วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

黄帝内经

ระบบที่ซับซ้อน ไม่สามารถใช้ และอย่าใช้มาตรวัดอันเดียวไปวัด

ฝั่งซ้าย - ขาดอะไรก็เติมลงไป
ฝั่งขวา - ขาดอะไร หาทางกระตุ้นให้สร้างอันนั้น

万物都是有形生于无形
无形生到有形有这么一个过程
这个过程是

有太易 = 未见气 (气还没有呢)
有太初 = 气之始也
有太始 = 形之始也 (有气了气聚成形了)

有太素 = 质之始也 (本质)e

----
หวงตี้เน่ยจิง

ความน่าสนใจคือ การเรียกอวัยวะ ไม่ได้เรียกตาม “รูปธรรม” ซะทีเดียว

เปรียบเทียบกับแพทย์สายตะวันตก เวลาเรียนอวัยวะ ก็ง่ายมาก..ผ่าดูเอา มีโครงสร้างให้เห็น ชี้ได้ จับต้องได้ เรียกชื่อแล้วสื่อตรงกันว่านี่คือสิ่งที่หน้าตาอย่างงี้ๆ มันทำงานอย่างงี้ๆ

ขณะที่การเรียกอวัยวะในตำราหวงตี้เน่ยจิงนั้น บางอย่างเทียบเป็นชิ้นเป็นอันกับตะวันตกได้ คือมีอวัยวะชัดเจน แต่บางอย่าง กลับเป็นลักษณะของ “ความสามารถ” หรือ “คุณลักษณะ” ในการทำงานอย่างนั้นๆ มากกว่า คือ ไปผ่าดูเนี่ย ไม่เจอหรอกอวัยวะที่ว่าเนี้ย แต่เมื่อมองจากองค์รวม ดูจากภายนอก ราวกับว่ามีอวัยวะที่ว่านี้อยู่

ตัวอย่างเช่น “ใจ” ในหวงตี้เน่ยจิง ไม่ได้หมายถึง อวัยวะสูบฉีดเลือดเท่านั้น แต่หมายถึงถึง สภาวะจิตใจ อารมณ์ ความมีชีวิตชีวา (เสิน) ที่เป็นนามธรรมด้วย

เวลาบอกว่ามีเสิน สื่อคือ มีชีวิตชีวา ผิวพรรณมีน้ำมีนวล อากัปกิริยาคล่องแคล่ว มีเรี่ยวมีแรง แววตามีประกาย กินง่าย ถ่ายคล่อง หลับดี

สุขภาพดีของแพทย์แผนจีน จะมองที่ความสัมพันธ์ของกายและใจ (จิตวิญญาณ) ที่สอดคล้อง 形神相俱 ประสานการทำงานได้ดี ขณะที่แพทย์ฝั่งตะวันตกนั้น หากร่างกายเจ็บป่วยจึงถือว่ามีความเจ็บป่วย แต่ถ้าร่างกายปกติดี ก็ถือว่าคนนั้นไม่มีความเจ็บป่วยใดๆ

ตำราเน่ยจิงนี้จะเปรียบร่างกายเหมือนกับเมืองๆ หนึ่ง โดยมี “ใจ” เป็นฮ่องเต้ หรือเป็นหัวหน้า


30/5/59 วรรคทองวันนี้

คุณไม่มีวันจะบัญญัติกฎหมายขึ้นมาเพื่อคุ้มครองคนจากความโง่เง่าของพวกเขาเองได้หรอก

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ทานบารมี

สุดท้ายแล้วทานจะปิดวิจิกิจฉา

ถ้ารู้สึกแต่ว่าภยันตรายอยู่รอบตัวไปหมด

ชาติที่ดีที่สุด คือชาติที่เราเข้าใจเหตุผลของการเจอดีเจอร้าย
ไม่ใช่ชาติที่เจอร้ายแล้วร้ายตาม

ถ้ารู้สึกแต่ว่าภยันตรายอยู่รอบตัวไปหมด
ให้เชื่อมั่น และตั้งมั่นว่า

"เรานี่แหละ จะเป็นเขตปลอดภัยให้เอง"

เริ่มต้นด้วยการรักษาศีล เพื่อจำกัดอันตรายจากตัวเองที่จะแพร่ถึงคนอื่น

แล้วต่อยอดขยายเขตปลอดภัยด้วยการให้ทาน

เพื่อลดความทุกข์ร้อน อันเป็นเหตุให้คิดชั่ว

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เดิน เปลี่ยน ที่ใดมีรูปที่นั่นมีนาม

