การบ้านตั้งแต่หยุดไป - 6 ก.ค.57
27-28 มิ.ย.57
จิตหยาบจนส่งการบ้านไม่ได้ เลยเลี่ยงไม่ส่งค่ะ
29 มิ.ย.57
นั่งอ่านหัวข้อธรรมะในเฟสบุคเรื่อยไป ใจยังไม่กลับเป็นปกติ ดิ้นเฉไฉไปเรื่อย ไปถูกใจหัวข้อหนึ่ง กล่าวไว้ว่า
"ปราชญ์ทั่วไปในโลกยอมผิดธรรมเล็กเพื่อบรรลุธรรมใหญ่ หากแต่จอมปราชญ์ กระทำโดยสมบูรณ์พร้อมได้ทั้งธรรมเล็กและธรรมใหญ่ และสั่งสอนเช่นนี้เสมอมา"
เหมือนจิตเริ่มจะคิดได้หน่อยนึง
30 มิ.ย.- 3 ก.ค.57
ออกไปทำงานต่างจังหวัด ไม่มีช่วงทำรูปแบบ ดูความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์เวลากระทบผู้คนไปเรื่อย เห็นว่าเวลาดีก็ดีเหมือนไม่รู้จักคำว่าร้าย เวลาหัวเสียก็เซ็งซะจนเหมือนไม่เคยไม่รู้จักความสุข เปลี่ยนสลับกันไปมาแล้วแต่การกระทบ วันนึงเปลี่ยนขึ้นลงเป็นกราฟหลายรอบ เห็นตัว(อัตตา)เกิดบ่อย
บางทีนั่งอยู่เฉยๆ ก็ปรุงเรื่องขึ้นมา เห็นคุณอัตตาเกิดขึ้นมากำลังจะเข้า take action ด้วยอารมณ์ แล้วก็เห็นอีกตัวเป็น "คุณทางเลือก" เดินออกมาจากอัตตา ปล่อยคุณอัตตายืนเก้ออยู่อย่างนั้น คุณทางเลือกก็เข้ามาแก้ไขเรื่องราวไป สักพักคุณอัตตาก็หายไป
ระหว่างนุั่งรถนั่งสังเกตไป ความคิดมากมายหลั่งไหลไม่ได้หยุด กระแสไม่แรงแต่ไหลเรื่อยๆ
สังเกตเห็นความน้อยใจ ความคับข้องจากการได้รับความไม่เท่าเทียมกันในที่ทำงาน เหมือนคนถูกแยกเป็นสองชนชั้นที่ได้รับการปฏิบัติแตกต่างกันชัดเจน ดูสภาวะก็รู้สึกว่าเออ คนโบราณบัญญัติคำได้ดีเนอะ "ใจแคบ" เป็นความรุ้สึกอึดอัดต่อความคับแคบของจิตใจ สลัดไม่หลุดสักทีเลยพยายามไม่ให้ผิดศีลอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายก็มาหลุดด่าลมฟ้าอากาศไปหนึ่งประโยคด้วยความเกินทนที่ว่าแมวที่ไหนมาถ่มถุยเม็ดลำไยกลางโต๊ะทำงานให้เราเก็บ
4-6 ก.ค.57
เสร็จงานเถลไถลไม่ได้ตั้งใจ แต่ธรรมจัดสรรให้ได้ไปอยู่วัดป่านานาชาติที่แม่ฮ่องสอน ช่วงขณะที่เดินเข้าวัดด้วยธรรมชาติที่มีภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้า ความยิ่งใหญ่ของภูเขาและต้นไม้ทำให้ความคิดดับไปช่วงหนึ่ง แต่ก็ถูกกวนกลับขึ้นมาอีกด้วยพี่มาชวนคุย
วันหนึ่งนั่งสมาธิพร้อมหมู่คณะ พบว่ารู้สึกถึงกำลังเร็วมากราวกับมีคนอัดมา แล้วก็บริกรรมพุทโธแบบไม่มีอะไรแทรกได้ต่อกันตั้ง 7 คำ แน่ะ (เยอะมากสำหรับหนู) ยังนึกอยู่เลยว่าท่ามกลางภูเขานี่พุทโธง่ายแฮะ แต่ก็เป็นแค่วันเดียว วันถัดๆ มาไม่เป็นสภาวะอย่างนั้นก็ไม่เกิดอีก
ไปวัดครั้งนี้ การเพ่งโทษชาวบ้านลดลงมาก เห็นว่าด้วยกิริยาเดียวกันของคนอื่น เมื่อก่อนเห็นแล้วหงุดหงิด ตอนนี้เห็นแล้วก็เฉยๆ ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรกระทบถูกตัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ที่วัดนี้เป็นวัดถ้ำ มีป้ายชี้ขึ้นภูเขาไปว่ามีถ้ำนั่งสมาธิ ใจก็คิดว่าโอกาสดัดสันดานตัวกลัวมาถึงแล้ว คิดในใจว่าตอนกลางวันเดินขึ้นไปสำรวจก่อน แล้วกลางคืนขึ้นไปนั่งภาวนา พอเล่าความคิดให้พี่ที่ไปด้วยกันฟังเขาก็ห้ามทันที ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ก็เกิดเป็นความขัดในใจขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร
