
  • ภพทั้งหมดก็ตอบสนองเวทนา
  • การดูจิตในจิต ก็ดู ราคะ โทสะ โมหะ (ความพอใจในอุเบกขา) ถ้าเมื่อละสามสิ่งนี้ได้แล้วมันก็ไม่ได้เหลืออะไร
  • พระโสดาบัณ - ละความเห็นผิดในตัวตน (แต่ยังละไม่ได้) มีความฟุ้งซ่านในธรรม (มันไม่แล้วใจ)
    พระอรหันต์ - ละอุปาทานขันธ์ 5
  • ถ้าไม่รอบรู้ในสิ่งทั้งปวง จะยังไม่ไปนิพพาน
    คำว่า "สิ่งทั้งปวง" หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส
    คำว่า "มาร" ไม่ใช่อะไร หมายถึง สภาวะที่มาบดบังนิพพาน หรือก็คือการปรุงแต่ง
  • อาจหาญ ร่าเริง สง่างาม เป็นตัวของตัวเอง
  • ใน 1 วัน อยู่กับความรู้สึกตัวที่ไม่ถูกครอบงำโดยการปรุงแต่ง
  • ถูกผัสสะบังหน้า ถูกผัสสะปุ๊บก็กระโดดเข้าไปปรุงแต่ง ให้มาดูแค่ "มีการกระทบเกิดขึ้นนี่นา"
  • อาศัยสติ - ทำให้ไม่เหม่อ ไม่เผลอ ไม่เพลิน
  • เพราะเวทนาทั้งหมดให้ผลเป็นความเผลอเพลิน
  • ความรู้สึกตัวไม่เคยหายไปไหน ส่วนสิ่งที่เป็นผัสสะนั้นเกิดแล้วก็ดับ
  • ไปเทอดค่าว่ามันต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเวทนาเท่านั้น แท้ที่จริง ความสุขจากอย่างหนึ่งไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือด้อยค่าไปก่วาความสุขจากอีกอย่างหนึ่ง
  • คำว่าทุกข์นั้น หมายถึง ทุกขลักษณะ - แปลว่า ลักษณะอันคงที่อยู่ไม่ได้ ไม่ได้หมายถึงทุกขเวทนา
  • นิวรณ์ธรรม ไม่ได้เรียนเพื่อจะกำจัด แต่เรียนเพื่อดูลักษณะ
  • สติปัฏฐาน 4 ทุกตัวเป็นการดูลักษณะ นั่นคือ เกิดจากอะไรก็รู้ ดับจากอะไรก็รู้
  • อุปาทาน มันจะเทอดค่าให้ยิ่งใหญ่ หรือต่ำต้อย
  • สังโยชน์ เคยมีเพราะอะไรก็รู้ ไม่มีเพราะอะไรก็รู้
  • เสน่ห์ของโพชฌงค์ 7 นั้นอยู่ที่ ปัญญานำสมาธิ มันไม่ได้เกิดมั่วๆ เป็นการเก็บข้อมูลวิจัย พอสติบริบูรณ์ (ตามดูลักษณะ) งานวิจัยก็บริบูรณ์ไปพร้อมๆ กัน
  • ถ้าโลภะ โทสะ โมหะ มีอยู่ตลอดเวลา ใครมันจะไปนิพพานได้
  • จิตที่ไม่แส่ส่ายมันก็ตั้งอยู่กับที่ เรียกมันว่า สมาธิสัมโพฌชงค์
  • มองสมาธิด้วยใจที่เป็นกลางๆ
  • อุปาทาน มีหน้าที่ยึดกับความอยากแบบไม่ปล่อย
  • ภพชาติ ไม่ได้มีอยู่ก่อน
  • พุทธะเป็นสภาวะธรรม ความหายสงสัยในในพุทธ ธรรม สงฆ์ คือความเห็นในสภาวธรรม ไม่ใช่หายสงสัยในพระพุทธเจ้า
  • ถ้ายินดีกับการคลุกคลีเป็นหมู่คณะ จะไม่เห็นนิมิตแห่งจิต เมื่อไม่เห็นนิมิตแห่งจิต จะไม่ขึ้นสัมมาทิฏฐิ