ธรรมชาติของจิตเนี่ย มันต้องมีที่ยึดเกาะ ปกติแล้วที่ใดมีรูป ที่นั่นย่อมมีนาม จิตวิญญาณมากมายล้วนต้องการที่อยู่ เพราะมันอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ เหมือนจิตเราน่ะ ถ้าไม่ปฏิบัติดีพอ ก็อยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องวิ่งไปจับสิ่งนั้นยึดสิ่งนี้ หาที่อยู่กันตลอดเวลา โชคดีที่เรามีที่อยู่ตั้งแต่เกิด คือกายของเรา แต่ขนาดว่ามีกายแล้วจิตวิญญาณเรายังอยู่ไม่สุก วิ่งไปยึดคนโน้น เกาะสิ่งนั้น กันอยู่ตลอดเวลา แล้วที่เราปฏิบัติกันก็เพื่อให้จิตมันเลิกยึดเกาะ และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นอิสระ ที่สุดแล้ว จึงเรียกว่า "จิตอิสระ" ไม่ต้องเกาะต้องอาศัยยึดอะไรอีกต่อไป
จิตวิญญาณก็เหมือนกัน หลุดจากกายไปแล้วก็ต้องหาที่ไป ถ้ามีที่ไปแน่นอนก็ง่าย จิตมีกำลังกุศล ไปสวรรค์ ไปเกาะภพสวรรค์ จิตมีฌาน ไปเป็นพรหม จิตมีวิบากมีความห่วงใยพอดี ก็มาเกิดเป็นคนใหม่ จิตมีอกุศลมากก็ลงอบาย อันนี้แบบชัดๆ
มีพวกไม่ชัดประเภทความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏ ไม่หือไม่อือ จะไปข้างไหนก็กำลังไม่พอ พวกนี้คือสัมภเวสี ก็จะล่องลอยหาที่เกาะไปเรื่อย บางทีก็ไปเกาะในสถานที่ ตามต้นไม้ ตามวัตถุสิ่งของ แล้วก็ไปเจริญเติบโตในโลกของวิญญาณ จนมันมีกำลังพอ ก็จะค่อยเกิดเป็นอะไรก็ว่าไป อย่างสมมติเราตายในบ้าน จิตเกาะอยู่ในบ้าน อยู่ไปอยู่มานานๆ สะสมกำลัง จนติดที่ก็เป็นผีบ้านผีเรือนไง
สัมภเวสี เขาอยู่ภพใดกันแน่ครับเนี่ย เปรต อสุรกาย เทวดา ?
ก็เป็นพวกรอเกิดไง นึกออกมั้ย สมมติว่าคุณเป่าลูกโป่งสวรรค์ แล้วลมไม่พอ มันยังไม่ลอยขึ้นเต็มที่ แต่มันก็ลอยขึ้นๆ ลงๆ ผลุบๆ โผล่ๆ ไงคุณ รอเวลาวิบากมาสมทบแล้วค่อยดูอีกทีว่าไปทางไหน บางทีติดภพนี้นาน เราเข้าใจเองจากจิตนะ ว่าเป็นภพคั่น

