ผูกหนึ่ง ความสุข
ชุดโคลงถูกผูกขึ้น มาสาม
ความสุข
ความทุกข์ ความ- ว่างไว้
อิงแนวอัตถ์ลงตาม สัตถุ-
ศาสน์แฮ
ถูกอรรถผิดพยัญชน์ไท้ อ่านแล้วจงลืม
ยอจิตอภิวาทน้อม พุทธองค์
นมัสวรธรรมทรง ตรัสรู้
นมามิพระสงฆ์ พหูสูต
จงนิวรณ์อย่าสู้ อุดอั้นปัญญา
ตถาคตภาษิตชี้ เวทนา
สุข
ทุกข์ อุเบกขา หนึ่งนั้น
จักบังเกิดทุกครา ผัสสะ
เป็นภพเป็นกรรมกั้น สัตว์ไว้ในวน
ผัสสะเกิดเมื่อพร้อม ปัจจัย
อายตนะนอก
ใน จิตด้วย
ครบสามกระทบไป เป็นกฏ
ตราบชาติจนชีพม้วย กลับฟื้นคืนเวียน
ณ
คราวลอยน้ำคร่ำ นานเดือน
สายรกยึดโยงเรือน- ร่างวุ้น
ลำเลียงธาตุมาเตือน นามรูป เกิดนา
หูเปิดเสียงกระตุ้น สุขคุ้นมารดา
เปิดตาดูโลกครั้ง ยังเยาว์
สุขรูปคือมาตุเรา ท่านยิ้ม
โอบสัมผัสหนักเบา ถนอมเห่
กล่อมแฮ
หอมอร่อยเกษียรลิ้ม อิ่มพริ้มมโนนอน
เพลินหลงจนใหญ่เข้า
วัยฉกรรจ์
เบญจกามคุณพันธ์ สุขข้อง
ตาจักฉุดอาตมัน หารูป
งามแล
รูปไม่งามเนตรต้อง ติล้วนชวนแขยง
กายหูจมูกลิ้น เหมือนตา
เพราะบ่มเพาะกันมา เยี่ยงนั้น
จักฉุดวิจิตรอา- รมณ์สู่
กันแฮ
อึดอัดอยากหลีกครั้น เมื่อพ้องอจิตรา
กลางคนจนเสพรู้ สัจธรรม
สุขจากเครื่องล่องำ สัตว์ไว้
วินิบาตนรกจำ ทุคติ
อบายเอย
สุขปราศเครื่องล่อไซร้ อาจเปลื้องภพลง
สติปัฏฐานสี่นี้ กุศลกอง
กำจัดอกุศลผอง
ทิศแล้ว
รู้กายเท่ากับครอง อุเบก-ขาแล
เป็นอยู่อนามิสแพร้ว
บทแผ้วสุญญตา.
ผูกสอง
ความทุกข์
ทุกข์คือทนได้ยาก จำปลง
สรรพเกิดย่อมตายลง สุดแก้
ทั้งจิต
รูป นามผจง คงนิ- โรธแฮ
เพราะเกิดจึงดับแล้ แน่แท้ธรรมดา
ทุกข์เพราะรูปแก่เข้า วัยชรา
ความเสื่อมของหูตา จมูกลิ้น
ผิวกายย่นยวบปรา- กฏอยู่
อาพาธก็รุมดิ้น ไม่พ้นกลไก
ทุกข์เพราะตายบีบคั้น เกินทน
จะยากดีมีจน สุดลี้
ทุกภพที่มีตน ยึดอยู่
สุคติทุคตินี้ ต่างล้วนกลัวตาย
ยามสุขไม่เที่ยงแล้ว ดับลง
ความดับคือทุกข์ตรง
สภาพนั้น
ทุกข์อีกอื่นธำรง โสกะ โศกแล
สุดปริเทวะกลั้น ร่ำไห้โพยพาย
เพราะโทมนัสขัดแค้น เสียดาย
ความอิ่มเอิบใจกาย เปลี่ยนขั้ว
ปรวนแปรเสื่อมคลอนคลาย โดยสม่ำ เสมอนา
เป็นอุปายาสกลั้ว เหี่ยวแห้งขัดเคือง