  • เผชิญหน้ากับความสงัด
  • เห็นจิตไม่ได้มีตัวตน ลบความรู้สึกว่าเราเป็นนู่นนี่ในหมู่คณะ
  • กลับไปดูตัวเองว่ายังเป็นตัวนี้อยู่กี่ %
  • ปมด้อยนั้นมันทำให้เกิดการต้องการความยอมรับ
  • ต้องละวาทะตัวตน
  • ศีลพรตลองไปดูว่ายังติดความงมงายอะไร
  • กระแส เวลาคิดเมื่อ + ด้วย สัมมาทิฏฐิ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ จะเข้าสู่กระแส
  • ไม่ว่าคิดอะไรมันก็ไม่มีทางใช่สิ่งนั้น
  • เวลาโกรธ - "เขาผิด เราถูก"
  • รักษาจิตอันปกติ (เป็นเครื่องอยู่ที่ง่ายสุด)
  • ดูเกิดดับ
  • ละการแสวงหา
  • กายสังขารสงบระงับ (พวกเข้าฌาน)
  • แค่กำจัดนิวรณ์ 5 ก็เข้าสมาธิได้
  • จะมีญาณเกิดขึ้นว่า คนชั่วและคนถ่อยทำสมาธิไม่ได้

บันทึกคำสอนตัดภพฯ (๔) - 8 พ.ค.56

พอจ.ปารมี

  • "ว่าง ไปไหนกันดี"
  • ต้องทำอะไรเสียวๆ จิตจะอยู่กับที่ดี ป่ะ ปีนกำแพงวัดกัน
  • เนสัชชิกนี่ห้ามหลับนะ โงกปุ๊บโดนเพี๊ยะเลย นั่งแล้วหลับนี่ใช้ไม่ได้
  • อารมณ์นั้นเป็นอาหารของจิต พอจิตไม่มีอารมณ์มันก็หมดหน้าที่
  • เพลงระบำสุโขทัย, ทวารวดี เพลงสมัยก่อนฟังแล้วสงบเย็นใจ
  • เป็นผู้นำไม่ต้องเครียดก็ได้ พอจ.อยู่กลางป่าเขายังทำงานได้ เหมือนไม่ได้ทำอะไรเลยเห็นไหม ไม่ใช่ว่าต้องวางอำนาจสั่งเอาๆ
  • เพลงไม่มีเวลา ของอ.พุทธทาส - แค่มีสติรู้ความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นก็พอ
  • เพลงขลุ่ยทิเบต
  • เดินป่าเดินเขา อยู่แต่กับปัจจุบัน จะพลาดตกหรือเปล่า ไม่ปฏิบัติก็เหมือนปฏิบัติ
  • ผลการเดิน - เหนื่อยน้อย เมื่อยน้อยกว่าการเดินจงกรม
  • อยู่วิเวกป่าเขาซักฟอกอารมณ์ได้ดี ทำไมหนอเจอหน้าคนนี้ทีไรเราไม่สบายใจทุกที ใครมันมาบังคับให้เราทุกข์หรือ
  • รู้น้อยเพียรปฏิบัติ ดีกว่ารู้สารพัดแต่ไม่ทำอะไร
  • กุหลาบเนี่ย มันก็มาจากดินนะ แต่ก่อนจะออกดอก พลิกหาที่ไหนในแผ่นดินก็ไม่มีนะ จะจุดธูปเป็นเข่งๆ นั่งสมาธิเจ็ดวันเจ็ดคืน ขุดลึกลงไปในดินเป็นกิโลๆ มันก็ไม่ได้อยู่ในนั้น พวกเราปฏิบัติไปก็อย่าได้ไปท้อแท้ มันกำลังบ่มเพาะอยู่ถึงเวลาก็เบ่งบานออกมาเอง

บันทึกคำสอนตัดภพฯ (๓) - 7 พ.ค.56


  • เสพติดโลก โลกก็เกิดดับ
  • รูปรสกลิ่นเสียงทั้งหลายไม่ใช่กาม
  • ความกำหนัดในรูปรสกลิ่นเสียงนั้นต่างหากที่เป็นกาม