จิตวิญญานมันมีเยอะมาก ที่สามารถจะรวมกำลังขึ้นมาเป็นผีเป็นตัวๆ นี่ก็เป็นส่วนน้อย ที่ล่องลอยเหมือนเชื้อโรค เป็นรูปพลังงานก็รวมเป็นตัวไม่ได้ก็มี ก็อยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ เป็นกลุ่มพลังงาน พวกเราลองทดสอบได้ ถ้ากายสะอาดใจสะอาดระดับหนึ่งแล้ว ไปในบางพื้้นที่ จะรู้สึกเหมือนฝุ่นเกาะตัว เกาะขาเกาะตัวจนรู้สึกได้เลย อย่างนี้เรียกว่าพลังงานน้อย แต่เยอะ..
ส่วนพวกที่เป็นตัวๆ เลย พวกนี้ก็มีฤทธิ์มีกำลังตามวาสนา ตามเหตุปัจจัย พวกนี้ ผู้มีวิชาเขาสามารถเหนี่ยวนำไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นต้นว่าเรียกวิญญาณผี ให้มาอยู่ในตุ๊กตา ก็กลายเป็นกุมารไง เขามีวิชาผูกวิญญาณ ให้สิงสู่อยู่ในกุมาร แล้วก็ขายกุมารนั้นให้เราซื้อมาเลี้ยงได้ โดยบอกว่า เป็นเทพ ส่วนใหญ่กุมารเขาว่าเขาเป็นเทพ
ถามว่าเป็นไปได้มั้ย ก็เป็นไปได้ อย่างศาลพระภูมิ เขาเชิญเทวดามาสถิต คือทำศาลให้ท่านอยู่ แต่ครูอาจารย์ที่ท่านเล่าๆมา ท่านก็ว่าเทวดามีวิมานของตัวเอง แต่ถ้าคนตั้งแท่นบูชา เขาก็มารับการบูชาได้ แล้วมันไวไง แค่นึกถึงเขา เขาก็มา แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะมาอยู่ในศาลนั้นตลอด เขาก็อยู่วิมาน(บ้านทิพย์)ของเขา สมมตินะว่ามีวิญญาณระดับเทวดา ถูกเชิญมาอยู่ในตุ๊กตาเด็ก ก็เป็นได้ว่าเขาอาจจะมา แต่ตามหลัก เขาก็ต้องมาเพื่อประโยชน์บางอย่างของเขา เช่นมาช่วยญาติสร้างบารมี ให้พร หรือดลบันดาลให้เป็นไปในนทางที่ดี
แต่ถามว่าถ้าเราเป็นเทวดา เราจะมาอยู่ในกุมารมั้ย ? ลองถามตัวเองดู อุตส่าห์มีบุญได้เป็นเทวดาแล้ว ตามปกติก็ต้องเสวยบุญของตัวเอง จะมารอคนเลี้ยงน้ำแดง มันใช่ที่อยู่หรือเล่า ?
ตรงข้ามกับพวกผี ที่มีลักษณะจิตตรงข้ามกับเทวดา ผีหิวโหยตลอด และขาดแคลน มันขาดจากจิต ผีจะต้องการพลังงานบุญมาเติมเต็มให้กับตัวเองตลอด สมมติเราเป็นผีนะ จะไปเกิดที่ไหนก็ไม่ได้เพราะบุญไม่พอ ก็คือไม่มีที่ไป ถ้ามีคนที่มีความสามารถ มาบอกเรา มาสื่อกับเราได้เราก็ย่อมดีใจ ย่อมเชื่อเขา ถ้าเขาบอกให้ไปอยู่ในกุมาร แล้วจะมีคนเลี้ยง ให้เราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าอ.เจี๊ยบเป็นผี ก็คงจะทำตาม เพราะไม่มีทางเลือก แม้ผีก็ต้องการชีวิตที่ดีกว่า แต่ถ้าอ.เจี๊ยบเป็นเทวดา คือ ถ้ามาให้กูไปช่วย ก็คงได้ แต่จะมาให้กูไปเป็นกุมารให้เขาเลี้ยงนี่ มันก็แปลกเหตุแปลกผล คือแปลกจากตรระกะของเทวดาอยู่นะ
ด้วยเหตุนี้ อ.เจี๊ยบจึงมีความเชื่อพื้นฐานว่า ส่วนใหญ่วิญญาณที่อยู่ในกุมาร เป็นผี หรือสัมภเวสี หรืออาจเป็นโอปปาติกะ เกิดแล้วในรูปใดรูปหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นเทวดา
พื้นฐานของพวกเขาคือต้องการผลประโยชน์บางอย่างจากมนุษย์ และสามารถให้ประโยชน์บางอย่างแก่มนุษย์ได้ ฟังดูจะเข้ากับคำว่า "เลี้ยงกุมาร" ถ้าเลี้ยงดีๆ จะให้คุณประโยชน์ ถ้าเลี้ยงไม่ดี ก็มีโทษได้ ลักษณะจิตของเขา ย่อมขาดกุศล จึงต้องพึ่งพิงคนเลี้ยง ยิ่งคนเลี้ยงยึดว่าเป็นเด็ก เป็นลูกเป็นหลาน เขาก็ชอบสิคะ เพราะเราคุยเขาได้ยิน รับกระแสใจได้ ติดตามเราไปไหนมาไหนได้ รับกุศลได้ รับความรู้สึก หรือเสพวัตถุธาตุในลักษณะที่เป็นพลังงานได้ (เลยกินน้ำแดงได้) ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงเลี้ยงกุมารได้จริง
เรื่องมนุษย์เลี้ยงผีนี้มีทุกชาติ ทุกศาสนา มีมาตั้งแต่ก่อตั้งโลก ทั้งมนุษย์วิทยา ทั้งสังคมวิทยา ไปจนศาสนศาสตร์ก็มีคำอธิบายให้ แล้วก็มีกลุ่มคนที่สามารถสื่อสารกับผีได้ สามารถใช้ผีทำงานได้ 555 อันนี้มันมีอยู่จริง
แต่ถามว่าผลที่ได้รับคืออะไร ?
อ.เจี๊ยบอยากถูกหวย จะเอาเงินมาปิดหนี้บ้าน ยังไม่ถูกเลย ขนาดมีหลักการว่าเข้าฌานได้ ออกจากฌานอธิษฐานได้ มีหลวงพ่อใหญ่เก่งสุดๆ เป็นอาจารย์ บางทีหลวงพ่อฮา ให้เลขด้วย ก็ไม่เคยถูก เพราะไม่มีกรรมสัมพันธ์ในเรื่องนี้ ไม่มีโชคลาภลอยอะไรก็ว่าไป ต่อให้เลี้ยงกุมารเป็นพันองค์/ตัว ก็คงไม่ถูกหวย เพราะเราไม่มีวาสนาในด้านนี้
แต่บางคนที่เขามีวาสนาในด้านนี้ เขาก็ถูกหวย กุมารอาจจะช่วยได้ ในแง่มาดลใจ มาสื่อสาร เพราะกุมารบางองค์ก็อาจจะไปดูเลขหวยได้จริง 555 แต่จริงๆ แล้ว มันก็ได้แค่เพิ่มกำลังให้
แม้แต่เทพทั้งหลายก็ยังบอกว่า "ช่วยได้ไม่เกินกรรม" ดังนั้นถ้าจะเอาจริงๆ ผลดีที่ได้รับในแง่ลาภยศเกียรติสรรเสริญ มันก็มาจากกรรมของเราทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่เทพให้ได้ หรือกุมารให้ได้ มันตอบสนองในแง่จิตใจมากกว่า คือ ให้กำลังใจ มีความรู้สึกว่ามีผู้คุ้มครอง มีผู้คอยบอกสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ มีอะไรที่พิเศษไปกว่ามนุษย์คนอื่น เพราะมันมีอีกจิตนึงสนับสนุนเราอยู่นั่นเอง คนที่จิตใจอ่อนแอ หากว่ามีกำลังใจสนับสนุนอย่างเป็นทางการ เป็นรูปธรรม ในรูปขององค์เทพองค์กุมาร (แบบส่วนตัว) ก็จะรู้สึกมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น มีกำลังใจขึ้น ก็ไอ้กำลังใจตัวนี้แหละ ที่สร้าง "ความเปลี่ยนแปลง" ให้กับชีวิตคุณได้
ในทางกลับกัน สิ่งที่คุณจะต้องสูญเสีย ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่คิด และไม่ตั้งคำถาม เพราะคนเรามักจะเอาแต่ได้ เห็นแต่ข้างที่จะได้ แต่ไม่ระวังถึงสิ่งที่จะเสีย
จิตอื่นมาอยู่กับเรา เราก็ต้องเลี้ยง การเลี้ยงนี้เราก็ต้องมอบกำลังจิต (มาจากบุญกุศล) ให้กับเขา เพราะเขาไม่มีพลังงานในตัวเอง ถ้ามี เขาจะมาให้เราเลี้ยงทำไม (อันนี้ไม่นับกรณีเทวดามาช่วย เพราะผูกพันกันมานะ เอาเฉพาะหมวดวิญญาณทั่วไป หรือผี)
คือพูดง่ายๆ เรากินอะไรเขาก็รู้สึกว่ากินด้วย ทำอะไรก็ทำด้วยกัน แรกๆมันคงดี แต่อยู่ๆ ไป ถ้าเราเกิดอด เขาก็อด สองจิตอด มันก็มีแต่คนเราที่มีความสามารถจะหากินได้เอง ก็เหมือนมีลูก หรือเพื่อนซี้ ที่เราต้องคอยดูแลตลอด พอเวลาที่เราลืม หรือเบื่อ เขาก็ย่อมไม่โอเคสิ เพราะว่าเคยได้แล้วไม่ได้ หากว่าเขามีกำลังจิตแกร่งกล้ากว่าเรา หรือมีฤทธิ์ขึ้นมา เขาก็สามารถดลบันดาลในทางตรงกันข้าม กับที่เขาให้ มันก็จะเกิดอะไรได้มากมายจากเหตุอันนี้ โปรดจินตนาการต่อเอาเอง
นอกจากนี้เราก็ต้องจำกฏของพลังงานเอาไว้ มนุษย์มีพลังงานสองส่วน คือพลังงานจิต และพลังงงานกาย หากว่าจิตดี กายก็ดี กายไม่ดี จิตก็ไม่ดีไปด้วย กายเดียว จิตเดียวก็ยังแบกกันไม่ไหวเลยบางที แต่ถ้ากายเดียวแต่สองจิต หรือหลายจิต มันจะเป็นยังไงล่ะ 555 ลองจินตนาการดูทีรึ..
กฏของพลังงาน พลังงานที่มีศักย์สูงจะไหลไปหาจุดที่มีศักย์ต่ำกว่า มนุษย์มีพลังงานมากกว่า ก็ไหลไปสู่จิตวิญญาณที่มีพลังงานน้อยกว่า เขาอยู่กับเราจึงมี "ส่วนได้" ได้ตั้งแต่ระบบพลังงานตามธรรมชาติเลย เรามีกายด้วย เขามีแต่จิต พลังงานจิตเราต้องแบ่งไปรักษากาย ส่วนเขาไม่ต้อง เกาะอยู่กับกายเราได้ ดึงพลังงานของเราไปเติมเต็มจิตเขาได้
อยู่ไปนานๆ กลายเป็นว่าวิญญาณที่กระแสจิตอ่อน ก็เกิดมีความเข้มแข็งขึ้นมาได้ ส่วนมนุษย์ที่ว่าจิตเคยสูงกว่า แต่ไม่รู้ตัว ก็ถูกดึงพลังงานไป ทำให้จิตใจอ่อนแอ จะคิดจะทำอะไรเองก็ไม่ได้ เพราะชินกับการที่จะต้องมีที่ปรึกษา จิตที่มีพลังงานมากกว่า ก็สามารถ เทคโอเว่อร์ กายซึ่งเป็นเรือนร้างได้
ในที่สุดก็ต้องมาบวช 9 วัน แสดงอาการประหลาดๆ เหมือนไม่ใช่ตัวเรา เพราะว่ากายถูกแฮคไปใช้แล้ว โดยจิตที่เขาเหนือกว่าเรา โดยเฉพาะเมื่อเราขาดสติ หรือเจ็บป่วยจนจิตอ่อนแอ

