วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บันทึกคำสอนตัดภพฯ (๕) - 9 พ.ค.56


  • มันเป็นกระแส ไม่ได้มีใครไปเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครมีอุปาทาน ไม่มีใครมีเวทนา เพียงแค่เกิดจากผัสสะ เป็นกระแสขึ้นต่อเนื่องกันเท่านั้น
  • เมื่อไม่รู้จักผัสสะจึงเกิดเป็นเวทนา เป็นตัณหา เป็นอุปาทาน ภพชาติ ความคับแค้นใจ
  • รูปนั้นก็เกิดจากธาตุ 4 ดับจากธาตุ 4 เซลล์คนเราก็ผลัดทุกวัน เกิดดับตลอดเวลา copy ถ่ายสำเนาไปเรื่อยๆ เสื่อมลงไปเรื่อยๆ
  • อวิชาชาพูดง่ายๆ คือความไม่รู้ขันธ์ 5
  • รูปกระทบกันทำให้เกิดเวทนา แล้วเวทนาก็ทำให้เกิดจิตที่มีราคะ / โทสะ / โมหะ 
  • สัมปชัญญะ เข้ามารู้สึกตรงจิตเดิมแท้ ไม่ใช่ตัวราคะ โทสะ ซึ่งอันนั้นเป็นจิตสังขาร
  • ความคิดนั้นไม่ได้เกิดจากสัญญาบริสุทธิ์ มันเต็มไปด้วยความคิดความเห็น ที่เรียกว่า สัญญาวิปลาส ซึ่งวิปลาสก็หมายถึง ความคลาดเคลื่อนนั่นเอง
  • สรุปว่า จำผิด ก็คิดผิด
  • เท้ากระทบพื้น ท่องไปในใจ โป้ง ชี้ กลาง นางก้อย แต่ไอ้ตัวปรมัตถ์มันไม่ได้รู้ด้วยหรอก
  • กลับมารู้สึกที่ตัวเดิมแท้, จิต, วิญญาณ
  • ที่เราฟังไปทั้งหมดก็เพื่อไปปรุงเป็นภาพ สร้างขึ้นมาก็ไม่มีตัวตน พอนึกปุ๊บก็มีเวทนาไปผสมทันที เช่น เราพูดถึงกุ้ง (รสกุ้ง สีกุ้งก็ตามมา)
  • ความเห็นลักษณะ นั่นคือ เกิดจากอะไรก็รู้ ดับจากอะไรก็รู้
  • เวทนานั้นทำให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ
  • พรหม มีรูปเดียวกัน สัญญาเดียวกัน
  • เวลาเราดูวีดีโอ อ่านนิยาย จริงๆ เราเห็นจินตนาการ ไม่ได้เห็นคนจริงๆ ทุกอย่างนั้นมันไปกระตุ้นจินตนาการ สุดท้ายก็คือไปจบอยู่ที่เวทนา ไปกระตุ้นเวทนา
  • ถ้าขาดจินตนาการ เช่น เวลาจะซื้อเสื้อผ้า มันก็อะไรก็ได้ สีอะไรก็ได้ ไม่มีรสชาติ
  • ภพทั้งหมดก็ตอบสนองเวทนา
  • การดูจิตในจิต ก็ดู ราคะ โทสะ โมหะ (ความพอใจในอุเบกขา) ถ้าเมื่อละสามสิ่งนี้ได้แล้วมันก็ไม่ได้เหลืออะไร
  • พระโสดาบัณ - ละความเห็นผิดในตัวตน (แต่ยังละไม่ได้) มีความฟุ้งซ่านในธรรม (มันไม่แล้วใจ)
    พระอรหันต์ - ละอุปาทานขันธ์ 5
  • ถ้าไม่รอบรู้ในสิ่งทั้งปวง จะยังไม่ไปนิพพาน
    คำว่า "สิ่งทั้งปวง" หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส
    คำว่า "มาร" ไม่ใช่อะไร หมายถึง สภาวะที่มาบดบังนิพพาน หรือก็คือการปรุงแต่ง
  • อาจหาญ ร่าเริง สง่างาม เป็นตัวของตัวเอง
  • ใน 1 วัน อยู่กับความรู้สึกตัวที่ไม่ถูกครอบงำโดยการปรุงแต่ง