การพลัดพรากสิ่งต้อง- ใจรัก
ปิยวิปโยคชัก ทุกข์กล้า
สัมปโยคอัปรีย์ดัก จิตตก นรกแฮ
เพราะสบของเกลียดอ้า โกรธขึ้นในทรวง
ปรารถนาใดไม่ได้ ครองมา
คืออิจฉาวิฆา- ตะช้ำ
เป็นทุกข์ที่นานา ภพประ- สบแฮ
รวมทุกข์ทุกแบบกล้ำ ตอกย้ำอัตตา
สรุปสังเขปแล้ว
ทุกข์คือ
ความอุปาทานถือ มั่นไว้
ในปัญจขันธ์ฤๅ รูป เวท- นาแล
สัญญะ
สังขารไหม้ จิตด้วยยางตัณห์
เวทนาทุกอย่างล้วน รวมลง
ในทุกขสัจจ์ยง ยั่งพื้น
สุข
ทุกข์ อุเบกข์ปลง ลงทุกข์ ยืนแล
เพราะเกิดจึงดับฟื้น ดับฟื้นโดยกรรม
สุข
ทุกข์ กรรมไม่ได้ ลอยลอย
เกิดเอย
มิใช่ตนเองคอย เกิดให้
หรือคนอื่นมาพลอย ทำยิ่ง เท็จนา
เกิดเพราะผัสสะไสร้ เพ่งเฝ้าตามดู.
ผูกสาม
ความว่าง
นิยามความว่างด้วย วรธรรม
ธ
กล่าวสุญญตากำ- หนดต้อง
สัมมาสมาธินำ ในจิต
ฌานหนึ่งสองสามคล้อง สี่พ้องวิญญาณ
วิญญาณคือจิตนั้น คือมโน
สุดแต่เรียกในโอ- กาสอ้าง
วิชานาติก็โบ- ราณเรียก
แปลว่าความรู้กว้าง แจ่มแจ้งอารมณ์
อารมณ์คือรูปทั้ง เวทนา
สัญญะ
สังขารา สี่ข้อง
รวมจิตเรียก"ปัญจา- ขันธ์"ที่ ยึดแล
"สิ่งหนึ่ง"หลงขันธ์ต้อง เรียกเจ้า"สัตตา"
สัตตาปางอยากพ้น สงสาร
ฟังสุตตะในวาร ชอบแล้ว
ทำมนสิการ จิตมุ่ง มรรคแฮ
วิมุตติสุญญัตแก้ว เริ่มต้นโดยฌาน
ฌานคือการเพ่งด้วย สติชอบ
จนเกิดสมาธิรอบ สี่ขั้น
วิตก
วิจารกอปร ปีติ สุขนา
เอกัคคตาดั้น สลับรู้เบญจางค์
ฌานหนึ่งว่างชั่วกลั้ว ในใจ
ความคิดอกุศลไป หมดห้วน
กาม
พยาบาทละใน การเพ่ง
ความคิดเบียดเบียนด้วน ตริล้วนมวลธรรม
ฌานสองว่างตรึกทั้ง วิตก
และวิจารก็ยก ออกได้
เหลือปีติ
สุขปรก ในจิต
เอกัคคตาให้ สลับรู้ไตรยางค์
ฌานสามว่างจิตพ้น ปีติ
เหลือสุขในสมาธิ แวดล้อม
เป็นสุขเสพมากมิ ควรหวั่น- เกรงนา
เอกัคคตาน้อม สลับรู้ทวิยางค์
ฌานสี่ว่างสุขรู้ วิเวก
ทรงอุเบกขาเอก- อัคคต์เบ้า
ไม่สุขไม่ทุกข์เฉก อุเปก- ขาแล
จิตเกาะรูปปราณเข้า ออกนี้อารมณ์
ในฌานทั้งสี่นั้น ตามดู
ขันธ์สี่และจิตตู เกิดม้วย
เกิดดับเกิดดับพรู จนเบื่อ คลายแฮ
ความว่างจักโพลงด้วย สัจจ์ข้ออนัตตา.
ศราพก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น