อธิปฺปาโย ไม่ได้แปลว่า อธิบาย
ถ้าอธิบายโดยทั่วไปในความหมายแบบภาษาไทย บาลีใช้คำว่า วณฺณนา
แต่อธิปฺปาโย จะหมายถึง ความต้องการ หรือวัตถุประสงค์
อารมณ์ประมาณ what do you mean
อธิปฺปาโย ไม่ได้แปลว่า อธิบาย
ถ้าอธิบายโดยทั่วไปในความหมายแบบภาษาไทย บาลีใช้คำว่า วณฺณนา
แต่อธิปฺปาโย จะหมายถึง ความต้องการ หรือวัตถุประสงค์
อารมณ์ประมาณ what do you mean
คำไวพจน์
คำศัพท์ อาจจะแปลต่างกันตามธาตุปัจจัย
คำไวพจน์ คำแปลออกมาอาจจะต่างกัน
แต่องค์ธรรมเดียวกัน
อาปตฺติ ปาราชิกสฺส
วิธีแปลที่ 1
อาปตฺติ = การต้อง, การเข้าถึง
ปาราชิกสฺส ธมฺมสฺส = ซึ่งอาบัติปาราชิก (ฉัฏฐี หักเป็นทุติยา : ไม่นิยมหักจตุตถีเป็นทุติยา)
(โหติ) = ย่อมมี
(ตสฺส ภิกฺขุโน) = แก่ภิกษุนั้น
วิธีแปลที่ 2
อาปตฺติ ปาราชิกา + อสฺส = การอาบัติปาราชิก ย่อมมีแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดนั้น (อสฺส)
การแปล
อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺส
อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺส (ถุลฺล หนัก + อจฺจย โทษ)
อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส
อาปตฺติ ปาฏิเทสนียสฺส
อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส
ก็แปลได้ 2 นัยแบบนี้เช่นกัน
การแปลพระไตรปิฎก ให้ทราบไว้เลยว่า บางคราวมันแปลได้หลายนัย
เรียกว่า สามตฺถิย
หมายถึง ความสามารถทางภาษามันปรากฏเป็นอย่างนั้น
คือมันคือความเป็นไปได้ทางภาษา
การแปลจึงต้องอาศัยอรรถกถาและฎีกาประกอบ บางครั้งจะแปลพระไตรปิฎกเอาทื่อๆ เลยไม่ได้
โบราณท่านแปลมาก็อาศัยอรรถกถา
ถ้าแปลพระไตรปิฎกล้วนเลย จะไม่รู้เรื่อง และไม่ถูกต้อง
อาชีพไม่บริสุทธิ์ ประมาณหาปัจจัยทางลัด
เพราะอาชีพเป็นเหตุ หมายถึง เพราะความอยากเลี้ยงปากท้องเป็นหลัก
เพราะความอยากเป็นเหตุ
คำแปลที่ 1
อุตริมนุสสธรรม = อุตฺตริมนุสฺสานํ + ธมฺโม
ธรรมของมนุษย์ผู้ประเสริฐ (มนุษย์ผู้ประเสริฐ หมายถึง ฌานลาภี และอริยบุคคล)
องค์ธรรม ฌาน อภิญญา มรรค ผล
ความหมายที่ 2
อุตริมนุสสธรรม = อุตฺตริ + มนุสฺสธมฺม
ธรรมที่ยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ เรียก อุตตริมนุสสธรรม
มนุสสธรรม คือ ศีล 5
องค์ธรรม ฌาน อภิญญา มรรค ผล
คำแปลต่าง องค์ธรรมเหมือน
ศีลแปด ไม่ใช่ อุตตริมนุสสธรรม
ปาปิจฺโฉ = ปาปา + อิจฺฉา
= มีความปรารถนาอันเป็นบาป
มักแปลกันว่า ผู้ปรารถนาลามก
ความหมายเท่ากับ อิจฺฉาปกโต (อิจฺฉา + อปกโต) ถูกความอยากเข้าครอบงำ
อปกโต = ครอบงำ = อภิภูโต
ปาป นี่เป็นได้ทั้ง 3 ลิงค์
เช่น ปาปิจฺฉา - ภิกษุณี
ปาปิจฺโฉ - ภิกษุ
ปาปิจฺฉํ - จิต
หมายถึง โลภอยากได้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ๆๆๆๆๆ
ผู้ที่ถูกความอยากครอบงำ
ไม่รู้จักพอ ไม่บันยะบันยัง
คือทำอะไรเพื่อลาภ เพื่อสักการะ เพื่อคำสรรเสริญ เรียกปรารถนาลามก
