วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

สำนวนวันนี้

闻过则喜 Wénguò zé xǐ 
Delighted to hear criticism
ยินผิดจิตรู้เรื่องเปรมปรีดิ์

人弃我取 rén qì wǒ qǔ

高世之才gāoshìzhī cái

语冰人 lěng yǔ bīng rén  
แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม

体大思精 tǐ dà sī jīng
 extensive in scope and penetrating in thought;long and precise

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

อ่านแล้วชอบ

กระบี่ ใบไม้



ลากรอยเส้นเป็นภาพฝันร้อยพันวาด
เขียนภาพงามลงกระดาษปรารถนา
สร้างสีขาวเป็นปุยเมฆของขอบฟ้า
พู่กันแต้มเขียวงามตาทุ่งหญ้าพรม
.
ขีดเส้นโค้งโยงฟ้าทาบดังภาพฝัน
รุ้งลาวัลย์วูบวับวามแสนงามสม
ฉากบ้านน้อย,ธารน้ำใสพลิ้วไหวชม
นั่งรับลมริมน้ำเล่นเย็นสบา
.
วาดคุณพ่อวาดคุณแม่ที่อบอุ่
เติมปล่องควันไอข้าวคุ้นที่ขาดหาย
กลางผ้าขาวมีอาหารอยู่เรียงราย
ป้ายพู่กันจุดสุดท้าย...ชะงักงัน...
.
จิตรกรในห้องเก่ายืนเหงาโศก
มองดูโลกอีกหนึ่งโลกเปี่ยมสีสัน
จะให้แต้มจุดสุดท้ายอย่างไรกัน
หยิบภาพสวยดังภาพฝัน...นั้นขึ้นมา
.
ไม่เคยมีภาพในใจที่อบอุ่น
ไม่เคยมีรักละมุนอันล้ำค่า
ไม่เคยมีความหมายใดในสายตา
แค่เกิดเป็นเด็กกำพร้าในสังคม
.
จะแต้มจุดสุดท้ายที่หายไป
จะขีดเขียนรูปอย่างไรให้เหมาะสม
เงียบสนิทในห้องหนาวร้าวระบ
...จุดสุดท้าย...พลันถูกพรม...ด้วยหัวใจ...
.
จิตรกรวาดสำเร็จเสร็จภาพฝัน
มโนคิดลิขิตผันแปลงโลกใหม่
โลกสดสวยมีตัวเองอยู่ข้างใน
เติมเส้นสี...ที่เขียนไว้...จนสมบูรณ์!

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

จับฉ่าย

17 ม.ค.58

ระหว่างฟุ้งซ่านว่ากะลังเถียงกะพี่คนนึงอยู่ว่าความเป็นผู้ใหญ่คืออะไร จิตก็ตอบโพลงออกมาแบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัวว่า คือ จิตที่ตั้งเห็นความเป็นเหตุเป็นผลธรรมดาอยู่อย่างนั้นเอง

18 ม.ค.58

กลับบ้านสวดมนต์เดินจงกรมทำสมาธิ จิตไม่สนเฟสบุค

19 ม.ค.58

เจอมนุสเทโวโดยบังเอิญ เหมือนตั้งใจมาเตือนอะไรสักอย่าง ก่อนนอนรู้สึกถึงกายเป็นศพหนักๆ แล้วความคิดเหมือนของเหลวกระฉอกไปๆ มาๆ ในแก้ว

20 ม.ค.58

อ่านการบ้านเพื่อน รู้สึกจิตสงบเรียบ ไม่เกิดคลื่นเหมือนที่ผ่านๆ มา

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

ว่าด้วยการสวดมนต์

1) สวดให้มันถูก คือ หัดสวด ให้อักขระได้ ทำนองได้ สวดคล่อง ทัน และไม่ผิด
2) สวดคล่องแล้ว ก็จะสวดให้ต่อเนื่อง มาดูเสียงด้วย ให้เสียงสม่ำเสมอ มาดูจิต ว่าเวลาสวดนั้นตั้งมั่นดีไหม ดูสติไม่ให้หลุดออกไปจากบทสวด ให้จดจ่อกับบทสวด
3) สวดคล่องขึ้นไปอีก เริ่มเบื่อ สามารถสวดไม่ผิด แต่ส่งจิตล่องลอยไปไหนๆ รวมทั้งจะคิดอะไรไปด้วยสวดไปด้วยก็ได้ อ่านหนังสือไปสวดไปยังได้ 