  • ความงามมี 4 ระดับ beauty, สุนทรีย์, จริยะ (เช่นความเมตตาเล็กๆ น้อยๆ ต่อสรรพชีวิต), สัจจะ
  • จะเข้าใจความจริงได้จะต้องกล้า
  • ได้บุญมาเยอะเลย หมายความว่า ได้ความสุขมาเยอะเลย (บุญเป็นชื่อของความสุข)
  • ความรู้สึกเท้ากระทบ อยู่กันคนละที่กับความคิดว่า "นี่เท้าๆ"
  • อวิชชามันอยากจะมีตัวตน
  • ใจปกติไม่เพิ่มไม่ลด มันเป็นความอ่อนแอที่จะเอานู่นเอานี่มาเปรียบเทียบ
  • ความอยากได้ อยากเป็น อยากพ้น ต่างก็มาประชุมกันที่เวทนา
  • จิตมีราคะ / โทสะ / โมหะ ก็เป็นไปด้วยสนองเวทนา
  • มันไม่เกี่ยวกับว่าจริตใคร ทิฏฐิใครเหมาะกับเราหรือไม่ มันอยู่ที่ว่าเราเอาจริงหรือเปล่า พระพุทธเจ้าไม่เคยกักขังใครเป็นบริวาร มีแต่ปลดปล่อยให้ไปสู่อิสรภาพที่แท้จริง
  • ยิ่งโตยิ่งมีโทสะ เพราะสำคัญว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่
  • เท้าที่ลอยอยู่จะพบว่ามันหายไปเลย พอแตะใหม่ก็มีใหม่
  • พอเห็นได้นี่เกิดๆ ดับๆ มันจะสนใจไปในอีกอย่างที่ไม่เกิดไม่ดับ
  • จมูกเนี่ย เราไม่รู้สึกว่ามันโด่งๆ หรอก เราแค่รู้สึกว่ามันอยู่แถวๆ นี้
    หูก็เหมือนกัน เราไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นรูปหูหรอก รู้แค่ว่ามันอยู่แถวๆ นี้ พอไปส่องกระจกถึงได้มโนออกมาเป็นรูปร่าง
  • ดูไปเรื่อยๆ มันก็จะไม่ไปยึดเวทนาว่าเป็นเรา ของเรา พอมันแปรปรวนก็ไม่คร่ำครวญ
  • ตัวรู้สึกนั้น มันไม่ได้รู้สึกทั้ง 5 นิ้ว เรามันสมมตินิ้วขึ้นเอง
  • แยกผัสสะออกเป็นสิ่งที่ถูกรู้ และผู้รู้อีกตัวหนึ่ง
  • มีแต่ผัสสะที่ดับไปๆ
  • มันต้องกลัว จึงจะหาทางออกอย่างจริงจัง กลัวการกลับมามีขันธ์ 5 
  • กายนั้นก็เกิดจากกรรมเก่าที่เจตนาก่อขึ้นมารองรับเวทนา ถ้าไม่ได้อยากได้มาเสวยสุขเวทนาจะเกิดมาทำอะไร
  • รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย
  • เอาเท้าแช่ให้นานๆ ชัดๆ ที่สุดเลย เมื่อชัดความคิดจะไม่เกิด สักพักความรู้สึกจะลามไปทั้งตัว รู้สึกว่างไปทั่วร่าง ให้ฝึกบ่อยๆ ให้รู้สึกตัวโดยเฉพาะพวกที่วอกแวกบ่อย ที่มันรู้สึกไม่ได้ เพราะอยุ่กับความคิด
  • นิพพานก็เหมือนกระพริบตาและลืมตา
  • จิตที่เข้าสู่อิสรภาพจะเกิดปาฏิหาริย์ 3 อย่างเป็นของแถม - อิทธิปาฏิหาริย์, เทศนาฯ, อนุสาสนีฯ
  • เหมือนดาบที่อยู่กับฝักดาบ
  • ให้ผ่านด่านความรู้สึกตัวให้มันโปร่งก่อน ถ้าไปเริ่มจากปาฏิหาริย์จะไปติดที่ตัวโลภ