ภาษาชาวบ้าน หรือภาษาในพระสูตร = เห็นรูปด้วยตา (จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา)
ภาษาอภิธรรม = เห็นรูปารมณ์ด้วยจักขุวิญญาณ
เป็นภาษาที่ตรงไปตรงมา
ตา เป็นรูป จะไปเห็นได้ยังไง
จักขุวิญญาณ เป็นนาม ถึงจะเห็นได้
ตา ในที่นี้ เรียกว่าเป็น อุปจารโวหาร คือเป็นสำนวนที่ใช้แต่หมายถึงอีกสิ่งหนึ่ง พูดโดยอ้อม
ประเภทของโวหาร
ที่เที่ยวของวัว
มันแปลไม่ได้ จะแปลว่า พระคือวัว ก็ตลก
เวลาแปลก็ต้องแปลแบบอธิบาย
เช่น
มุคฺคสูปยตา พูดแบบแกงถั่ว
พูดถูกบ้างผิดบ้าง
พูดให้ได้ใจญาติโยม
การเลี้ยงชีพอย่างนี้ ชื่อว่า อนาจาร
วิหรติ
วิ + หรติ = นำไปโดยวิเศษ
นำอิริยาบถไปโดยวิเศษ
คือนำอิริยาบถให้เป็นไป บริหารอิริยาบถให้อยู่ได้
ถ้าต้องการเลี้ยงชีวิตให้ธาตุอยู่อย่างสมดุลได้
จะต้องควบคุมอิริยาบถ ไม่นั่งนานเกิน ฯลฯ
ทุกอย่างจะต้องสม่ำเสมอกัน
ปาติ = ผู้รักษา, ถาด, ถ้วย, ชาม ในที่นี้ แปลว่าผู้รักษา
โมกข = หลุดพ้น
สังวร = ปิดกั้น, สำรวม
ศีล คือการสำรวมกายวาจาอันเป็ฯเหตุให้ผู้รักษาพ้น (จากอบาย)
ควรละ หมายถึง ไม่ทำให้มันเกิด
ในทางพุทธถือว่ากิเลสไม่ได้มีอยู่ตลอด
เป็นแค่แขกที่จรมาเป็นครั้งๆ
ถ้ารู้วิธีก็อย่าให้มันเกิดบ่อยด้วยวินัย 2 อย่างด้วยวิธี
คนไทยเห็นใครทำอะไรดีก็มักอนุโมทนาสาธุ
ทั้งนี้บางทีก็ออกแนว สาธุกินเปอร์เซ็นต์
ซึ่งถ้าออกมาทรงนี้ ความหมายมันจะผิดจากวัตถุประสงค์คำสอนไป
คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องเป็นลักษณะให้ลงมือทำ ให้ขยัน ไม่ประมาท
พอสาธุเรื่อยเปื่อย ลองดูใจเถิดว่าเป็นลักษณะนั้นไหม
หรือออกแนวประมาท ทำง่ายๆ ได้บุญมา
คำสอนของพระพุทธเจ้าถ้าไม่ออกแนวกิริยาวาท วิริยวาทนี่ผิดหมดเลยนะ
มันต้องออกแนวให้เกิดความเพียรให้ได้ ให้เกิดการลงมือทำ
ลองดูผลที่เกิดขึ้น เมื่อสาธุ รู้สึกเราได้อะไรขึ้นมารึป่าว
ถามว่าเป็นกุศลไหม ก็เป็น แต่มันน้อย
เมื่อกุศลน้อย ความหลงคนมันเยอะกว่า
ทำกุศลบางทีก็ต้องดูผลมันด้วยว่ามันออกมาเป็นยังไง
มุขปโยชน - ประโยชน์เฉพาะหน้า
ปรมฺปรปโยชน - ประโยชน์ที่สืบทอดต่อๆ ไป หมายถึง ไม่ใช่ประโยชน์โดยตรง ยังต้องไปอีกหลายต่อ
เช่น สีเลน นิพฺพุตึยนฺติ คือศีลเป็นปัจจัยสู่พระนิพพาน
แต่ศีลเพียงอย่างเดียวจะไม่พอพาไปสู่นิพพาน
ยถา + อาห
เป็นคำที่แสดงการยกอ้างอิงว่า ....กล่าว
ถ้าเจอคำนี้ในอรรถกถา ก็คือกำลังยกอ้างพระบาลีอยู่
ถ้าเจอคำนี้ในฎีกา ก็คือกำลังยกอ้างอรรถกถา หรือพระไตรปิฎกอยู่
หมายเหตุ ฎีกา จะอธิบายอรรถกถา หรืออธิบายพระไตรปิฎกที่อรรถกถายังไม่ได้อธิบาย
อาโรหณะ แปลว่า ขึ้น
โอโรหณะ แปลว่า ลง
วันเทวาโรหณะ วันที่พระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์เสร็จแล้วก็เสด็จขึ้นสวรรค์
วันเทโวโรหณะ
วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์หลังแสดงอภิธรรม