ในวัดมี "ต้นไม้พูดได้" จำนวนมาก อ่านไปก็เจอป้ายเตือนอย่างนู้นอย่างนี้ ไอ้เราก็อยากรู้อยากเห็น พี่เตือนมาแต่มันก็ยังอยากขึ้นถ้ำอ่ะ ก็อ่านแล้วเข้าใจแต่ได้ข้อธรรมที่ส่งเสริม (เลือกอ่านจริงๆ 555)
แล้วก็ดอดขึ้นไปจนได้ ตอนกลางวัน ไปถึงก็กราบพระหน้าถ้ำก่อน กวาดใบไม้ ทำความสะอาด ดูสภาพแล้วคงไม่มีใครขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว แล้วก็เข้าไปดูข้างใน เป็นถ้ำแคบๆ มีลมไหลเอื่อยๆ เดินเข้าไปก็เห็นพระพุทธรูป แล้วก็โต๊ะไม้ตั้งอยู่ จึงกราบพระแล้วทำความสะอาดในถ้ำ กำลังใจยังไม่มั่น ตอนนี้เป็นตอนกลางวันไม่น่ากลัว แต่คิดเผื่อไว้ว่าคืนนี้ถ้ากำลังใจถึงอาจจะลองขึ้นมา ทำความสะอาดเสร็จก็ไปนั่งบนโต๊ะ ภายในถ้ำเงียบจริงๆ
ตกกลางคืน ก็ไม่ได้บอกอะไรพี่เขา แค่บอกว่าเดี๋ยวเราค่อยกลับกุฏิ ใจนึงก็คิดว่าถ้าพี่เขาไม่อนุญาต แล้วถ้าเราไปขอพระอาจารย์ล่ะ อีกใจก็เถียงแล้วถ้าพระอาจารย์ไม่ให้นี่เสียโอกาสเลยนะ อุตส่าห์มีสถานที่ให้ลองขนาดนี้ แบบไม่น่ากลัวมากเหมาะกับเบบี๋เตาะแตะแบบเรา เดินโต๋เต๋ตัดสินใจไปมา ด้วยความที่กำลังจิตอ่อน เลยลองเดินในที่มืดด้านล่างก่อน เดินไปเดินมา เอาวะลองดูแค่ไหนแค่นั้น สุดท้ายก็ก้าวขึ้นไปทีละขั้นๆ มืดขึ้นเรื่อยๆ พอกลัวก็หยุดดูสภาวะ หายกลัวก็ก้าวต่อทีละก้าวสองก้าว ไปได้ระยะนึงจนเห็นว่าทางข้างหน้าไปต่อมืดสนิทแล้ว ก็เดินกลับลงมาไปไม่ถึงถ้ำ จะว่าปอดแหกก็ไม่เชิง แต่เหมือนคำเตือนของพี่เขามาดึงเอาไว้ บอกตัวเองว่ากลับไปนอนให้เต็มที่แล้วก่อนสว่างค่อยมาใหม่
ตื่นมาตี 4 ล้างหน้าล้างตา เดินขึ้นเขา อ่าวแฮะ คราวนี้เดินปร๋อไม่มีจังหวะหยุดหายกลัว พอมืดก็เปิดไฟฉาย เดินฉับๆ ถึงหน้าถ้ำอย่างไว ไหว้พระ เดินเข้าไปนั่งในถ้ำปิดไฟ เอ่อ ยังไม่ทันกลัวเลย -_- เมื่อวานเดินเราว่ามันไม่ได้ใกล้ขนาดนี้นะ นั่งในถ้ำอยู่ครึ่งชั่วโมง ในถ้ำมืดมาก ลืมตาหลับตาเท่ากัน ช่วงแรกพบว่าความเงียบของถ้ำดังกว่าความคิด พอเริ่มชินความคิดเริ่มค่อยๆ โผล่ ออกมาเดินจงกรมอยู่หน้าถ้ำจนสว่างแล้วก็ลงมา รู้สึกเสร็จภารกิจ ไม่เห็นมีอะไรเลย
การเดินจงกรมระหว่างวัน มีความรู้สึกว่า มันมีจิตคิด มีจิตรู้สึกตัวแว้บ แล้วก็มีจิตไม่คิดแล้วก็ไม่รู้สึกตัว ก็คงจะหลงสักอย่างนั่นแหละ
การเดินจงกรมระหว่างวัน สังเกตุว่า มีระบบการทำงาน 3 ระบบที่แยกจากกัน แต่ละอันทำตามจังหวะของมัน เช่น ตอนเดินพระอาจารย์ให้เดินแบบ ซ้าย-พุท ขวา-โธ แรกๆ ก็ประสานกันดี สักพัก ซ้ายขวา กับพุทโธ ไม่ไปด้วยกัน คือเท้า-ก็มีจังหวะก้าวย่างของมัน, พุทโธ-ก็มีจังหวะท่องของมัน, รวมกับระบบกระแสคิดเรื่อยเปื่อย สลับกันไปมา จริงๆ พยายามจะจับว่าที่ว่า "จิตทำงานครั้งละอย่างเดียว" นี่มันจริงรึป่าว จนแล้วจนรอดก็จับไม่ได้
จบการบ้านค่ะ
นึกได้ว่าตอนอยู่วัดวันนึงตอนทำวัตรเย็น อยู่ๆ สัญญาดับ 1 ขณะ ครู่เดียวจริงๆ รู้สึกตัวกลายเป็นเครื่องกระจายเสียงไป มีแต่เสียง ไม่มีความรู้สึกถึงความหมาย แล้วสัญญาก็กลับมาเป็นคนนั่งสวดมนต์อีกครั้งหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น