  • ทุกขาปฏิปทาเหมาะกับกิเลสหยาบๆ โลภจัด/หลงจัด/โทสะจัด
  • ถ้าสุขาปฏิปทาก็ใช้ปัญญา

บันทึกคำสอนตัดภพฯ (๒) - 5 พ.ค.56


  • แยกตัวผุ้รู้ออกมา
  • อยู่ตรงผัสสะไว้ไม่มีกำลังก็พุทโธไป ให้จิตมีเครื่องอยู่ ตื่นขึ้นมาเมื่อใดก็มีเครื่องอยู่ พุทโธไว้
  • ถ้ามันไม่เคยมีมาก่อน พอมามีขึ้นจะมีตัวตนถาวรได้ยังไง มันก็มีแล้วก็ไม่มีเป็นแบบนี้ไปเรื่อย
  • เรียนโลกมามากก็จะยึดได้มากกว่า คนที่ไม่เห็นผัสสะ อุปาทานจะก่อตัวเข้ม ยึดเอาไว้ไม่ปล่อย แล้วจิตก็เสียอิสรภาพ
  • พอไม่เข้าไปอาศัยก็จะเห็นในความไม่ปรุงแต่ง
  • คนทั่วไปคุยด้วยเหตุผลตรงไปตรงมาไม่เข้าใจ เลยต้องเอาอะไรประหลาดๆ มาจัดฉากเพื่อหว่านล้อมเข้ามา มนุษย์ติดนิสัยงมงาย อ่อนแอ เราก็ปล่อยโลกไปตามประสา
  • ความคิดนี่มันไม่มีมาก่อน พอจำอันนี้มาจึงมีความคิดอันนี้
  • ธรรมะนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาจากถ้อยคำของสมณะ ไม่ต้องอาศัยว่าเชื่อไม่เชื่อ มันก็เห็นกันอยู่โต้งๆ ถ้าเห็นแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องเชื่อ ถ้ายังไม่เห็นถึงจะต้องเชื่อๆ ไปก่อน
  • ระบบชนชั้นนั้น เป็นความสมยอมกัน 2 ฝ่าย ผู้ที่ยอมก็ศิโรราบมากเกินไปจนไม่ยอมมองความจริง เป็นการข่มขี่ทางจิตวิญญาณ
  • อย่าไปดูถูกพระเจ้า นั่นมันก็เป็นกลไกให้คนอยู่ร่วมกัน
  • สัมมาทิฏฐิ - เบื้องต้น ก็เช่น บุญมี สวรรค์มี นรกมี ทานมี
    อริยะ - เป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ บุญก็เป็นเพียงสภาวธรรม
  • ใช้พิธีกรรมอย่างฉลาดและมีความสุข
  • ความรู้ที่เข้าในในกฏของความเป็นจริงในธรรมชาติจะไม่เสื่อม
  • คนที่เข้าสู่ศาสนาแรกๆ เจตนามักไม่บริสุทธิ์ มักจะมีโลภะที่อยากจะได้อะไรพิศดาร แต่ยิ่งศึกษาไปๆ ก็เจอแต่สภาวธรรม
  • อวิชชา คือ ไม่รู้ในขันธ์ 5 เกิดเพราะอะไร ดับเพราะอะไร
    4 ตัวแรก เกิดเพราะผัสสะ ดับเพราะผัสสะ
    วิญญาณ เกิดจาก 4 อันข้างต้น
  • พอเคลียร์ โลภะ โทสะ โมหะ หมด พอว่างแล้ว แต่ก็ดันมีคำถาม "อันนี้อะไร?" เจอวิจิกิจฉาปิดท้ายอีกที ปัญหามันก็อยู่ที่โลภุ เพราะความที่ไม่รู้จักพอ (ตั้งคำถาม แล้วก็สนใจคำถาม แล้วก็ดิ้นกระแด่วๆ)
  • ความพอ คือ ความอัศจรรย์ เช่น เท้าที่กระทบพื้นนะ ถ้ามันพอ มันจะรู้สึกอัศจรรย์มากเลย เฮ้ย มันรู้สึกได้ยังไง
  • เวทนาเป็นศูนย์กลางแห่งความกระเสือกกระสน
