ถ้าคนหมู่มากมองว่า
วัตถุสำคัญกว่าศีลธรรมจรรยาและถ้าบัณฑิตใช้ชีวิตเยี่ยงผู้ไร้ปัญญาเป็นเรื่องปกติ
สะท้อนสังคมกำลังป่วยไข้หรือไม่
วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560
บทสนทนากะคุณยาย
“เงินตั้งแสนเชียวนะคะยาย”
“เราจำเป็นต้องใช้เงินแสนตอนนี้ไหม...ก็ไม่...นอกจากเงินเพื่อการเรียนที่มีทุน
กยศ. อยู่แล้ว หนูต้องการเงินไปทำอะไรอีก”
หลานสาวส่ายหน้า
ชีวิตความเป็นอยู่ปัจจุบันอาจไม่เลิศหรูแต่ก็กินอิ่มทุกมื้อนอนหลับสบายทุกคืน
มีหนี้สินต้องผ่อนชำระเล็กน้อย
ไม่ถึงกับทำให้เดือนร้อน
อันที่จริงครอบครัวไม่ถึงขั้นขัดสนแค่ไม่สะดวกสบายเท่านั้นเอง
“เงินน่ะ ใคร ๆ ก็อยากได้
ความอยากมันมีกันทุกคน และอยากมีอยากได้ไม่สิ้นสุดเป็นปกติของคนส่วนใหญ่”
“วิธีการควบคุมความอยากสำคัญกว่าการหาทางตอบสนอง
ถ้าควบคุมความอยากไม่ได้ก็ต้องดิ้นรนหาวิธีมาสนอง” คุณยายยังคงใช้เสียงเนิบนาบพูดเรื่อย
ๆ
“เคยชินกับการตอบสนองความอยากมาก ๆ
ในที่สุดก็หลุดการควบคุมตัวเอง นี่ก็เป็นปกติของมนุษย์เช่นกัน”
“หนูก็ไปทำแค่ช่วงปิดเทอม” หลานสาวแย้งเสียงอ่อน
เพื่อไม่ให้ฟังเป็นดื้อดึงดันทุรัง
“ถ้าหนูคิดว่าควบคุมตัวเองได้
ยายก็คงไม่ห้าม”
“แต่ยายไม่เชื่อว่าหนูคุมได้”
“ยายไม่พูดแบบนั้นจ้ะ
ที่จริงก็ภูมิใจที่หนูคิดหาเงินสำรองเผื่อยามขัดสน
แต่ยายคงไม่ดีใจถ้าหนูต้องเอาต้นทุนมีค่าไปแลกกับอะไรก็ตามที่จะทำให้เสียใจทีหลัง”
“เสียใจทีหลังเหรอคะ” เป็นครั้งแรกที่ฉุกคิด
น้องไอมองใบหน้าแย้มยิ้มของหญิงสูงวัยอย่างหวังค้นหาคำตอบ
“ยายบอกแล้ว ชีวิตไม่มีอะไรง่าย
อยากได้มากก็ต้องเสี่ยงสูง
บางสิ่งบางอย่างวันนี้ดูคุ้มจะเสี่ยงแต่ในระยะยาวมันอาจไม่ใช่
หนูต้องหัดคิดให้ยาวไกลอย่าตัดสินใจแค่เฉพาะหน้า”
คุณยายมองหน้าหลานสาวชั่วอึดใจแล้วพูดต่อ
“แค่เฉพาะหน้าตอนนี้ยายยังไม่เห็นว่าหนูต้องรีบร้อนตัดสินใจกับอะไรทั้งนั้น”
“ความสาวความสวยเป็นต้นทุนสูงค่า
จริงอยู่จะใช้หรือไม่ใช้ถึงเวลามันก็ร่วงโรย
และเราอาจดึงความสาวความสวยกลับมาไม่ได้”
“แต่รู้ไหม...คนจะมีค่า ไม่ใช่การใช้ความสาวความสวยให้เป็นประโยชน์
เพราะความจริงมันขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตอย่างสำนึกในคุณค่าของตัวเอง
งานหรือใครหรืออะไรก็ตามที่มีส่วนลดคุณค่าตัวเอง
ไม่ว่าจะได้ผลตอบแทนมากแค่ไหนสุดท้ายแล้วมันไม่คุ้ม”
สาวน้อยนิ่งงันความสับสนจู่โจมอย่างหนัก
ภาพสาวสวยแต่งกายเซ็กซี่วับแวมนั่งเรียงรายรอผู้ชายเรียกไปใช้บริการ
ผุดเข้ามาในความคิด
ไม่ต้องคลุกคลีจนทะลุทะลวงทว่าสัญชาตญาณร้องบอกดังก้อง
งานนั่งดริ๊งก์ในค็อกเทลเลานจ์มีส่วนในการทำลายคุณค่าตัวเอง
น้องไอหมดหนทางปฏิเสธโดยสิ้นเชิง
