กิเลสมีกำลังมากน้อยนี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ !!!
การมาสนใจกิเลสยิบย่อย
เหมือนมาคอยนั่งลิดใบของต้นไม้
แล้วสักพักก็งอกใหม่
ประเด็นของสติปัฏฐานคือ ขุดรากถอนโคน
ฉะนั้นอาจจะลิดใบบ้างอะไรบ้าง แต่ไม่ใช่จุดสนใจเป็นพิเศษ
ตัณหาเบา - แรง ไม่ได้ดูตรงมันเกิดแรงหรือไม่แรง
เขาดูที่ เข้าใจว่ามันเป็นทุกข์หรือไม่
ถ้าไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ถือว่ายังมีตัณหาอยู่ (ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีตัณหาก็ตาม !!! )
เข้าใจไหมว่าสิ่งนั้นมันไม่เที่ยง
ถ้าไม่เข้าใจ ถือว่าตัณหานั้น "ยังแรงอยู่" (ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีตัณหาก็ตาม)
เช่น ลูกตาของเรา
ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรเลย เฉยมาก
แต่ "ถ้ายังไม่ได้เห็นว่าลูกตานี้มันเป็นของไม่เที่ยง
ลูกตานี้มันเป็นของเป็นทุกข์
ยังไม่รู้จักว่าลูกตานั้นเป็นของที่จะผุพังเป็นธรรมดา"
ถือว่า "ตัณหาในลูกตายังแรงอยู่"
แม้ว่าตอนนี้จะแทบไม่ได้นึกถึงลูกตาเลยก็ตาม
คือสติปัฏฐานจะให้มองลึกลงไปถึงหัวเชื้อ ต้นตอตัณหาเลย
คือถ้ายังไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นทุกข์
แสดงว่ายังมีความติดในสิ่งนั้นอยู่
สติปัฏฐานจะไม่มารอดูว่ามีกิเลสเกิดมั้ย
แต่จะยังดูว่า "มีกิเลสอยู่ไหม"
มีกิเลสอยู่ ไม่แปลว่า กิเลสเกิดนะ
มีกิเลสอยู่ แปลว่า เงื่อนไขของกิเลสยังอยู่
การลดลงของตัณหา
จึงดูที่การเจริญขึ้นของมรรค
ถ้าความเข้าใจมากขึ้น ตัณหาก็ลดลงนั่นเอง
สรุปคือวัดที่การเห็นทุกข์
ไม่ได้วัดที่ตัณหาไม่เกิดในสิ่งนั้นๆ
สรุปคือวัดที่การเห็นทุกข์
ไม่ได้วัดที่ตัณหาไม่เกิดในสิ่งนั้นๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น