  • หลับก็หลับ ตื่นมาก็พุทโธ
  • ทั้งวันดูผัสสะตัวเดียวเลยให้มันต่อเนื่องนานๆ ให้เห็นจุดยืนมันเปลี่ยน
  • ช่วงกลางคืน นิวรณ์แรงๆ จะทำงานน้อย ช่วงเคลิ้มจัดจิตจะกระโดดเข้าอัปนาสมาธิ แต่ถ้าสติไม่พอมันจะหลับ
  • หาเวลาอยู่ลำพังมากๆ ช่วงแรกๆ มาวัด จิตจะพักตัว ไม่เป็นไร
  • ถ้ามุ่งไปที่ความอยากจะได้มรรคผล มันจะไม่ได้ผล
  • ให้ทำชีวิตให้เรียบง่าย อยู่กับตัวเอง อยู่กับธรรมชาติ

บันทึกคำสอนตัดภพฯ (๑) - 4 พ.ค.56


  • ละความงมงาย
  • ธรรมะนั้นตรงไปตรงมา แต่จะต้องยืนอยู่บนขาของเหตุและผล
  • จะเชื่อต้องเชื่อด้วยต้องพิสูจน์เอา
  • พระโสดาบัณละความงมงายในศีลพรต เป็นผู้มีเหตุมีผล เช่นว่า ถ้าไม่อยากให้มีใครมาพูดจาขาดสติกับเรา เราก็อย่าไปพูดจาขาดสติกับใคร
  • การตกอบายภูมิเป็นไปไม่ได้ด้วยเพราะไม่ได้สร้างเหตุอย่างนั้นเอาไว้
  • ผัสสะเกิดจากอะไร?...มีเสียง มีหู ย่อมมีผัสสะ
    อย่ามัวไปตั้งคำถามว่า "ใครหนอผัสสะ"
    เมื่อมีกาย, วาจา, ใจ ก็ย่อมมีเจตนาทางกาย, วาจา, ใจ
  • เมื่อดูแค่ผัสสะ ตัณหาจะไม่ก่อตัว
  • จุดสังเกตเมื่อเกิด "เรา" คือมันจะ คร่ำครวญ และ คับแค้น
  • ผู้ที่เห็นผัสสะจะไม่คร่ำครวญเมื่อเวทนานั้นแปรปรวนไป และเมื่อไม่คร่ำครวญได้ ชีวิตก็เข้าสู่ความ "พอ" คำว่า "พอ" นี้สำคัญ
  • อาศัยสิ่งใดไปดูผัสสะ? - ตอบ "สติ"
  • การดูให้เริ่มต้นดูที่ผัสสะ จะเป็นรอยต่อที่สำคัญ
  • หากกำลังยังไม่มากนั้น มันก็จะมีเพียง "ความเชื่อว่า..."
  • เมื่อเห็นผัสสะบ่อยๆ สมาธิจะค่อยๆ มั่นคงขึ้นเป็นลำดับ เนื่องเพราะ จะให้มันไม่ชอบ (พยาบาท) / หดหู่(ถีนะมิทธะ) / หรืออยากได้อะไร (กามราคะ) / หรือฟุ้งซ่านไปในอะไรๆ ได้อย่างไรในเมื่อมันไม่เห็นว่าเวทนาเป็นเรา
  • ตัณหาจะไม่ก่อตัว ถ้ามันรู้ว่าผัสสะดับไปได้
    การที่อยากจะได้อะไรๆ ก็เพราะจะเอาไปสนองผัสสะ แต่จะไปเอาอะไรกับมันได้ในเมื่อเห็นมันดับไปๆๆ
  • เทคโนโลยีก็สร้างเพื่อรองรับอายตนะ 6
  • จะเก่งแค่ไหน ถ้าไม่รู้จักที่มาของสุข-ทุกข์มันก็แก้ปัญหาไม่ได้
  • กฏแห่งกรรมนั้นไปไกลถึงขนาดที่ว่า "ไม่มีใครอยู่ในกรรม"
  • มีเยื่อใยอาลัยอาวรณ์ที่จะไม่ทิ้งความงมงาย มันก็ดื้อตาใสไปเรื่อย
  • สมาธิคือ ธรรมชาติแห่งจิตที่จะไม่ถูกรบกวนด้วยนิวรณ์
  • การรับรู้ - วิญญาณ - concious