“หนูอายุยังน้อย ยังมีเวลายาวไกล
การได้เรียนรู้เป็นโอกาสเป็นความได้เปรียบของความเยาว์วัย”
“การเรียนรู้ให้ประโยชน์ก็จริง
แต่มันก็เป็นโทษได้ถ้ากระตือรือร้นใฝ่รู้ในสิ่งผิด”
“ผิดถูกก็ต้องเรียนรู้ดูก่อน
ถ้าไม่ลองหนูจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ” ในใจยังคงคิดค้าน
งานสร้างรายได้มหาศาลเป็นโอกาสที่ควรรีบกอบโกย
“ก็ลองมองผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด
แล้วคิดดูสิหนูรับไหวหรือไม่
ถ้ามันเป็นความผิดพลาดมันจะแก้ไขได้ไหม
จะกลายเป็นตราบาปในชีวิตหรือเปล่า”
เป็นผู้หญิงกลางคืน
ใช่ตราบาปในชีวิตไหมหนอ
ถ้าใช่ตอนนี้จีประทับตราฝังลึกมากขนาดไหน
ถ้าใช่น้องไอยังอยากฝังประทับตราบาปแลกกับเงินก้อนใหญ่หรือไม่?
หรือที่จริง ไม่มีตราบาปอะไรทั้งสิ้น
เพราะเมื่อเวลาผ่านเราแค่หลับตาทำใจให้ลืม มันก็จบ !
มิ้ว ณ ชมวิว คคห 1486
วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2560
หยั่งโมหะ
วันที่ 1
ระหว่างเดินทางไปทำงาน ประมาณครึ่งชม. 3672 ครั้งที่หลงไป
เครียดเกินไป เกือบอ้วก การรู้ตลอดเวลาอย่างนั้นก่อความเครียด
ระหว่างเดินทางไปทำงาน ประมาณครึ่งชม. 3672 ครั้งที่หลงไป
เครียดเกินไป เกือบอ้วก การรู้ตลอดเวลาอย่างนั้นก่อความเครียด
วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560
ระดับกำลังใจ
เมื่อวานมีได้อ่านเรื่องสตรีคนหนึ่งถูกข่มเหง
เรียกว่าเป็นการจัดการหลังเกิดเหตุที่น่าอนุโมทนาในกำลังใจ
เมื่อลองวิเคราะห์ดูพบว่า ขณะเกิดเหตุการณ์
ด้วยตัวเด็กคิดว่าถ้ารอดจะตอบแทนคุณแม่ให้เต็มที่
รอดด้วยศรัทธา เอามารดาเป็นสรณะ
ทำให้รอดเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดมาได้
แต่พอแม่ไม่เข้าใจและไม่ยอมรับที่เด็กมีครรภ์ขึ้นมา
เด็กตัดสินใจฆ่าตัวตายทันที
แต่ก็รอดมาได้เพราะมีคนพบเห็นช่วยไว้ได้ทัน
น้องตัดสินใจไม่ทำแท้ง เก็บเด็กไว้
รวมทั้งไปเยือนคุก เพื่อพูดคุยกับผู้กระทำผิดทั้ง 7 คน เพื่ออโหสิกรรม
หนึ่งในนั้นสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรกับใครเช่นนี้อีก
นับว่าช่วยให้คนกลับตัวเป็นคนดีได้ 1 คน
สุดท้ายน้องเสียชีวิตด้วยเอดส์
คิดในทางกลับกัน ถ้าเหตุการณ์เช่นเดียวกันเกิดขึ้นกับเรา
สิ่งที่เราจะทำก็ต้องไม่ต่างไปจากที่น้องทำนั่นแหละ
นั่นเป็นทางเดินต่อเพียงทางเดียวที่เป็นไปได้
ความโชคร้ายอย่างหนึ่งคือน้องเจอสรณะที่ผิด
ข้อสังเกตคือ ภายหลังสิ่งที่เลวร้าย อาจจะเจอสิ่งที่เลวร้ายกว่าจากทิศทางที่คาดไม่ถึง
เช่นในกรณีนี้คือ การไม่ยอมรับจากมารดา
ในช่วงที่นรกมาเยือน สติปัญญาไม่อาจตามทัน
จะมีเพียง "ศรัทธา" ที่จะมีกำลังพารอดได้