ที่ปูพื้นฐานว่า ที่ใดมีรูป ที่นั่นมีนาม คือหมายความว่าเราเอาอะไรมาตั้งไว้ มันก็มีพลังงานไหลเข้าไปได้ไง

ตุ๊กตาเอย รูปภาพแขวนผนัง มีได้หมดเลยนะ ต้นไม้ แม้กระทั่งบ้านเราเนี่ย ชั้นบนไม่ได้อยู่ ไม่ได้ขึ้นไป วิญญาณเต็ม 55 


อันนี้ขนาดไม่ได้อัญเชิญน่ะ เขาก็มาเอ้งงง คือไหลมาเอง
ขนาดยังไม่ได้เชิญก็มา แต่ถ้าเชิญก็มาอยู่เลย แบบได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการให้อยู่ได้ไงคะ

เหมือนกัน คนเราไปไหน มีพลังงานชีวิต มันก็ดูดเอาสิ่งแวดล้อมรอบตัวเข้ามา แล้วก็คายออก เป็นหลักธรรมชาติ จิตเป็นพลังงาน หายใจทีนึงเข้ามาไม่รู้เท่าไหร่ แล้วก็หายใจออกไป แต่มันจะมีพลังงานบางอัน จิตบางดวงที่มีวิบากสัมพันธ์กัน มีกำลังพอจะเกาะได้ เกาะแล้วเกาะเลย เอาเป็นว่าปกติก็มีวิญญาณตามหรือเกาะกันทุกคนเป็นปกติ พอถึงจุดนึงก็หลุดไป หรือที่ไม่หลุดก็สะสมอยู่ในกายของเรา

อันนี้คือไม่ได้เชิญ มาเอง ก็ยังมีใช่ป่ะ

แล้วกรณีที่เชิญมา หรือรับขันธ์มา หรือรับของมา

อันนี้เรียกว่า "ยินยอมอย่างเป็นทางการ" มันก็ไม่ออกซีคะ ก็อยู่กับเราไปเรื่อยๆ จะดีจะร้ายก็แล้วแต่วิบากของเราและของเขา

เคยสัมภาษณ์ผี ผีมันว่าล่องลอยอยู่ เห็นใครสว่างก็ตามเขาไป ได้จังหวะเกาะ ก็เกาะ มันไม่ใช่ว่าจะเกาะได้เลย ต้องตามก่อน แล้วสบช่อง ก็เกาะ ดังนั้นจะเกาะได้ ก็ต้องมีกรรมสัมพันธ์กันอีก ก็อยู่ที่ว่าดีหรือร้าย

แต่ถ้าเราเป็นผู้มีบุญ เป็นศิษย์มีครู มันก็ดีสำห
รับพวกเขา คือเกาะมาแล้วได้รับกุศลจากเรา ก็อิ่มเต็ม บ้างก็หลุดไป บ้างก็เปลี่ยนภพ

จากมึนๆ เป็นผีอยู่ มาอยู่กับเราได้กำลัง ก็สว่างขึ้น เกิดจำได้ขึ้นมา ก็ไปตามสัญญากรรมได้

ที่เล่ามานี่ก็สรุปว่า ถึงไม่ต้องไปอัญเชิญมา ก็มีอยู่แล้ว แล้วจะอัญเชิญมาทำไมให้เหนื่อย ก็เอาที่มีอยู่รอบตัวเรานี่แหละ แผ่เมตตาอุทิศกุศลบ่อยๆ เค้าก็สว่าง ก็เป็นญาติเรา เกื้อกูลกันเองแหละ
ถามเรื่องเปิดเสียงสวดมนต์ ก็อธิบายหลักการพื้นฐานตามหลักวิทยาศาสตร์ 

