อ่ะลอง พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ สักห้าครั้ง
มันจะไปโกรธใครได้มั้ย ใจมันก็ปกติเห็นมั้ย ถ้าเราไม่ทำสมาธิด้วยความโลภ
ลองคิดถึงชื่อนายก, ชื่อพี่นายก, พุทโธๆๆ ห้าครั้ง เห็นมันหายไปไหม เห็นมันดับไปไหม
แต่ละวันเรารับข้อมูลข่าวสารตั้งเท่าไร
ตากระทบรูป หูกระทบเสียง เก็บเอามาเป็นความจำ
จากความจำก็เอามาคิด
จำมาตั้งแต่เด็ก คิดมาตั้งแต่เด็ก แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดทั้งชาติมั้ย?
มันก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นั่นแหละ
หลีกหนีไปไหนได้ไหม?
ไม่ได้หรอก
แล้วเอาความจำมาคิดๆ อะไรเกิดขึ้น?
เกิดความชอบไม่ชอบ
สลับวนเวียนกันอยู่อย่างนี้
เราจะต้องสั่นไหวไปกับความกระเพื่อมขึ้นลงอย่างนี้ไปทั้งชาติหรือ
การภาวนาก็เลยทำไปเพื่อให้รู้ว่าไอ้ที่เป็นอย่างนี้มันมีเหตุนะ
มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นนะ
เมื่อเห็นใหม่ จำใหม่ ก็คิดใหม่ ไอ้ชอบไม่ชอบมันก็เปลี่ยนแปลงไป
เป็นการเข้ามาเรียนรู้ก่อน เข้ามาเตรียมพร้อม
ว่าถ้าหากเราไปเห็นอะไร เราจะได้ระลึกได้ว่ามันเป็นอะไร
เรียกว่ามันเกิดสติขึ้น
อย่างเราคิดดี อารมณ์เราก็ดี หน้าตาเราก็ดี
คิดไม่ดี หน้าตาก็ดูไม่ได้ อารมณ์ก็ไม่ดี
กลับกัน ตอนนี้อารมณ์ไม่ดี ก็สาวไปหาเหตุได้ว่า อ่อ ก็คิดไม่ดีอยู่น่ะสิ
ตอนนี้อารมณ์ดีแจ่มใสเบิกบาน ก็สาวไปถึงเหตุได้ว่า อ่อ เพราะมันคิดดีอยู่นั่นเอง
มันเชื่อมเหตุเชื่อมผลได้เช่นนี้บ่อยๆ ก็จะเกิดเป็นความจำที่ถูก
หาเหตุหาผลที่มาที่ไป ไอ้สิ่งอะไรที่มันส่วนเกินไม่จำเป็นเช่นความโกรธอะไรนี้มันจะสลัดทิ้งไปอัตโนมัติ
เพราะไม่รู้จะทำไปทำอะไร
หลวงพ่อชวนคนอธิษฐานไม่โกรธตลอดชีวิต
ไอ้การอธิษฐานนี่มันประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบนะ
- อย่างแรกคือปัญญา คือมันเห็นประโยชน์ของความไม่โกรธ และมันเห็นโทษของความโกรธ มันจึงรู้ว่าอะไรที่ควรทำ อะไรที่ไม่ควรทำ
- อย่างที่สองคือ สัจจะ เมื่อเห็นอย่างนั้นจึงตั้งใจเอาไว้ว่า จะไม่โกรธนะ
- อย่างที่สามคือ จาคะ แต่ถ้าเผลอโกรธ หงุดหงิดขึ้นมา ก็จะรีบสละทิ้งทันที ไม่เก็บเอาไว้ ให้รำคาญใจ
- อย่างที่สี่คือ อุปสมะ นั่นคือ เพียรรักษาใจอันปกติที่ไม่โกรธเอาไว้
ไม่เกี่ยวกับว่าเราเป็นหรือไม่เป็นนะ แค่ลองคิดแบบท่าน ลองดูสักสามเดือนก็จะรู้ว่าชีวิตเปลี่ยนมหาศาล
พระโสดาบัณเขาคิดอย่างนี้นะ
- เขาคิดแบบเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และ
- เขาไม่คิดว่าความทุกข์นั้นเกิดจากผู้อื่นทำ (รวมทั้งไม่คิดว่าเกิดจากเราทำเอง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น