สำหรับคนรอบข้าง
สิ่งที่จำเป็นคือ กำลัง "ตั้งมั่น"
ต้องเป็นหลักให้ ไม่อ่อนไหวกับเรื่องราว
เพื่อให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้เร็วที่สุด
เรียกว่าเป็นการจัดการหลังเกิดเหตุที่น่าอนุโมทนาในกำลังใจ
เมื่อลองวิเคราะห์ดูพบว่า ขณะเกิดเหตุการณ์
ด้วยตัวเด็กคิดว่าถ้ารอดจะตอบแทนคุณแม่ให้เต็มที่
รอดด้วยศรัทธา เอามารดาเป็นสรณะ
ทำให้รอดเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดมาได้
แต่พอแม่ไม่เข้าใจและไม่ยอมรับที่เด็กมีครรภ์ขึ้นมา
เด็กตัดสินใจฆ่าตัวตายทันที
แต่ก็รอดมาได้เพราะมีคนพบเห็นช่วยไว้ได้ทัน
น้องตัดสินใจไม่ทำแท้ง เก็บเด็กไว้
รวมทั้งไปเยือนคุก เพื่อพูดคุยกับผู้กระทำผิดทั้ง 7 คน เพื่ออโหสิกรรม
หนึ่งในนั้นสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรกับใครเช่นนี้อีก
นับว่าช่วยให้คนกลับตัวเป็นคนดีได้ 1 คน
สุดท้ายน้องเสียชีวิตด้วยเอดส์
คิดในทางกลับกัน ถ้าเหตุการณ์เช่นเดียวกันเกิดขึ้นกับเรา
สิ่งที่เราจะทำก็ต้องไม่ต่างไปจากที่น้องทำนั่นแหละ
นั่นเป็นทางเดินต่อเพียงทางเดียวที่เป็นไปได้
ความโชคร้ายอย่างหนึ่งคือน้องเจอสรณะที่ผิด
ข้อสังเกตคือ ภายหลังสิ่งที่เลวร้าย อาจจะเจอสิ่งที่เลวร้ายกว่าจากทิศทางที่คาดไม่ถึง
เช่นในกรณีนี้คือ การไม่ยอมรับจากมารดา
ในช่วงที่นรกมาเยือน สติปัญญาไม่อาจตามทัน
จะมีเพียง "ศรัทธา" ที่จะมีกำลังพารอดได้
สำหรับคนรอบข้าง
สิ่งที่จำเป็นคือ กำลัง "ตั้งมั่น"
ต้องเป็นหลักให้ ไม่อ่อนไหวกับเรื่องราว
เพื่อให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้เร็วที่สุด
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560
หมายเหตุเรื่องเซน
Somrit Phetko วันที่ 25 เม.ย.60
****" ทำไงให้รู้ยืนยันใจ
ว่ากายไม่ใช่ของเรา "****
หวัดดียามเที่ยง
ปกติธรรมชาติทุกวันนี้
ข้ามักจะเข้าสู่ความสงบด้วยความว่าง
โดยการนั่งสมาธิซะเป็นส่วนใหญ่
หากนึกตรึกตรองธรรมอะไร ก็จะใช้การเดินจงกรม
ข้าไม่ได้นั่งเพื่อต้องการอะไร
ข้านั่งเพื่อพักทุกสิ่งทุกอย่างลง ให้มันว่างๆ
เอาอานาปานมาเป็นวิหารธรรม คือเครื่องอยู่
แต่ธรรมชาติที่มีเครื่องอยู่ในความว่างเช่นนี้
มันเข้าใจธรรมชาติที่มีที่เป็นตามเหตุปัจจัยของมันดีอยู่แล้ว
ไม่ได้พิจารณาอะไรมากมาย
จึงอยู่ด้วยความว่างเพื่อพักกายพักจิตเท่านั้น
หากเราไม่ปฏิบัติจนเห็นแจ้งยืนยันให้แก่ใจเราเองได้
ว่าธรรมชาติสรรพสิ่งทั่งหลาย แท้จริงเป็นเช่นไร
การอยู่ว่างๆ โดยไม่เอาอะไร ไม่ทำอะไร
ไม่วินิจฉัยอะไร
มันจะหยุดและดับปัญญาที่จะก่อเกิดแห่งเรือนกายใจเรานี้
ให้ตีบตันและหยุดอยู่กับที่
ชีวิตคือการค้นหาและเดินเพื่อเจริญสืบไปในวันที่เหลือที่มีอยู่