เสียงสวดมนต์มีพลังงานบวก กระแสมีกำลังหนาแน่น ถ้าเอาไปเปิดตรงไหน คลื่นที่แผ่ออกไป ก็จะไปเกื้อหนุนในบริเวณที่มีพลังงานน้อยกว่า ไหลไปเอง (แต่ไม่เหนือยเพราะเป็นเครื่่อง) เราก็ปั่นพลังงานไปให้ระบบ เปรียบได้ว่า พลังงานบวกนี้ก็ไปเพิ่มพลังให้กับบริเวณที่เป็นกลาง และไปทำให้บริเวณที่เป็นพลังงานลบ กลายเป็นกลาง แล้วถ้ากำลังมากพอ ก็จะกลายเป็นบวกตามมา

ถ้าเปิดเสียงสวดมนต์ เทวดาแห่กันมาฟัง (หาฟังยากนะสมัยนี้) เทวดาเป็นเทวดาได้ เพราะมีจิตกุศล ก็จัดเป็นพลังงานบวก กรูกันมา ก็ทำให้บริเวณนั้นเป็นบวกเข้าไปใหญ่

ถามว่าถ้ามีพลังงานลบ(ผี) อยู่ตรงนั้น มันเจอบวกเข้าไป ถ้ามันไม่ละลายลบให้เป็นกลาง แล้วก็ได้รับพลังงานบวกไปด้วย แปรสภาพไปเป็นบวกได้ (ผีสัมมาทิฐิ) 


แต่ถ้ามันเป้นพวกมิจฉา มันก็ต้องกระเด็นออกไปอยู่ที่อื่น เพราะกระแสมันทนพลังงานบวกจำนวนมากไม่ได้

 ถ้าขี้เกียจสวด ก็เปิดเสียงสวดมันเข้าไป เหมือนเปิดเครื่องฟอกอากาศ พระท่านก็ไม่เหนื่อย เทวดาก็ชอบ ผีดีๆ ก็ชอบ ผีไม่ดีก็อยู่ไม่ได้ เพราะมันแสลงใจ ถ้ามันไม่เอาธรรม มันก็ต้องไปอยู่ที่อื่น

มันไม่ใช่ -กันผี- หรือ -ไล่ผี- แบบในหนัง โปรดเข้าใจด้วยค่ะ

มันกันได้ ถ้าผีมันทนไม่ไหวมันก็ไป หรือเทวดาเยอะจริง ผีก็เข้าไม่ได้ ก็เหมือนไฮโซ ยืนกันตรึม โลโซจะกล้าเข้าไปรึ

คิดง่ายๆ เลย ผีก็คือคนที่ตายไปแล้ว คนเป็นยังไง ผีก็เป็นอย่างนั้นแหละ

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

พูด

๑.  เป็นนักพูดที่ดีและฟังเป็น  คือ  ไม่ใช่ฝึกพูดอย่างเดียวนะคะ  ต้องฝึกฟังด้วยต้องรู้ว่าเมื่อไรควรพูด เมื่อไรควรฟัง  การฟังผู้อื่นพูดทำให้เราได้รับความรู้เพิ่มขึ้น  หรือเป็นการทบทวนความรู้เดิมที่เรามีอยู่
๒.  ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอไม่หยุดยั้ง   นอกจากจะได้จากการฟังการสนทนากับผู้รู้ต่าง ๆ  การฟังข่าววิทยุ โทรทัศน์แล้ว  ความรู้ที่ได้จากการอ่านสำคัญที่สุด  เพราะเสนอวิธีตักตวงความรู้ที่รวดเร็วและรวบรัดที่สุด  นักพูดต้องรักการอ่าน  มิฉะนั้น  การพูดจะวนเวียนอยู่ที่เดิมจะไม่ไปไหน
๓.  ยอมรับฟังคำวิจารณ์  นักพูดต้องยอมรับฟังคำวิจารณ์จากผู้อื่น  ต้องต้อนรับทั้งคำติและชม  ไม่ใช่หลงใหลอยู่กับคำชมคำสรรเสริญเยินยอแต่ฝ่ายเดียว  ที่ไม่ให้อะไรมากไปกว่ายาหอมชะโลม  มีความสุขชั่วครู่ ชั่วยามเดี๋ยวก็ลืม  แต่คำติให้ข้อคิดกับเราไม่ว่าจะเป็นคำติเพื่อก่อ หรือทำลาย  เพื่อตั้งสติให้มั่นคง  นำมาพิจารณหา ข้อเท็จจริง  ให้รีบนำมาปรับปรุงแก้ไขตัวเองใหม่ ถ้าเขาไม่ติเรา แล้วเราจะรู้สึกถึงสัญญาภัยเหล่านี้ได้อย่างไร
๔.  เป็นตัวของตัวเอง  นักพูดต้องเป็นตัวของตัวเองอย่าเลียนแบบใคร  เพราะไม่สร้างสรรค์  ไม่ทำความเจริญให้แก่โลก  และไม่ทำความความภาคภูมิใจให้แก่ตัวเอง  เราจะเป็นยอดในสิ่งนั้นไม่ได้  เพราะในที่สุดของที่สุดเราจะพ่ายแพ้  คน ๆ หนึ่ง  คือ คนที่เราเลียนแบบเขานั่นเอง  ให้จับเอาตัวอย่างที่ดี  คำพูด  ข้อคิดที่ดีมาใช้  และต้องเอ่ยนามเขาด้วย  เพราะถือว่าเป็นมารยาทอันงดงาม  และยังสามารถถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ  เหล่านั้นได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่เคอะเขินอีกด้วย
๕.  มีความสุขในการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้อื่น  คนที่หลงความรู้นอกจากทำให้โลกไม่เจริญแล้ว  ตัวเองก็ยังทำให้เจริญไม่ได้ด้วยเพราะถ้าเราปิดบังไม่ยอมถ่ายทอดหรือถ่ายทอดไม่หมด  เก็บไว้หากินวันหลังบ้างทำนองนี้  เราก็จะไม่ขวยขวายค้นคว้าหาความรู้ใหม่ในที่สุดความรู้ก็เท่าเดิมไม่พัฒนาขึ้น แต่ให้ถือว่าการพูดทุกครั้งเป็นโอกาสดี ที่เราจะได้ทำประโยชน์  เป็นเกียรติยศที่ผู้ฟังหยิบยื่นให้แก่เรา  ความคิดเช่นนี้เป็นความสุขที่มองไม่เห็น เป็นความภาคภูมิใจที่ซ่อนเร้น  ซึ่งจะบันดาลให้การพูดเป็นประกอยเฉิดฉาย  มีพลังมีศรัทธและมีหัวใจที่ทุ่มเทให้กับการพูดทุกครั้ง