สคฺค
สุ+อคฺโค
อคฺค = อารมณ์
สุ = ดี
เป็นภพภูมิที่เลิศด้วยอารมณ์
โลก (สวรรค์)
ที่แสดงผลบุญอันยิ่งใหญ่
(ภูมิอันเป็นที่ปรากฏแห่งผลบุญอันโอฬาร)
โลกิยติ เอตฺถ อุฬารํ ปุญฺญผลนฺติ โลโก
อตฺตโนมติ (อัตตโนมติ)
ไม่ได้แปลว่า มั่วมา
และไม่ใช่การแสดงความเห็นแบบงูๆ ปลาๆ อันนั้นยังไม่ถึงชั้นอัตตโนมติ
อตฺตโนมติ
เป็นความเห็นที่ผ่านการวิเคราะห์เทียบเคียงหลักฐานพระไตรปิฎก
อรรถกา ฎีกา มาแล้ว
แต่ว่ามันไม่มีที่มาที่ไปโดยตรง
จึงสรุปความคิด
เสนอเป็นสมมติฐานของเราขึ้นไปอย่างมีเหตุมีผล
เรียกว่าเป็นความเห็นของผู้คงแก่เรียน
ระดับน้ำหนักของหลักฐาน
วุตฺตญฺเหตํ
เป็นคำที่บ่งบอกว่า คำที่จะกล่าวต่อไปนี้
เป็นคำที่อ้างอิงมา
วุตฺตญฺเหตํ – “.....(แล้วก็ต่อด้วยประโยคที่อ้างอิง).....”ติ
ตัดบทได้เป็น
วุตฺตํ + หิ + เอตํ
เอตํ = คำที่จะกล่าวต่อไปนี้
วุตฺตํ = อัน somebody
ได้กล่าวแล้ว (ซึ่งถ้าในที่นี้อ้างพุทธพจน์ วุตฺตํ
นี้จึงมีอนภิหิตกตา เป็น ภควตา)
หิ = นั่นเทียว
สำนวนแปลนิยม
สมดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า
คนมีศีลไม่เท่ากับคนดี
คนมีศีล คือคนที่งดเว้นสิ่งไม่ดีได้
คนมีสมาธิ ใช่จะมีศีล เพราะมันไม่มีอะไรให้งดเว้น
เมื่อออกจากสมาธิถ้าไม่ระวังให้ดี บางทีจะยิ่งแรงกว่าปกติ
ศีลนี่จะเกิดเป็นบางครั้ง
เวลาอยากจะด่า งดเว้นได้ นั่นคือมีศีล
ศีลไม่ได้เกิดตลอดเวลา เกิดเป็นบางครั้ง
ศีลดีไม่ดี ดูที่เมื่อเกิดเจตนาไม่ดีขึ้นมาในใจ และเหมือนจะมีเงื่อนไขให้ทำได้ด้วย เขาทำหรือเปล่า
ลักขณาทิจตุกะของศีล
1. ลักษณะ :
สีลํสมาธานลกฺขณํ ปติฏฺฐานภาวลกฺขณํ วา
คือความสำรวมกายวาจาให้เป็นระเบียบ และความเป็นที่ตั้งของกุศล
(หมายเหตุ ในบาลีใช้ สีลนํ ลกฺขณตสฺส แต่ต้องไข สีลนํ ออกมาเป็น สมาธานํ และปติฏฺฐานภาว จากการตอบคำถามข้อที่ 1,2)
2. รส :
ทุสฺสีลฺยวิทฺธํสนรสํ อนวชฺชรสํ วา
มีการปิดกั้นอกุศลที่เป็นเหตุให้กลายเป็นคนทุศีล
และมีคุณสมบัติอันไม่มีโทษ
3. ลักษณะปรากฏ :
โสเจยฺยปจฺจุปฏฐานํ
มีความหมดจดเป็นอาการปรากฏ
4. เหตุใกล้ :
หิโรตฺตปฺปปทฏฺฐานํ
มีความละอายและกลัวต่อบาปเป็นเหตุใกล้
Note จากวิสุทธิมรรค > สีลนิเทส
ความหมายของศีล
อันนี้เอาไว้แก้ การอธิบายสำหรับที่มีแปล สีล ว่าปกติ งั้นทำความชั่วเป็นปกติก็เป็นศีลน่ะสิ
แต่สีลตรงนี้องค์ธรรม คือ กุศล
กุศลทั้งหลายแหล่มีศีลเป็นต้น
มีกายเป็นระเบียบ มีวาจาเป็นระเบียบ
พูดอีกอย่างก็คือมีมารยาททางกาย วาจา
ศีล คือ สำรวม ตั้งกายวาจาไว้อย่างดี
ส่วนสมาธิ คือการตั้งจิตไว้อย่างมั่นคง
ในหนังสือ บางครั้งจะพบการอ้างถึงความเห็นของบุคคลอื่น
อปเรวาท
อญฺเญวาท
เอเกวาท
เกจิวาท
อญฺเญ, เอเก, อปเร แปลว่า อาจารย์ท.เหล่าอื่น
อันนี้ระดับความน่าเชื่อถือเดียวกันกับผู้เขียน
เกจิ แปลว่า อาจารย์ท.เหล่าอื่น