เรายังมีสังขารปรุงแต่งเป็นเครื่องรับรู้
ตราบใดที่ยังไม่สิ้นสังขาร
การปรุงแต่งมันก็ยังไม่สิ้นสุด
มันปรุงของมันไปเรื่อย
แล้วจู่ๆ เรามาบอกว่า เราจะหยุดปรุงแต่ง
จะอยู่กับความว่าง
นี่เป็นความโง่งี่เง่า
ที่เอาตัวตนเข้าไปเป็นเจ้าของเรือนกาย เวทนา จิตและธรรม
ถ้าเราเป็นเจ้าของกายจริง บังคับมันว่าเราว่างได้
เราก็ควรเอาแค๊ปหมูมาซักชิ้น
แล้วตั้งใจว่าจะกลืนมันลงไป
หากเรากลืนแค๊ปหมูชิ้นโตๆ ได้ดังใจ
ไม่มีสิ่งใดมาต้านทานหรือขวางกั้นทางเดินกลืนลงคอ
นั่นแหละๆๆ กายมันเป็นของเรา และเราก็ยืนยันได้
แต่ถ้ากลืนไม่ได้
ก็แสดงว่ากายมันเป็นของมันไม่ใช่ของเรา
ที่จะไปบังคับบัญชาอะไรมันได้
ถ้ามันมีแรงต้านไม่ให้กลืน
ก็ต้องหาว่าใคร เป็นตัวต้านไม่ให้มันกลืน
เพราะเรามันต้องการที่จะกลืน
การมีแรงต้านนั้น แสดงว่า มันไม่ใช่เรา
ที่มันมีแรงต้านไม่ให้กลืน
แสดงว่า มันมีโปแกรมสัญญาของมันเองอยู่แล้ว
ว่าอะไรที่ผิดไปจากสัญญาของมัน
มันก็ไม่ยอมไห้ผ่านเช่นกัน
จะมีมึงมีกูหรือไม่มีก็ตาม
ฉะนั้น...จงหัดฉลาดๆ กันซะบ้างไอ้น้องเอ๋ย..
พุทธศาสนา ชี้แนะลงไปในเรื่องจิต
จิตนี่ เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งในนิยามทั้งห้า
คือฟิสิกส์ ชีวะ กรรม จิต ธรรม
ทั้งห้าตัวนี้
เป็นธรรมชาติที่ยากจะเข้าไปเข้าใจได้โดยแจ้งและหมดจรด
ที่เข้าใจยาก เพราะธรรมชาติทั้งห้าตัวนี้
มันอาศัยเหตุปัจจัยเป็นองค์ประกอบเป็นชิ้นเดียวกัน
ในทุกๆสรรพสิ่ง
เหมือนเราชิมอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว ว่าอร่อย
ในอร่อย มันประกอบด้วย
เปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม มัน
หากเราอธิบายเรื่องเปรี้ยว มันก็ไม่ใช่อร่อย
หากเราจะอธิบายเรื่อง หวาน หรือ เผ็ด
มันก็ไม่ใช่อร่อย
เพราะความอร่อย มันเกิดจากทั้งห้า
มันปรุงเข้าหากันเป็นสิ่งเดียวคืออร่อย
คนที่เก่งแต่เรื่องเปรี้ยว
เพราะเรียนรู้มาจากตำรา
มันก็ไม่ต่างจาก คนที่เก่งเรื่อง เผ็ด เค็ม มัน
หวาน
พุทธปัจจุบัน เราเรียนรู้เรื่องจิตแบบ
เปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม มัน
เก่งโดดไปเฉพาะเปรี้ยว เก่งหวาน เก่งเผ็ด ฯ
แล้วมาถกเถียงกัน ว่าสิ่งที่ตนเก่งนั้นมันถูก
และมันคือความอร่อย
ในความหมายที่โบราณท่านค้นพบมา
อร่อยนี่คือจิต
เราเก่งกันโดยไม่รู้ว่า จิตนั้น ประกอบด้วย
เปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม มัน
ไม่ใช่ มัน เค็ม เผ็ด อะไรแต่ละอย่างนี่
มันคือจิต
มีพระส่งข้อความมาว่า
ท่านคัดลอกมาจาก หนังสือของพระพุทธทาส
" จิตเดิมแท้ ว่างเปล่าไร้การปรุงแต่ง
เราจึงไม่ควรไปทำอะไร และปฏิบัติอะไร "
ประโยคนี้..