http://7meditation.blogspot.com/2012/01/43.html

1.เป็นคำพูดที่แสดงถูกกาล กล่าวคือ เป็นคำพูดที่พูดถูกจังหวะ ถูกเวลา ถูกสถานที่ 
1.1.การพูดถูกจังหวะ คนมักชอบ ดังคำที่เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า “ พูดมากก็มากเรื่อง พูดน้อยก็พลอยเคียง ไม่พูดก็ไม่รู้เรื่อง แต่การพูดผิดจังหวะคนมักชัง ตัวอย่าง ในการสนทนากัน  บางคน พูดไม่ถูกจังหวะ เขาพูดยังไม่จบรีบพูดแทรกในขณะที่คนอื่นพูดไม่จบ การพูดที่ผิดจังหวะนี้เมื่อทำบ่อยๆ คนที่สนทนาด้วยก็มักจะไม่ชอบ แต่เขามักจะชัง
1.2.การพูดถูกเวลา คนมักชอบ แต่การพูดผิดเวลาคนมักชัง ดังนั้น ในบางกรณี ก่อนที่เราจะพูด เราควรถามอีกฝ่ายหนึ่งก่อนว่า  “ ขอโทษครับ ผมขอเวลาปรึกษาเรื่อง...ไม่ทราบว่าคุณจะพอมีเวลาว่างให้ผมไหมครับ ”
1.3.การพูดถูกสถานที่ การพูดเรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรนำไปพูดในบางสถานที่ เช่น เขากำลังทำพิธีสวดศพอยู่ เราดันไปพูดเรื่องตลก หัวเราะชอบใจในงานศพ เมื่อเจ้าภาพเห็นเขาอาจ ไม่รู้สึกสนุกเหมือนเราสนุกก็เป็นได้
2.น้ำเสียงสอดคล้องกับเรื่องที่พูด  น้ำเสียงมีความสำคัญต่อเรื่องที่พูด มีคนเคยกล่าวว่า “ ภาษาสื่อถึงความหมาย
แต่น้ำเสียงก่อให้เกิดความหวั่นไหวในใจ ” คำพูดดังกล่าวมีความเป็นจริงมากอยู่ทีเดียว เช่น เรากล่าวแสดงความเสียใจในการจากไปของบิดาของเพื่อนสนิท แต่เรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น ดีใจ ชอบใจ เพื่อนจะมีความรู้สึกเช่นไร ถึงแม้เราจะใช้ภาษาที่บอกว่าเราเสียใจนะ แต่น้ำเสียงเราไม่สอดคล้องกัน อาจทำให้เพื่อนเรา ชังเราได้
                3.มีอารมณ์ขันบ้าง การพูดที่ทำให้คนชื่นชอบ มักเป็นคำพูดที่ทำให้คนหัวเราะ ดังนั้น หากผู้พูดท่านใดเป็นนักสะสมอารมณ์ขัน หรือ เรื่องราวที่สนุกๆ คนมักจะชื่นชอบ อีกทั้งทำให้มีเพื่อนมาก คนอยากรู้จัก แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ ผู้พูดควรต้องรู้จักวิเคราะห์ เนื้อหาในข้อที่ 1 เพิ่มด้วย คือ ควรใช้อารมณ์ขันให้ถูกกาล (ถูกจังหวะ ถูกเวลาและถูกสถานที่)ด้วย
                4. พูดให้เนื้อหามีความชัดเจน ชวนติดตาม ผู้พูดที่ผู้ฟังชื่นชอบ มักพูดเนื้อหาให้มีความชัดเจน อีกทั้งยังทำให้เกิดการติดตาม มีการจัดลำดับในการพูดเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ผู้ฟังไม่สับสน มีการพูดเรื่องที่ใกล้ตัวผู้ฟัง ผู้ฟังจึงสนใจที่อยากจะฟัง
                5.ภาษาที่มีความเหมาะสมกับเรื่องและผู้ฟัง  ไม่ใช้ภาษาต่างประเทศมากจนเกินไปหากพูดกับผู้ฟังที่เขาไม่มีความรู้ในภาษานั้น หรือ คำศัพท์ในวงการนั้นๆ  ไม่ควรมีคำฟุ่มเฟือย คำแสลง มากจนเกินไป  หลีกเลี่ยงการระบุชื่อ หากสื่อถึงผู้นั้นในทางที่เสียหาย เพราะอาจทำให้เกิดโทษมากกว่า ประโยชน์ บางครั้ง ผู้พูด ใช้คำพูดที่ระบุถึง ความเสียหายของบุคคลโดยระบุชื่อ ก็อาจจะถึงกับขึ้นโรง ขึ้นศาลไปเลยก็มีมาแล้ว เพราะอาจโดนผู้ที่เสียหายฟ้องหมิ่นประมาทได้
                6.การให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม การพูดโดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน หากผู้พูดเปิดโอกาสให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมก็จะทำให้ผู้ฟัง มีความสุขที่ได้แสดงความคิดเห็นของตนเอง ดังนั้น ผู้พูด เมื่อพูดไป ก็ควรตั้งคำถามให้ผู้ฟังตอบหรือขอให้ผู้ฟังแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าวที่ผู้พูดพูด เพราะผู้ฟังอาจจะไม่สนใจในสิ่งที่ผู้พูด พูดเลย หากผู้พูดไม่ให้ความใส่ใจในตัวผู้ฟัง
                การพูดที่พูดถูกกาล , การใช้น้ำเสียง ,การใช้อารมณ์ขัน , การพูดให้เกิดความชัดเจน , การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมและการให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม ในการพูด จึงเป็นสิ่งที่ผู้พูดที่ฉลาดควรกระทำกัน

http://www.oknation.net/blog/markandtony/2012/01/16/entry-5

นิทานวันนี้สอนให้รู้ว่า

สัญญาณเตือนแห่งความขาดสติแม้เพียงเล็กน้อยก็ฟังเถิด อย่าคิดว่าเรื่องเล็กน้อย "แค่นี้" จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไม่ได้

