วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ตัณหาลดลงดูอย่างไร

กำลังของตัณหานี่
กิเลสมีกำลังมากน้อยนี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ !!!

การมาสนใจกิเลสยิบย่อย
เหมือนมาคอยนั่งลิดใบของต้นไม้
แล้วสักพักก็งอกใหม่

ประเด็นของสติปัฏฐานคือ ขุดรากถอนโคน
ฉะนั้นอาจจะลิดใบบ้างอะไรบ้าง แต่ไม่ใช่จุดสนใจเป็นพิเศษ

ตัณหาเบา - แรง ไม่ได้ดูตรงมันเกิดแรงหรือไม่แรง
เขาดูที่ เข้าใจว่ามันเป็นทุกข์หรือไม่

ถ้าไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ถือว่ายังมีตัณหาอยู่ (ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีตัณหาก็ตาม !!! )


เข้าใจไหมว่าสิ่งนั้นมันไม่เที่ยง

ถ้าไม่เข้าใจ ถือว่าตัณหานั้น "ยังแรงอยู่" (ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีตัณหาก็ตาม)

เช่น ลูกตาของเรา
ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรเลย เฉยมาก
แต่ "ถ้ายังไม่ได้เห็นว่าลูกตานี้มันเป็นของไม่เที่ยง 
ลูกตานี้มันเป็นของเป็นทุกข์
ยังไม่รู้จักว่าลูกตานั้นเป็นของที่จะผุพังเป็นธรรมดา"
ถือว่า "ตัณหาในลูกตายังแรงอยู่" 
แม้ว่าตอนนี้จะแทบไม่ได้นึกถึงลูกตาเลยก็ตาม

คือสติปัฏฐานจะให้มองลึกลงไปถึงหัวเชื้อ ต้นตอตัณหาเลย
คือถ้ายังไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นทุกข์
แสดงว่ายังมีความติดในสิ่งนั้นอยู่

สติปัฏฐานจะไม่มารอดูว่ามีกิเลสเกิดมั้ย
แต่จะยังดูว่า "มีกิเลสอยู่ไหม"

มีกิเลสอยู่ ไม่แปลว่า กิเลสเกิดนะ
มีกิเลสอยู่ แปลว่า เงื่อนไขของกิเลสยังอยู่

การลดลงของตัณหา
จึงดูที่การเจริญขึ้นของมรรค
ถ้าความเข้าใจมากขึ้น ตัณหาก็ลดลงนั่นเอง

สรุปคือวัดที่การเห็นทุกข์
ไม่ได้วัดที่ตัณหาไม่เกิดในสิ่งนั้นๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น