ท่านพุทธทาสท่านคัดลอกมาจากนิกายเซนน่ะ
ไม่ใช่นิยามที่ท่านเข้าใจและให้นิยามขึ้นมาเอง
เจตนาที่นำวิถีการชี้แนะแห่งเซนมาอนู่ในข้อเขียนนั้น
ก็เพื่อให้รุ่นหลังได้มองเห็นมุมมองอันหลากหลายของความแตกต่างในข้อวัตรแห่งวิถีคิด
จิตนั้น มันมีเหตุปัจจัย ถึงได้เรียกว่าจิต
จิตนั้นไม่เคยว่าง ไอ้ที่ว่างนั้น
มันอาการแห่งจิตที่ปรุงแต่งเรียบร้อยแล้ว ออกมาเป็นเวทนา
มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของ คือ เฉยๆ
ไม่สะดุ้งสะเทือนต่อเจตนาทั้งหลาย ที่มันผัสสะ
เช่น เรามองไปรอบๆตัวเรา
โดยไม่สะดุ้งสะเทือนต่อสิ่งใด
เราก็เลยดูเหมือนเราว่างเปล่าจากสรรพสิ่ง
เราเห็นอยู่ แต่ไม่ได้ให้ค่า
เรามองฟ้า มองต้นไม้ ภูเขา อย่างไม่ได้ให้ค่า
นั่นแหละ..เป็นอาการจิตที่มันปรุงแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว
และมันบันทึกการปรุงแต่งเข้าไปอยู่ในนามขันธ์
คือสัญญาเรียบร้อย
มันจึงไม่สะดุ้งกับสิ่งเดิมๆที่อายตนะมันผัสสะ
และเราก็เข้าไปเป็นเจ้าของในอาการเหล่านี้
ว่าเราว่างเปล่า
นิกายเซนนั้น เขามีนิยามการมีสติระลึกถึงแต่การอยู่กับปัจจุบัน
แต่ปัจจุบันที่เขาเข้าใจนั้น
เขาไม่รู้ว่ามันคืออดีตที่ผ่านไปแล้ว
เขารู้เท่าทันแล้วปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น
นี่เป็นการเข้าใจในวิถีที่ไม่ตรงนัก
การเข้าถึงมรรคผลและแจ้งธรรมตามความเป็นจริงมันจึงไม่เกิด
พุทธศานานั้น คือแนวทางแห่งปัญญา
นิกายเซนนั้น เขามีสติอยู่กับปัจจุบัน
เขาไม่เอาพระธรรมวินัย ไม่เอาพระอภิธรรม
เขาเอาแต่พระสูตร
เขาเชื่อว่า มันเสียเวลา สู้อยู่ปัจจุบันไม่ได้
ความรู้และตรรกะเช่นนี้ มันเป็นเปลือก
ที่เป็นเปลือกก็เพราะ
เขายึดอยู่กับสิ่งที่มันไม่มี
ปัจจุบันในความหมายของเขานี่ไม่มี
ที่มีและสติตามรู้ในภาวะปัจจุบันที่เข้าใจนั้น
มันคืออดีต
คำว่าปัจจุบันในความหมายแห่งผู้มีปัญญานนั้น
หมายถึง ปราชญ์ผู้ล่วงรู้และเข้าใจตรงตามความเป็นจริงว่า
อดีต มันล่วงไปแล้ว ไม่ควรเอาอากาศเหล่านั้น
ที่เป็นพิษเป็นภัยต่ออารมณ์และการกระทำ
มาเป็นฟืนเป็นไฟเผาใจตนให้ทุรนทุราย
เพราะมันผ่านไปแล้ว
อนาคตที่ยังมาไม่ถึง
เราก็ควรนำสิ่วที่เป็นพิษเป็นภัยต่อใจตน
มาเป็นฟืนเป็นไฟเผาใจตนให้มันทุรนทุรายเช่นกันกับอดีต
อนาคตเราไปว่ากันในอนาคต