  • ความคิดก็เอาความจำนั่นแหละมาปรุงเป็นวจีสังขาร เป็นเพียงความประมวลเปรียบเทียบ
  • ความสุขที่ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ต้องเปรียบเทียบ ไม่ต้องคร่ำครวญ
  • กลับเข้าสู่วิธีการมันคือ การใช้ "สติรู้ชัดลงไปเรื่อยๆ"
  • การจะไปคาดหวังให้เกิดอะไรพิลึกพิศดาร มันเป็นเพียงแค่ ความไม่รู้จักพอ ซึ่งถึงจะมีอะไรพิศดารแต่มันก็ไม่ได้ประหลาด เช่น การท่องพุทโธ โลภะ โทสะ โมหะก็ไม่มี ก็จบแล้ว
  • ถ้าดูมันตรงไปตรงมา มันก็จะแค่นั้นเอง ไม่ต้องมีอะไรประหลาดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
  • อุปาทาน คือ การยึดกับตัณหา แล้วไม่ปล่อย ถ้าไม่มีตัณหามันจะยึดกับอะไร ชอบเอาความงมงายเข้ามาขวาง
  • วิปัสสนา มันก็เกิดตรงปัจจุบันขณะได้เลย รู้จักตรงผัสสะ สมถะวิปัสสนาเจริญพร้อมกันเลย ไม่ได้เกิดแยกกัน ไม่ได้เกิดขณะหลับตา
  • เห็นขันธ์ 5 อายตนะ 6 เป็นไปด้วยเหตุปัจจัยทั้งหมด
  • แค่มีชีวิตที่ไม่คร่ำครวญ ไม่คับแค้น ก็สุดยอดแล้ว
  • นักวิทยาศาสตร์ เขาใช้แค่สมาธิ กับจินตนาการเท่านั้น แล้วก็ใส่เป็นตัวเลขเข้าไป 
  • ศาสนาถ้าขาดวิทยาศาสตร์ก็ตาบอด วิทยาศาสตร์ถ้าขาดศาสนาก็ไปไม่รอด
  • แม้สวรรค์ก็สร้างจากจินตนาการ
  • ยมกปาฏิหาริย์, อิเล็คตรอนปรากฏสองที่พร้อมกัน มันเกิดได้เพราะมันเกิดบนความว่างมันก็ดับไปบนความว่าง
  • สวรรค์หกชั้น จำแนกเป็นตามเหตุแห่งการทำความดีคือ ทำเพื่อตัวเอง, ทำเพราะเห็นว่ามันดี, ทำเพราะทำตามๆ กันมา, ทำเพราะเสียสละ, ทำเพราะมันเป็นนิสัยไปแล้ว, ทำด้วยความปลาบปลื้มประณีต
  • เรานั้นมองโลกด้วยสายตาแบบไหน?
  • เด็กน้อยเกิดจากพื้นดิน ขึ้นมาวิ่งเล่นบนพื้นดิน รอยเท้าเด็กน้อยก็ไปจุมพิตกับพื้นดิน
  • ปัจจุบันขณะนั้นไม่เคยหายไปไหน
  • ความรู้นั้นคือรู้ว่า นี่คือขันธ์5, มันเกิดจากอะไรก็รู้, มันดับเพราะอะไรก็รู้, คุณของขันธ์ 5 (จะทำให้มีความสุขกับมันได้), โทษของขันธ์ 5 (ทำให้แม้จะแปรปรวนก็ไม่คร่ำครวญ), และรู้จักวิธีทางที่จะออกจากมัน
  • ศรัทธาพละ - เห็นในโสดาปัตติยังคะ 4
    วิริยพละ - เห็นในสัมมัปปทาน 4
    สมาธิพละ - เห็นใน ฌาณ 4
    ปัญญาพละ - เห็นในอริยสัจ 4
  • แถมท้าย เวลาจะคิด/ทำ/พูดใดๆ ให้บวก...
    สัมมาทิฏฐิ - สุขทุกข์ไม่ได้มาจากเรา เขาทำ หรือเกิดลอยๆ
    สัมมาวายามะ - เพียรปิดกั้นอกุศลที่จะเข้ามา
    สัมมาสติ - รู่ชัดในผัสสะ