ถ้าใช้คำว่า เกจิ หมายถึงว่า อ.ที่กล่าวถึงนี้มีได้รับการยอมรับน้อยกว่าผู้เขียน
อุปนิสสยะ = พลวการณํ = เหตุที่มีกำลัง
ศีล เป็นอุปนิสสย แก่วิชชา 3 (เป็นเหตุให้เมื่อพระอรหันต์บรรลุแล้วได้วิชชา 3)
สมาธิ เป็นอุปนิสสย แก่อภิญญา 6
ปัญญา เป็นอุปนิสสย แก่ปฏิสัมภิทา
มีตนส่งไป = มีจิตส่งไป
ตน หรืออตฺต ศัพท์ในที่นี้ หมายถึงจิต
อตฺต ศัพท์ อาจมีความหมายได้ 4 อย่างแล้วแต่บริบท
กาย จิต สภาวะ อาตมัน ในที่นี้คือ แปล "ตน" ว่า "จิต"
คำว่า "ส่งไป"
แปลไทยได้ว่า อุทิศ คือแบบพุ่งไปเลย ไม่สนอย่างอื่น
อธิสีลสิกขา ศีลที่ใหญ่กว่าศีลทั่วไป
เป็นศีลพื้นฐานเพื่อการได้มรรคผลนิพพานโดยตรงสพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
อันนี้เป็นการแสดงแบบ สพฺพสงฺคหกวาจา
คือเป็นการพูดรวบเอาทั้งหมด
แต่เวลาปฏิบัติจริง เห็นรูปก็คือเห็นรูป ไม่ได้เห็นนาม เห็นทีละ อารมณ์นั่นแหละ ไม่มีใครเห็นครอบจักรวาลในขณะเดียว เพราะฉะนั้นการเห็นสพฺเพฯ จริงๆ น่ะ เป็นไปไม่ได้ อันนี้เป็นแบบแห่งการเทศนาเฉยๆ
การบรรลุ ก็เป็นปจฺกขญาณ เห็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เหลือเป็นอนุมานญาณ เช่น เห็นรูปไม่เที่ยงอย่างไร ก็อนุมานว่านามไม่เที่ยงอย่างนั้น
I’m not accepting that meeting because it’s a waste of my
time
Declining this invite as I don’t feel my participation in
this disscussion is required
I’m not working for free
Our current work agreement reflects a 40 hour work week. I understand
there will be weeks where this number will fluctuate but those circumstances
are the exception as opposed to the rule if the expectation is moving toward I am
to work over 40 hours per week then I would be happy to review my contract and
compensation to better reflects this change
How many times do I need to tell you this
I encourage you to write down this information to refer back
to in the future instead of relying on me to communicate it again
I can’t keep doing the job of 4 people so hire someone
Do you have a timeline of when we are planning to hire
someone to assist with my workload the number of responsibilities I have
absorbed are not sustainable long term and would benefit from some additional
support
That timeline is ridiculous why would you commit us to that
Thank you for sharing that timeline with me can you help me
understand how this amount of work is acheivable in such a short period of time
I can’t take anymore work right now
I’m unable to take that on at the moment as my current
workload is quite heavy is there someone else who can assist with this?