อันนี้ต้องมาฝึกกำหนดสติ


3.1 กำหนดสติในการสวดทีละอักขระ คือให้มีสติกำกับ ออกเสียงชัดทีละอักขระเลย บางทีนึกภาพตัวอักษรคาราโอเกะขณะสวด

3.2 กำหนดรู้คำแปล (ก่อนนั้นเราอ่านคำแปลไปสวดไปบ้าง จนจำได้แล้วเวลาสวดบาลี ก็แปลความหมายไปด้วย) 

3.3 เข้าฌานขณะสวด แล้วก็สลับไปมาระหว่างกำหนดรู้ในฌาน กับบทสวด ซึ่งถ้าเป็นบทง่ายอย่างอิติปิโส นี่มันก็ดูสภาวะในฌานกับสติปัฏฐานเป็นหลัก กาย-เวทนา-จิต-ธรรม ไปในขณะสวด


4) สวดเก่งแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอักขระ พยัญชนะ คือรู้หมดแล้ว ฌานก็ได้แล้ว สติก็มีแล้ว กำลังก็มีแล้ว

ทีนี้จะสวดมนต์เป็นงานเป็นการ สวดให้เขา สวดให้มันทั้งศาลา สวดถวายหลวงพ่อ หรืออะไรก็ตาม


ปกติสวดแบบนี้ พระต้องมีฌานด้วย เราถึงจะไต่ขึ้นไปได้
และมักจะต้องวอร์มด้วยบทสวดตั้งแต่ต้น ถ้าจู่ๆ มาสวดแบบไม่วอร์ม ก็จะไม่ขึ้นถึงระดับนี้ 

สวดแบบนี้เราเข้าฌานสวด สติกับสมาธิเสมอกัน สวดแล้วว่าง สว่าง บางครั้งไม่เหลืออะไร เหลือแต่หัว บางครั้งหัวก็ไม่เหลือ เหลือแต่ความว่าง สว่าง แต่ก็แปลกทียังสวดได้อยู่ น่าจะเทียบสักฌานสาม แต่มันเป็นสมาบัติ ไม่ใช่ฌานธรรมดา คือทุกอย่างขาวโพลนดับหายหมด 

สติอยู่ที่จิต จิตอยู่กับบทสวด ตั้งมั่นบนฐาน เหมือนว่าสวดออกมาจากจิต หรือจิตมีปากนี่แหละ ตาลืมแต่มองไม่เห็นอะไร 

รู้ชัดหมดทุกอย่าง แต่เราจอจ่อกับบทสวด ขยับคิดนิดนึงจะสวดผิดทันที ห้ามขยับเลย ขยับนิดนึง หรือสติอ่อน สัญญาดับ พระดับกับเราไปด้วย ดังนั้นถ้าไปต่อกับพระเข้า เราก็ห้ามหลุด เดี๋ยวดึงพระหลุดทั้งแถบ 555

กระแสเวทนาเข้ามา เราคันคอ พระนำสวดก็ไอ มันต่อกันขนาดนั้นเลย คือเราก็นำสวดด้วย โดยไม่ต้องใช้ไมค์ ถ้าพระจิตโอเคก็ไปด้วยกันแบบพิเศษสุข พระนำสวดก็ไม่เหนือย เราก็ไม่เหนื่อย ญาติโยมในศาลาวันนั้นโชคดีเป็นพิเศษ

แต่ถ้าพระจิตไม่โอเค เราก็ไม่ต่อ สวดของเราเอง สบายเอง ไม่สนใจใคร 

ถ้าสวดได้แบบนี้มันสุดยอด เวทนาเข้าไม่ได้เลย คือสวดแล้วเหมือนอยู่กับหลวงพ่อ คือถ้าสวดได้แบบนี้ทุกว้ัน ก็ไม่ต้องขึ้นกราบหลวงพ่อ สภาวะใกล้เคียงกัน เหมือนท่านอยู่กับเรา อิ่มเหมือนกัน 

สวดระดับนี้ เราไม่ได้ทุกครั้งหรอก นานๆ ที เหมือนกัน

แต่ถ้าได้แน่ๆ แล้ว ได้เจอสภาวะระดับนี้แล้ว จะรู้เลยว่าการสวดมนต์เป็นวิชชาอย่างหนึ่ง สำหรับเอาไว้ประดับจิต ที่หลวงพ่อสอนมา เออ ไม่ได้อภิญญาก็ได้วิชชาสวดมนต์ไป ใช้หากินทำกินเลี้ยงตัวเองได้ แล้วก็ช่วยคนอื่นได้ด้วย