เราเตรียมการวันนี้ให้ดี อนาคตก็ย่อมดี
มันเป็นหลักเหตุหลักผล
นี่..ผู้เข้าใจรู้ชัดและเห็นตรงเช่นนี้
จึงเรียกว่า เป็นผู้อยู่กับปัจจุบัน
พุทธศาสนานั้น
ชี้ไปที่สรรพสิ่งอาศัยเหตุปัจจัย
ไม่มีอะไร อยู่ๆจะผุดขึ้นมาได้เอง
คนที่เฝ้าบวงสรวงต่อเทพเจ้า
เพื่ออ้อนวอนบนบาลศาลกล่าวในสิ่งที่ตนปรารถนา
นี่เป็นพวกไม่เข้าใจธรรมชาติทั้งห้า
ที่มันอาศัยเหตุปัจจัยกัน
ปุถุชนบวงสรวง เพราะเหตุแห่งการขอ
ปราชญ์บวงสรวง เพราะว่าไปตามเหตุปัจจัย
นี่..ความหมายมันมีลึกกันไปคนละอย่างกัน
แม้กระทำในสิ่งเดียวกัน
เรื่องจิตนั้นซับซ้อน
แต่ที่แน่ๆ จิตเดิมไม่เคยว่าง
มันปรุงแต่งของมันไปตามญานวิถี
จนก่อตัวมาเป็นรูปเรา
แล้วเรา..เมื่อเป็นเรา เพราะเหตุแห่งการก่อ
ดันมาเป็นเจ้าของความว่าง เพราะเราไม่เอาอะไร
ไม่คิดอะไร
ทำตัวว่างเปล่าจากสรรพสิ่งทั้งหลาย
นี่..พอตายห่าไป
จิตก็ต้องไปสร้างไปก่อขึ้นมาให้มันใหม่
เพราะไอ้ควายที่อุตสาห์ก่อเครื่องมือคือรูปไว้ให้
มันเสือกใช้ไม่เป็น
มันเสือกไม่เอาอะไร มันว่างจากความหมาย
มันไม่รู้ว่า
ก่อนที่จะมาก่อรูปเป็นมันที่ทำตัวว่างๆนั้น
เพราะเหตุแห่งการปรุงที่ไม่ว่างจากกรรมนั่นแหละเป็นวิบากแห่งการก่อให้เป็นรูป
เอาชนะด้วยเหตุผลไม่สามารถทำให้ใครมาชอบเธอได้
辩论是绝对不可能
说服一个人更喜欢你的
我觉得你讲得很有道理啊
你讲的都是对的
你全都赢了
并不表示他愿意更喜欢你
所以用辩论或者 用要求 用质问 用逼他
相信我你把案子查明了之后
你只会更难过而已
因为你只会证明他就是没有那么喜欢你
你唯一能做的就是
把自己的吸引力找回来
该美要美
该优秀要优秀
你继续追他
他肯定不理你
你不理他了
搞不好他就追你了
说服一个人更喜欢你的
我觉得你讲得很有道理啊
你讲的都是对的
你全都赢了
并不表示他愿意更喜欢你
所以用辩论或者 用要求 用质问 用逼他
相信我你把案子查明了之后
你只会更难过而已
因为你只会证明他就是没有那么喜欢你
你唯一能做的就是
把自己的吸引力找回来
该美要美
该优秀要优秀
你继续追他
他肯定不理你
你不理他了
搞不好他就追你了
วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560
คอร์สเรียนรู้กายใจ
21-23 เม.ย.60 บ้านจิตสบาย
คำถามเกมส่องกระจก
คำถามเกมส่องกระจก
- ส่องกระจกแล้วเห็นอะไร
(ตอบเอง) เห็นเบลอแล้วชัด - ขณะมองภาพ จิตอยู่ที่ไหน
ตอนหลับตามันอยู่ภายใน แล้วมันดันๆ พอลืมตาก็เห็นภาพตัวเอง แล้วมันก็กลับมารู้สึกที่เท้า - ถ้าจ้องภาพในกระจกที่จุดใดจุดหนึ่งบนใบหน้า รวบรวมความรู้สึกไปที่นั่น ดูว่าจิตยอมอยู่จุดเดียวได้มั้ย ขณะนั้นรู้สึกอะไรแฝงขึ้นมาบ้าง