Your micromanaging isn’t making this go any faster
Though I appreciate your attention to this, I feel as though
I could be more productive if had an opportunity to work independently here
If I’m doing your job for you, then what are you doing all
day?
Is there a higher priority task that is consuming all of
your capacity at the moment?
These meetings are unnecessary
Being respectful of everyone’s time can we communicate about
this via email?
If you want it done your way then just do it yourself
As you seem to have a very clear vision for the execution of
this I encourage you to take the lead here and I am happy to support where necessary
You’re not my boss stop trying to assign me work
Have you connected with my boss in regards to me taking this
on? As it has not been communicated that I will be woring on this
เหตุเกิดของทิฏฐิ 8
สํวณฺเณตพฺพ - สิ่งที่พึงอธิบาย
สํวณฺณนา - คำอธิบาย
เช่น เมื่อพิจารณา พระไตรปิฎก - อรรถกถา
สํวณฺเณตพฺพ - พระไตรปิฎก
สํวณฺณนา - อรรถกถา
เมื่อพิจารณา อรรถกถา - ฎีกา
สํวณฺเณตพฺพ - อรรถกถา
สํวณฺณนา - ฎีกา
ปฏิ + อิกฺขติ = ปจฺจเวกฺขติ
= มองดูอย่างเฉพาะเจาะะจง (พิจารณา)
คือมองเฉพาะมุมนี้ๆ ที่กำลังพูดถึงอยู่
รู้จัก มรณะ ที่เป็นอารมณ์ของมรณสติให้ดี
คือ
มรณสติ ไม่ได้หมายรวมถึง
ให้นึกถึงความเคลื่อนของสัตว์หนึ่ง ไปสัตว์หนึ่ง สักวันหนึ่งความเคลื่อนจากความเป็นคนจะมี
ให้นึกถึงความจริง คือ ภาวะที่ทำให้สัตว์เคลื่อนจากความเป็นอย่างนั้น นั้นมีอยู่ ชื่อว่า มรณะ
เมื่อเกิดขึ้นปุ๊บความเป็นคนจะหายไป
ความเป็นบุคคลนี้จะหมดไป
เมื่อเกิดขึ้นความเป็นหมาก็จะหายไปเลย
เท่ากัน
ความเป็นสัตว์นั้นจะมี มรณะ เป็นที่่สุด
จะไม่ข้าม มรณะ ไป
จะไม่กระโดดเลย มรณะ ไป
เป็นการนึกถึงอนาคต
ภาวะอันหนึ่งนี้ ที่ชื่อว่า ความตาย
วันหนึ่งจะมาถึงแน่ๆ
มีสภาพนี้เป็นธรรมดา
ให้นึกถึงภาวะมรณะนั้น
ฌาน หมายถึง
หลงกาย ลืมกายหลายๆ แบบ
ลืมกาย ลืมไปเลยว่ามีกายใจลอยออกข้างนอกไปเลย
หลงกาย ไม่ลืม แต่...