สติจำเป็นในที่ทุกสถาน ในการทุกเมื่อ เราไม่คิดมาก อย่าเข้าใจว่าคนอื่นคิดน้อย

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ขั้นตอนและคำศัพท์ทีเ่กี่ยวข้อง

ขั้นตอนหลัก
  1. หาคอนโดที่จะซื้อ ตกลงราคา ทำสัญญาจะซื้อจะขาย
  2. นำสัญญาจะซื้อจะขายไปหากู้แบงก์
  3. ทำสัญญากู้เงินที่แบงก์
เงินที่เกี่ยวข้อง
  1. ค่าจอง = จองว่าจะเอาแน่ๆ
    มักอยู่ที่ 1 - 5 หมื่น หรือ 1-2% ของราคาคอนโด
    จะมีสิ่งที่เรียกว่า "สัญญาจะซื้อจะขาย" หรือ "สัญญาจอง" ซึ่งถ้าสัญญานี้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขาย หากเราขายใบจอง จะต้องเปลี่ยนชื่อในสัญญา การเปลี่ยนชื่อในสัญญาอาจมี/ไม่มีค่าใช้จ่าย แล้วแต่ที่ตกลงกันในสัญญา
    ทีนี้หากจองแล้ว ไม่เอา ผลคือ 
    1. ) ริบเงินจอง เฉยๆ หรือ
    2. ) ต้องยอมเสียเงินดาวน์ด้วย
  2. เงินดาวน์ = เงินที่จ่ายก่อนคอนโดจะสร้างเสร็จ อาจจ่ายเป็นก้อนหรือเป็นงวด
    มักอยู่ที่ 10-15% ของราคาคอนโด เช่น คอนโด 2 ล้าน ก็ดาวน์ 2 แสน
    ถ้าผ่อนดาวน์ต่อเดือนต่ำระวังค่า "เทดาวน์" คือ พอคอนโดเสร็จปุ๊บ รวบจ่ายก้อนเดียว ซึ่งถ้าคอนโดเสร็จก่อนกำหนด อาจหมายถึงอยู่ๆ อาจจะมีค่าใช้จ่ายเป็นเงินก้อนโผล่ขึ้นมา ต้องดูในสัญญาดีๆ
  3. เงินโอน = เงินที่ต้องจ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ หลังจากหักจากเงินดาวน์  คือ คอนโดสร้างเสร็จแล้ว ตรวจรับเรียบร้อย ได้เวลาจ่ายตังค์ เป็นเงินก้อนใหญ่สุดเป็นเงินที่เราจะกู้ธนาคาร เช่น คอนโด 2 ล้าน ดาวน์ 2 แสน เหลืออีก 1.8 ล้าน ที่เราต้องไปกู้
  4. เงินจิปาถะ เช่น ค่าจดจำนอง ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าส่วนกลางล่วงหน้า ค่ามิเตอร์น้ำไฟ
    จ่ายในวันโอน หลายตังเหมือนกัน
    สำหรับมือสองอาจะมีพวกนี้โผล่มา เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, ภาษีธุรกิจเฉพาะ, ค่าอากรสแตมป์ ค่าโอน (2% ราคาประเมินจากกรมธนารักษ์) ค่าจดจำนอง (1% ของจำนวนเงินที่กู้จากธนาคาร) อื่นๆ เช่น ค่าคำขอ ค่ามอบอำนาจ ค่าพยาน มีเว็บคำนวณค่าโอนโดยเฉพาะ http://lookbaan.com/

    เว็บประเมินราคาอสังหา http://www.tgis-pv.treasury.go.th/index.php/view?lang=thai
สมมติจะกู้ 1.8 ล้าน ธนาคารกู้ผ่าน ถึงวันโอน ธนาคารจะไปจ่ายตังค์ให้เจ้าของโครงการ เราไม่ต้องยุ่งเขาไปเคลียร์กันเอง กรรมสิทธิ์จะโอนมาเป็นชื่อเรา เราก็มาเป็นลูกหนี้ธนาคารแทน

เงินที่เราต้องจ่ายธนาคาร = 1.8 ล้าน + ดอกเบี้ย (แต่ละปีไม่เท่ากัน) + ประกันชีวิต

กรรมสิทธิ์เป็นของเรา แต่ถูกจดจำนองไว้กับธนาคาร (จำนอง คือเหมือนกับ คอนโดเราเนี่ยเป็นหลักประกันว่าเราจะใช้หนี้นะ ไม่งั้นยึด)