(ตอบเอง) มองไปที่จมูก สักพักก็ไม่สนใจ สุดท้ายเพิก กลับมารู้สึกท้ายทอยชัดแทน - ขณะจ้อง ตั้งใจจ้องให้จิตอยอู่ที่ตัว โดยที่มองภาพนั้นชัดด้วย ทำได้หรือไม่
(ตอบเอง) ได้ทีละอย่าง อย่า่งใดอย่างหนนึ่ง - ถ้าลองมองแบบไม่โฟกัส จิตอยู่ที่ไหน
(ตอบเอง) อยู่ข้างนอกนั่นล่ะ เพราะตั้งใจมองไม่ชัด
- คนใส่แว่น สังเกตกรอบแว่นก็ได้ เมื่อใดกรอบแว่นหายไป เมื่อนั้นจิตส่งออกไปแล้ว เช่น เวลาขับรถ
- สังเกตที่ใจ เมื่อเอามีตีร่างกาย ความรับรู้จะชัดขึ้นมาแว้บ ถ้าสภาวะตี กับไม่ตียังมีความเปลี่ยนแปลง มันก็ยังไม่อยู่่กะเนื้อกะตัว
- เวลาฟังเทศน์ จะมี 2 สิ่งล่อให้จิตมีความสุข นั่นคือ เสียงและอารมณ์ เช่น ลมหายใจ ใจอยู่กับสิ่งที่มีความสุขถึงสองอย่างจึงเป็นสมาธิง่าย
- ลมทำหน้าที่ของมัน ไม่เกี่ยวกะเรา
- ร่างกายทำหน้าที่ของมัน ไม่เกี่ยวกะเรา
- เวลานั่ง สนใจความรู้สึกมากกว่าลม
- รู้อารมณ์ต่อเนื่อง แต่ก็เห็นความรู้สึกควบคู่ไป
- อาหารบนโต๊ะ 10 อย่าง ชอบกินอะไรล่ะ
- ความสงบนี่เกิดจากการรู้อารมณ์เดียว ไม่ได้เพ่งอารมณ์เดียว
- ลมหายใจนั้นจะพาความรู้สึกที่ชัดเข้าไปพร้อมกันด้วย สังเกต เมื่อลมเข้าจะรู้สึกชัดขึ้นมาแล้วความชัดนั้นก็หายไป
- เวลาหายใจ ให้ใส่ใจความรู้สึกด้วย ไม่งั้นโมหะกินหมด หลับ
- การแก้ความนิ่ง คือ ถ้ารู้สึกว่านิ่ง ให้เปลี่ยนไปรู้ความเคลื่อนไหว จะได้ไม่ไปเติมความนิ่ง
- ใจที่โปร่งๆ ฟินๆ แต่ไปอยู่ในนั้น ถ้าไม่รู้ตัวให้ลอง "ตี" ตัว ถ้าจิตเปลี่ยน แปลว่า เมื่อกี้ที่คิดว่าจิตดีน่ะ มันไม่เป็นกลาง
- ใจนี้ตั้งยังไงก็ให้ผลอย่างงั้น
ถ้าทำใจแข็งๆ ก่อน แล้วเข้าไปดู ผลที่ได้ย่อมเป็นความอึดอัด
ถ้าทำใจสบายๆ ก่อน แล้วไปดู ยังไงก็สบาย - อะไรดูไม่เห็นก็ไม่จำเป็นต้องไปขวนขวายให้มันเห็น ใครชี้อะไรเพียงแค่บอกว่า ณ ตอนนั้นมีสภาวะอย่างนั้นอยู่ แต่ถ้าดูไม่ออกก็ไม่ต้องไปใส่ใจ ดูในสิ่งที่ดูออก เพราะไม่ว่าสภาวะหยาบหรือละเอียด จะเห็น อะไรสุดท้ายสอนเรื่องเดียวกัน ดูให้เห็นมุมความไม่เที่ยง ดับไป ก็เท่านั้น
- เคยมีคนไปส่งการบ้านพี่ม. แล้วพี่ม.ก็ชี้ว่ามันเป็นงี้ๆ ตัวเองมองไม่เห็น เข้าใจว่าพี่ม.ให้ไปแก้ แล้วผ่านไปเป็นเดือน เครียดมาก ทนไม่ไหว เขียนมาถาม อ.ส อ.แกก็แก้ให้บอกว่าเข้าใจผิดแล้ว พี่ม.ไม่ได้บอกให้ไปแก้ เขาแค่บอกว่าตอนนั้นมันเป็นอย่างนี้อยู่แค่นั้น ถ้าไม่เห็นก็ไม่เป็นไร