**************

ส่วนมากเราสวดประจำวันได้แค่ระดับที่ 3 แล้วก็ต้องสู้กับเวทนามหาศาล เลยมักจะไม่เข้าฌานแบบหลบหรือหนี แต่เน้นเจริญสติ เพราะถ้าเข้าฌานมันดึงพระโดยอัตโนมัติ และดูดเวทนาเข้ามาด้วย

หมายถึงว่าถ้าสวดมนต์แล้วเคลิ้มๆ สบายๆ นี่คือผิดแล้ว 


มันจมในโมหะตะหาก พวกสวดแล้วจะง่วงซึม จะต่างจากฌานที่ประกอบพร้อมด้วยสติ มันจะสว่าง และรู้ชัด 

ซึ่งแน่นอนว่า เวทนามันจะชัดไปด้วย ส่วนใหญ่ดูน้องๆ สวด เจอตรงนี้จะหลบ คือหนีเข้าฌาน แต่มันเป็นฌานเจือโมหะ

(ถ้าไม่ออกมาทำสติ แล้วทนเวทนา แล้วเอาฝึกเอาปีติ สู้กับเวทนา ก็จะติดนิสัยดูดกำลังโดยไม่รู้ตัว เป็นผู้ไม่น่านั่งใกล้เวลาสวดมนต์ 555)

แต่ถ้าเราฝึกสู้เวทนา ใช้ปีติฌานสองนะ แล้วสู้เวทนา ทีนี้เวลาเข้าฌานสวด ก็มีสติ มันถึงจะได้สัมผัสกับระดับ 4 ที่เจ้เล่า 

มันสุดยอด คือหายหมดเลย ทุกสิ่งอย่าง มีแต่บทสวดกะจิต กะกำลัง


ปกติเราทำฌานไม่ค่อยได้อย่างนี้หรอก มันจะพาลดับหรือหลับไปก่อน จึงอาศัยทำฌานเวลาสวดมนต์ยาว 

ถึงจะได้สภาวะที่ครูอาจารย์บอกว่าหายหมด แบนราบ เรียบ คือโลกมันหายหมด ตัวก็หายหมด เหลือแต่ความว่าง ขาว สว่าง แต่มันก็ยังสวดมนต์ได้ 


หลวงพ่อใหญ่ท่านเคยรองรับสภาวะอย่างนี้ แต่ท่านไม่ยอมบอกว่าฌานอะไร ท่านบอกว่าอัปปมาณะสุภา ซึ่งไปหาเอาก็ประมาณฌาน 3 สมัยที่ถาม ท่านบอกว่ายังไม่เต็มนะ ยังได้อีก ก็เพียรทำต่อมาจนคาดว่าเต็มแล้ว แต่ไม่ได้ไปถามท่านอีก 

คือพอถึงจุดหนึ่งได้แล้ว ก็ทำ และใช้ประโยชน์ หมดสงสัยในสมมติ

แต่เคยถามพอจ.ฉํนนะ พอบอกหลวงพ่อไม่บอก ท่านก็ไม่บอกบ้าง ท่านบอกมันเลยฌาน เป็นผลของฌาน ก็เดาว่าเป็นสมาบัติ แต่สมาบัติที่เท่าไหร่ ไม่รู้ รู้แต่ว่านานๆ ได้ที ก็ดีเหมือนกัน เอาไว้เป็นมาตรวัดความสำเร็จ ในการสวดมนต์


แต่ทุกวันนี้ถ้าสวดมนต์แล้วนำสวด ก็ไม่ได้เข้าฌานหรือใช้สมาบัติ เพราะไม่ได้สวดกับพระที่เก่งจริงๆ 

** หมายถึงฌานสูงสุดที่เข้าได้ แต่ปกติสวดมนต์ก็ต้องเข้าฌาน หนึ่งบ้างสองบ้าง แล้วแต่พระจะนำไป สูงสุดของเราคือ ฌาน 5 ที่สวดมนต์ได้ 


