- ละความงมงาย
- ธรรมะนั้นตรงไปตรงมา แต่จะต้องยืนอยู่บนขาของเหตุและผล
- จะเชื่อต้องเชื่อด้วยต้องพิสูจน์เอา
- พระโสดาบัณละความงมงายในศีลพรต เป็นผู้มีเหตุมีผล เช่นว่า ถ้าไม่อยากให้มีใครมาพูดจาขาดสติกับเรา เราก็อย่าไปพูดจาขาดสติกับใคร
- การตกอบายภูมิเป็นไปไม่ได้ด้วยเพราะไม่ได้สร้างเหตุอย่างนั้นเอาไว้
- ผัสสะเกิดจากอะไร?...มีเสียง มีหู ย่อมมีผัสสะ
อย่ามัวไปตั้งคำถามว่า "ใครหนอผัสสะ"
เมื่อมีกาย, วาจา, ใจ ก็ย่อมมีเจตนาทางกาย, วาจา, ใจ - เมื่อดูแค่ผัสสะ ตัณหาจะไม่ก่อตัว
- จุดสังเกตเมื่อเกิด "เรา" คือมันจะ คร่ำครวญ และ คับแค้น
- ผู้ที่เห็นผัสสะจะไม่คร่ำครวญเมื่อเวทนานั้นแปรปรวนไป และเมื่อไม่คร่ำครวญได้ ชีวิตก็เข้าสู่ความ "พอ" คำว่า "พอ" นี้สำคัญ
- อาศัยสิ่งใดไปดูผัสสะ? - ตอบ "สติ"
- การดูให้เริ่มต้นดูที่ผัสสะ จะเป็นรอยต่อที่สำคัญ
- หากกำลังยังไม่มากนั้น มันก็จะมีเพียง "ความเชื่อว่า..."
- เมื่อเห็นผัสสะบ่อยๆ สมาธิจะค่อยๆ มั่นคงขึ้นเป็นลำดับ เนื่องเพราะ จะให้มันไม่ชอบ (พยาบาท) / หดหู่(ถีนะมิทธะ) / หรืออยากได้อะไร (กามราคะ) / หรือฟุ้งซ่านไปในอะไรๆ ได้อย่างไรในเมื่อมันไม่เห็นว่าเวทนาเป็นเรา
- ตัณหาจะไม่ก่อตัว ถ้ามันรู้ว่าผัสสะดับไปได้
การที่อยากจะได้อะไรๆ ก็เพราะจะเอาไปสนองผัสสะ แต่จะไปเอาอะไรกับมันได้ในเมื่อเห็นมันดับไปๆๆ - เทคโนโลยีก็สร้างเพื่อรองรับอายตนะ 6
- จะเก่งแค่ไหน ถ้าไม่รู้จักที่มาของสุข-ทุกข์มันก็แก้ปัญหาไม่ได้
- กฏแห่งกรรมนั้นไปไกลถึงขนาดที่ว่า "ไม่มีใครอยู่ในกรรม"
- มีเยื่อใยอาลัยอาวรณ์ที่จะไม่ทิ้งความงมงาย มันก็ดื้อตาใสไปเรื่อย
- สมาธิคือ ธรรมชาติแห่งจิตที่จะไม่ถูกรบกวนด้วยนิวรณ์
- การรับรู้ - วิญญาณ - concious
- ความคิดก็เอาความจำนั่นแหละมาปรุงเป็นวจีสังขาร เป็นเพียงความประมวลเปรียบเทียบ
- ความสุขที่ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ต้องเปรียบเทียบ ไม่ต้องคร่ำครวญ
- กลับเข้าสู่วิธีการมันคือ การใช้ "สติรู้ชัดลงไปเรื่อยๆ"
- การจะไปคาดหวังให้เกิดอะไรพิลึกพิศดาร มันเป็นเพียงแค่ ความไม่รู้จักพอ ซึ่งถึงจะมีอะไรพิศดารแต่มันก็ไม่ได้ประหลาด เช่น การท่องพุทโธ โลภะ โทสะ โมหะก็ไม่มี ก็จบแล้ว
- ถ้าดูมันตรงไปตรงมา มันก็จะแค่นั้นเอง ไม่ต้องมีอะไรประหลาดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
- อุปาทาน คือ การยึดกับตัณหา แล้วไม่ปล่อย ถ้าไม่มีตัณหามันจะยึดกับอะไร ชอบเอาความงมงายเข้ามาขวาง
- วิปัสสนา มันก็เกิดตรงปัจจุบันขณะได้เลย รู้จักตรงผัสสะ สมถะวิปัสสนาเจริญพร้อมกันเลย ไม่ได้เกิดแยกกัน ไม่ได้เกิดขณะหลับตา
- เห็นขันธ์ 5 อายตนะ 6 เป็นไปด้วยเหตุปัจจัยทั้งหมด
- แค่มีชีวิตที่ไม่คร่ำครวญ ไม่คับแค้น ก็สุดยอดแล้ว
- นักวิทยาศาสตร์ เขาใช้แค่สมาธิ กับจินตนาการเท่านั้น แล้วก็ใส่เป็นตัวเลขเข้าไป
- ศาสนาถ้าขาดวิทยาศาสตร์ก็ตาบอด วิทยาศาสตร์ถ้าขาดศาสนาก็ไปไม่รอด
- แม้สวรรค์ก็สร้างจากจินตนาการ
- ยมกปาฏิหาริย์, อิเล็คตรอนปรากฏสองที่พร้อมกัน มันเกิดได้เพราะมันเกิดบนความว่างมันก็ดับไปบนความว่าง
- สวรรค์หกชั้น จำแนกเป็นตามเหตุแห่งการทำความดีคือ ทำเพื่อตัวเอง, ทำเพราะเห็นว่ามันดี, ทำเพราะทำตามๆ กันมา, ทำเพราะเสียสละ, ทำเพราะมันเป็นนิสัยไปแล้ว, ทำด้วยความปลาบปลื้มประณีต
- เรานั้นมองโลกด้วยสายตาแบบไหน?
- เด็กน้อยเกิดจากพื้นดิน ขึ้นมาวิ่งเล่นบนพื้นดิน รอยเท้าเด็กน้อยก็ไปจุมพิตกับพื้นดิน
- ปัจจุบันขณะนั้นไม่เคยหายไปไหน
- ความรู้นั้นคือรู้ว่า นี่คือขันธ์5, มันเกิดจากอะไรก็รู้, มันดับเพราะอะไรก็รู้, คุณของขันธ์ 5 (จะทำให้มีความสุขกับมันได้), โทษของขันธ์ 5 (ทำให้แม้จะแปรปรวนก็ไม่คร่ำครวญ), และรู้จักวิธีทางที่จะออกจากมัน
- ศรัทธาพละ - เห็นในโสดาปัตติยังคะ 4
วิริยพละ - เห็นในสัมมัปปทาน 4
สมาธิพละ - เห็นใน ฌาณ 4
ปัญญาพละ - เห็นในอริยสัจ 4 - แถมท้าย เวลาจะคิด/ทำ/พูดใดๆ ให้บวก...
สัมมาทิฏฐิ - สุขทุกข์ไม่ได้มาจากเรา เขาทำ หรือเกิดลอยๆ
สัมมาวายามะ - เพียรปิดกั้นอกุศลที่จะเข้ามา
สัมมาสติ - รู่ชัดในผัสสะ
วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
บันทึกคำสอนตัดภพฯ (๑) - 4 พ.ค.56
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น