ในปฏิจจสมุปบาทหมายเอา นามและรูป ที่เกิดจากวิญญานเป็นปัจจัย
นาม ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
ไม่ใช่เวทนาทั่วไป ไม่ใช่สัญญาทั่วไป ไม่ใช่สังขารทั่วไป
เฉพาะนามขันธ์สาม ที่เกิดจากวิญญานเป็นปัจจัยเท่านั้น หมายเอาในที่นี้ ไม่รวมวิญญานขันธ์ด้วย เพราะกล่าวไปแล้ว
การพูดถึงองค์ธรรมปฏิจจสมุปบาท จะไม่พูดลอยๆ จะพูดเป็นปฏิจจสมุปปันธรรม เช่น นาม จะไม่พูดนามเฉยๆ จะพูดว่านามที่เกิดจากวิญญานเป็นปัจจัย
ถ้าพูดลอยๆ มันจะงง
จะพูดเป็นเงื่อนไข ถ้าเงื่อนไขมันบังคับมา มันก็จะไม่สงสัย
---
รูป ในปฏิจจสมุปบาท
ก็หมายเอาเฉพาะรูปที่มาจากวิญญาน ไม่ได้รวมถึงรูปที่มาจากอาหาร มาจากอื่นๆ
อย่างรูปที่กินแล้วอ้วนนี่อันนี้ทำมา เหมือนจะมีอำนาจควบคุม แต่ไม่ใช่รูปในปฏิจจสมุปบาท
รูปในปฏิจจสมุปบาทมันถูกล็อคมาแล้ว เราไม่มีอำนาจอะไรเลย เหมือน ชาติแล้วต้องแก่ ต้องตาย อันนี้ทำอะไรไม่ได้เลย
อันนี้ถึงจะเป็นหลักพิจารณาที่ทำให้ความมีตัวตนหายหมด (ตรงที่มันทำอะไรไม่ได้ ไม่มีตรงไหนที่คุมได้) ทุกอย่างมาจากอำนาจปัจจัย
รูปในปฏิจจสมุปบาทจึงไม่พิจารณารูปที่เหมือนจะควบคุมได้ เช่น ยื่นแขนออกไป จิตคิด ก็ดันยื่นออกไปได้เสียด้วย แต่เขาพิจารณารูปจากวิญญานวิบาก เกิดจากกรรม หนีไม่ ออก
ไม่ได้พิจารณาทุกรูป มันจะไม่ล็อคเป้า
----
ถ้าในแบบ 1 ขณะจิต
วิญญาณปัจจยา นามรูปํ
รูป หมายเอาถึง หทยรูป ที่เป็นที่เกิดของวิญญาณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น