แต่จะคอยช่วยเลี้ยงพระบ้าง ดึงกำลังบ้างไม่ให้ตก เดี๋ยวหลวงพ่อเจ็บ ก็จะเป็นวง back up ให้ คอยเลี้ยงพระ พระก็สวดดีไป เราก็อาศัยเจริญสติ อัดกำลังบ้าง แล้วปรับแต่งประคองวงไป 

ถ้าสวดกับพระที่ยังไม่เก่งมานำสวด เราก็ต้องช่วยหล่อเลี้ยง ไม่ต้องพูดถึงสภาวะส่วนตน แต่ถ้าพระท่านเก่งมา นิ่งมา เราก็ค่อยได้เสพผลสภาวะส่วนตนเอา นานๆ ได้ที ก็ปีติไปได้หลายชั่วโมง


จากเบสิค ถึงแอดว๊านซ์ ก็ได้ประมาณนี้ คงแอดว๊านซ์สุดแล้ว เพราะหลวงพ่อบอกกำลังเราสมบูรณ์แล้ว ท่านเคยชมแล้ว และหลังจากน้ันต่อให้รู้สึกว่าสวดดีมากๆ ท่านก็ไม่ได้ชมอีก แสดงว่าหมดแล้ว คือที่สุดแค่นั้น เลยจากนั้นเป็นดีเทล ความไม่เที่ยง เป็นการเรียนรู้สภาวะในรายละเอียด ซึ่งมันไม่เที่ยงหรอก ขึ้นๆ ลงๆ บางวันได้แต่สู้เวทนาก็มี บางวันก็สู้กะตัวเองก็มี แล้วแต่เหตุปัจจัย 

ทีนี้ใครอยากถามจุดไหนก็ถามแล้วกัน มันมี 4 จุดหลักๆ

15 - 16 ม.ค.58

15/1/58

กลับมาบ้านแต่เข้าบ้านไม่ได้ไม่มีกุญแจ ระหว่างรอเลยสวดมนต์ นั่งสมาธิลืมตา เดินจงกรมไป (ช่วงเวลารออะไรสักอย่างนี่มันดีมากจริงๆ) เดินๆ อยู่ก็รู้สึกถึงความไม่สบายใจ อารมณ์จิตตกที่เป็นมาจะครึ่งเดือนหายไปเสียเฉยๆ

16/1/58

ไปสวดมนต์ นั่งสมาธิที่วัดปทุม สวดแบบไล่อักขระไป ใจก็ลอยไปเป็นพักๆ แต่เสียงยังอยู่ต่อเพราะสัญญา บางจังหวะเห็นตัวอักษรชัด บางจังหวะเห็นตัวอักษรเบลอ กลับบ้านนั่งอ่านหนังสือธรรมะ ได้มาทบทวนตัวเองว่ายังคงติดนิสัยจมแช่อารมณ์อกุศล ที่ว่ามันไม่มีแรงขึ้นจากอบาย ส่วนหนึ่งคลับคล้ายคลับคลาว่ามีความอยากจะอยู่อย่างนั้นเอง พอใจลึกๆ อีกส่วนนึงมีความอยากรู้อยากเห็นว่า ถ้าไม่ทำอะไรเลยไอ้อารมณ์นี้มันจะเป็นยังไงนะ  แต่ต่อให้เห็นว่ามันก็หายไปเสียเฉยๆ เมื่อวาน คือฐานจิตวันนี้ไม่ตกไปเท่าวันก่อนๆ แล้ว แต่ก็ยังเห็นไม่ชัดเจนแบบดำเป็นขาว แล้วก็เกิดความรู้สึกว่าวงจรอย่างนี้ต้องเกิดอีก

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

25 ธ.ค.-13 ม.ค.15

25 ธ.ค.-11 ม.ค.15

ขี้เกียจจนหมดแรง หมดแรงจนจิตตก จิตตกจนคร่ำครวญ คร่ำครวญจนเป็นทุกข์ เจออากาศขมุกขมัว ถัดมาเจอเหตุต้องบู๊ที่ทำงาน ร่างกายขึ้นๆ ลงๆ อารมณ์แปรปรวนผิดปกติ นั่งสมาธิไม่ได้ก็ไม่มีแก่ใจจะเดิน จนมีอยู่วันหนึ่งเห็นหลวงพ่อไก่ในความฝัน บางวันก็ฝันโหดเหี้ยมมากเป็นสิ่งมีชีวิตกินกันเป็นๆ ระหว่างที่ไม่มีแรงขึ้นจากอบายก็หาบุญเล็กน้อยทำไปเรื่อย

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558