  • ถูกผัสสะบังหน้า ถูกผัสสะปุ๊บก็กระโดดเข้าไปปรุงแต่ง ให้มาดูแค่ "มีการกระทบเกิดขึ้นนี่นา"
  • อาศัยสติ - ทำให้ไม่เหม่อ ไม่เผลอ ไม่เพลิน
  • เพราะเวทนาทั้งหมดให้ผลเป็นความเผลอเพลิน
  • ความรู้สึกตัวไม่เคยหายไปไหน ส่วนสิ่งที่เป็นผัสสะนั้นเกิดแล้วก็ดับ
  • ไปเทอดค่าว่ามันต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเวทนาเท่านั้น แท้ที่จริง ความสุขจากอย่างหนึ่งไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือด้อยค่าไปก่วาความสุขจากอีกอย่างหนึ่ง
  • คำว่าทุกข์นั้น หมายถึง ทุกขลักษณะ - แปลว่า ลักษณะอันคงที่อยู่ไม่ได้ ไม่ได้หมายถึงทุกขเวทนา
  • นิวรณ์ธรรม ไม่ได้เรียนเพื่อจะกำจัด แต่เรียนเพื่อดูลักษณะ
  • สติปัฏฐาน 4 ทุกตัวเป็นการดูลักษณะ นั่นคือ เกิดจากอะไรก็รู้ ดับจากอะไรก็รู้
  • อุปาทาน มันจะเทอดค่าให้ยิ่งใหญ่ หรือต่ำต้อย
  • สังโยชน์ เคยมีเพราะอะไรก็รู้ ไม่มีเพราะอะไรก็รู้
  • เสน่ห์ของโพชฌงค์ 7 นั้นอยู่ที่ ปัญญานำสมาธิ มันไม่ได้เกิดมั่วๆ เป็นการเก็บข้อมูลวิจัย พอสติบริบูรณ์ (ตามดูลักษณะ) งานวิจัยก็บริบูรณ์ไปพร้อมๆ กัน
  • ถ้าโลภะ โทสะ โมหะ มีอยู่ตลอดเวลา ใครมันจะไปนิพพานได้
  • จิตที่ไม่แส่ส่ายมันก็ตั้งอยู่กับที่ เรียกมันว่า สมาธิสัมโพฌชงค์
  • มองสมาธิด้วยใจที่เป็นกลางๆ
  • อุปาทาน มีหน้าที่ยึดกับความอยากแบบไม่ปล่อย
  • ภพชาติ ไม่ได้มีอยู่ก่อน
  • พุทธะเป็นสภาวะธรรม ความหายสงสัยในในพุทธ ธรรม สงฆ์ คือความเห็นในสภาวธรรม ไม่ใช่หายสงสัยในพระพุทธเจ้า
  • ถ้ายินดีกับการคลุกคลีเป็นหมู่คณะ จะไม่เห็นนิมิตแห่งจิต เมื่อไม่เห็นนิมิตแห่งจิต จะไม่ขึ้นสัมมาทิฏฐิ
  • เผชิญหน้ากับความสงัด
  • เห็นจิตไม่ได้มีตัวตน ลบความรู้สึกว่าเราเป็นนู่นนี่ในหมู่คณะ
  • กลับไปดูตัวเองว่ายังเป็นตัวนี้อยู่กี่ %
  • ปมด้อยนั้นมันทำให้เกิดการต้องการความยอมรับ
  • ต้องละวาทะตัวตน
  • ศีลพรตลองไปดูว่ายังติดความงมงายอะไร
  • กระแส เวลาคิดเมื่อ + ด้วย สัมมาทิฏฐิ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ จะเข้าสู่กระแส
  • ไม่ว่าคิดอะไรมันก็ไม่มีทางใช่สิ่งนั้น
  • เวลาโกรธ - "เขาผิด เราถูก"
  • รักษาจิตอันปกติ (เป็นเครื่องอยู่ที่ง่ายสุด)
  • ดูเกิดดับ
  • ละการแสวงหา
  • กายสังขารสงบระงับ (พวกเข้าฌาน)
  • แค่กำจัดนิวรณ์ 5 ก็เข้าสมาธิได้
  • จะมีญาณเกิดขึ้นว่า คนชั่วและคนถ่อยทำสมาธิไม่ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น