  1. คิดว่าจะยื่นกู้ยอดเงินโอนเนี่ยไหวมั้ย ถ้าไหวลุยเลย
  2. ไปคอนโด เลือกห้อง เลือกชั้น ถามราคา ขอใบเสนอราคา ศึกษารายละเอียด ต้องดาวน์เท่าไร ผ่อนกี่งวด งวดละเท่าไร ต้องเทดาวน์มั้ย เทเท่าไร ค่าโอน ค่ามิเตอร์ ค่าส่วนกลาง ขอแบบเป็นลายลักษณ์อักษร
  3. ถ้าโอเคก็จ่ายค่าจองวันนั้นเลย 1 หมื่น 2 หมื่นว่ากันไป แล้วรอ
  4. อีกประมาณ 1-2 อาทิตย์ เขาโทรมานัดเราไปทำสัญญา
  5. วันทำสัญญา อาจมีจ่ายนิดหน่อย อ่านรายละเอียด อย่างน้อยต้องระบุว่าถ้าสร้างเสร็จช้า เขาต้องจ่ายเงินให้เราร้อยละเท่าไร
  6. ทำ statement ให้สวยๆ รอคอนโดเสร็จ พอคอนโดใกล้เสร็จทางคนขายจะโทรหา แจ้งนัดวันโอน ก่อนหน้าวันโอนสัก 1-2 เดือน ก็ไปยื่นกู้ เลือกธนาคารดีๆ ดอกถูก โปรเยอะ
  7. วันโอน เจอนัดทางผุ้ขาย จนท.ธนาคาร เจอกันกรมที่ดิน ณ เขตที่คอนโดตั้งอยู่ (เอกสารที่ต้องเอาไป ทะเบียนบ้าน บัตรปชช. อย่างอื่นธนาคารเตรียมให้ ฝั่งผู้ขายถ้าเป็นมือสองก็ต้องมีใบปลอดหนี้ ทำการโอน ทำการจดจำนอง ก็จะได้
    1. ) "สัญญาซื้อขาย" จากกรมที่ดิน
    2. ) ธนาคารจ่ายเช็คให้ผู้ขาย
    3. ) ผู้ซื้อได้รับ ทะเบียนบ้าน 
    4. ) ผู้ซื้อจดจำนองเป็นลูกหนี้ธนาคาร
  8. จากนั้นก็ผ่อนกับธนาคาร จะโปะ จะปิด จะรีไฟแนนซ์ อ่านดูในสัญญา
  9. อื่นๆ ไปเปลี่ยนชื่อที่การไฟฟ้านครหลวง เอาทะเบียนบ้าน บัตรปชช. เลขมิเตอร์ไป (ถ้ามีก็ง่าย ไม่มีไม่เป็นไร) จ่ายเงินค่ามัดจำมิเตอร์ 2,000 บาท

การรีไฟแนนซ์ = การเปลี่ยนเจ้าหนี้ เนื่องจากดอกปีหลังๆ แพงกว่าปีแรกๆ จึงกู้แบงก์หนึ่งมาโปะอีกแบงก์หนึ่ง

รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง คือ 
  1. ในสัญญาเงินกู้ อาจจะระบุว่า "ไม่สามารถ refinance ก่อน 3ปี หรือ 5ปี ไม่งั้นเจอดอกพิเศษอ่วม
  2. เมื่อถึงตอนนั้น ธนาคารเดิม อาจเสนอดอกเบี้ยใหม่ที่ถูกกว่าการ รีไฟแนนซ์
  3. หากเกิดปัญหาเศรษฐกิจ ดอกอาจจะสูงมากจนไม่คุ้มจะรีไฟแนนซ์ก็เป็นได้

เกี่ยวกับสัญญา
  • ถ้าเป็นมือสอง ให้ระบุให้หมดว่าใครจ่ายอะไร จ่ายเท่าไร ทั้งหมดหรือคนละครึ่ง 
  • สัญญาจะซื้อจะขาย 3 ฉบับ ที่เขา ที่เรา ที่ธนาคารที่จะกู้
  • สำหรับมือสองฝั่งผู้ขายต้องมี "ใบปลอดหนี้" ที่ออกโดยเจ้าของโครงการหรืออาคารชุด บอกว่าผู้ขายไม่มีค้างชำระค่าน้ำไฟ ส่วนกลาง บลาๆ (ใบนี้มีอายุ 7 วัน นั่นคือ หลังจากกู้แบงก์ผ่าน ก็ติดต่อผู้ขายให้ไปทำใบดังกล่าว แปลว่าก็โอนกันภายใน 7 วันนี้แหละ)



วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ข้อมูล ไอเดีย


  • ชานหรือระเบียง
  • ที่นอนมองเห็นท้องฟ้า
  • พื้นที่แยกเก็บของ
  • ห้องนอนผู้สูงอายุชั้นล่าง
  • ห้องน้ำผู้สูงอายุ
  • texture กันลื่น
  • ทางลาดประตูบ้าน
  • ทางเข้าประตูกว้าง 90 cm ขึ้นไปไม่มีธรณีประตู ทุกจุด ทั้งรอยต่อห้องต่างๆ
  • พื้นไวนิลรองรับแรงกระแทก ไม่เก็บกักฝุ่น
  • ห้องน้ำใช้กระเบื้องกันลื่น
  • ทำเป็นร่องกันน้ำแทนธรณี (สำหรับห้องน้ำ)
  • ราวจับส่วนสุขภัณฑ์และส่วนอาบน้ำ
  • มีพื้นที่ทำงาน 
  • มีพื้นที่เก็บของ
  • สีผนังเช็ดล้างได้
  • มู่ลี่แทนม่าน
  • ยกระดับพื้นเพื่อแยกฟังชั้น เช่น นอนพื้น โต๊ะหัวเตียง
  • ประตู
    • ประตูหน้าบ้าน ต้องแข็งแรง เปิดกว้างหน่อย 
    • ประตูห้องเก็บของนานๆ เปิดที มันก็ควรจะระบายอากาศได้ 
    • ประตูห้องนอนเก็บเสียงหน่อย ปิดซีลสนิท
    • ประตูห้องครัวอย่าทำเป็นบานทึบ โอกาสคนกำลังถือของร้อนอยู่เปิดไปชน
  • No. หัวข้อ ใช่ ไม่ใช่ แก้ไขได้/ไม่ได้
    ทางเข้าบ้านราบเรียบ
    พื้นไม่ลื่น 
    พื้นมีความยืดหยุ่น
    ไม่มีธรณีประตู
    ที่เปิดประตูแบบก้าน
    ไม่มีพื้นต่างระดับภายในชั้น
    ประตูกว้างกว่า 90 cm
    มีพื้นที่ทำห้องนอนชั้นล่าง
    มีห้องน้ำในห้องนอนชั้นล่าง
    ไม่มีธรณีประตูห้องน้ำ
    มีที่ทำประตูเลื่อนห้องน้ำ
    โถงบันไดมีช่องแสง
    บันไดไม่เป็น 3 เหลี่ยม
    ราวจับถนัดมือ