- ตนจงเป็นพยานแก่ตน ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิ
- จิตรู้อะไรก็จำอันนั้น
- ท่านว่ามาสอนธรรมนี่เหนื่อยมากนะ เคยขอลพ.เลิกมา 3 ครั้งแล้ว ลพ.บอก ไม่ให้เลิก ถ้าเหนื่อยให้พักหนึ่งปี ไปๆ มาๆ ยังไม่ถึงปีก็มีคนโทรมาเรียกให้ไปช่วยสอนก็ใจอ่อนอีก ลพ.บอก เราเป็นเทียนต้องเผาตัวเองให้แสงสว่าง ดูสิแทนที่จะปลอบใจกันนะ ตัวอ.เองไม่ได้มีนิสัยมาทางช่วยเหลือผู้คน แต่ลพ.ไม่ใช่ ท่านตั้งใจมาสอน มาช่วยพระศาสนาในช่วงวิกฤต จะเห็นว่าท่านสอนเยอะมาก ขนาดหมอห้ามเทศน์ พอท่านมีช่องนิดนึงก็เทศน์ละ
- อานาปานสติ รู้กาย หรือรู้ลม
คำตอบ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อหายใจออกรู้ชัดว่าหายใจออก เมื่อหายใจเข้ารู้ชัดว่าหายใจเข้า เราจะรู้ได้ยัังไงว่าหายใจเข้าหรือออก มันคือรู้ความกระทบกาย ก็คือรู้กายนั่นแหละ ไม่ได้ดูที่ตัวลม
--
ภาคผนวกเกม
- เกมส์ถั่วรู้หลง คือ จะมีเมล็ดถั่วให้ถ้วยนึง แล้วก็ถ้วยเปล่าอีกใบนึง จับเวลา 3 นาที ระหว่างนี้ก็พุทโธไปเรื่อยๆ แล้วถ้าเกิดหลงไปจากวิหารธรรม 1 ครั้ง ก็ให้หยิบถั่วใส่ถ้วย 1 เม็ด พอครบ 3 นาที ก็ดูว่าหลงไปมากน้อยขนาดไหน แล้วใจเป็นยังไงระหว่างท่องพุทโธ อ.ให้ลองตั้งแต่ ลมหายใจ (ทั้งแบบ ปิดตา เปิดตา), พุทโธ (แบบปิดตา เปิดตา) ขยับร่างกาย, นับลูกประคำ, ไปจนถึงไร้กระบวนท่า นั่งชิวๆ รู้ว่าหลงทีก็หยิบถั่วที ผลส่วนตัว ได้หมดถ้าสดชื่น แอบรู้สึกว่า จิตหลงแบบนับไม่ถ้วนเลย แถมไปเร็วซะจนไร้ค่าเลยล่ะ
- เกมส์ร้อยลูกปัด ก็มีลูกปัดมาให้ร้อยอ่ะแหละ ให้สังเกตว่าตอนร้อยจิตไปอยู่ที่ไหน ไหลไปที่ลูกปัดเต็มที่เลยใช่รึป่าว ว่าแล้วก็ได้ลูกประคำกลับบ้านมาเล่น 1 เส้น
- อีกเกมส์นึง คล้ายๆ วิ่งเปรี้ยวที่เล่นตอนเด็กๆ แต่แทนที่จะส่งผ้า เปลี่ยนเป็นส่งเทียนแทน ให้ผู้เล่นคอยสังเกตดูว่า ใจตอนประคองเทียนเดินไม่ให้ดับน่ะ ใจส่งไปอยู่ที่ไหน พอเล่นคล่องแล้ว ไม่ดับแล้ว คราวนี้จะมี "มาร" คอยถือพัด มาจากไหนไม่รู้ มาพัดเทียนเราดับ ให้สังเกตว่าเกิดความขัดใจมั้ย ต่อมาอีก เมื่อมีมารก็อนุญาตให้คนช่วย "ป้องกันมาร" ก็ให้คนในทีมนั่นแหละช่วยกัน ตอนแรกก็ช่วยกันประคองเทียนไปกัน 2 คน ตอนหลังมารชักเยอะ เราก็เลย อริยมรรคสมังคีเลยละกัน ทั้งทีมออกมาเลย ล้อมวงคนถือเทียน ป้องกันมาร
- แล้วก็มีอีกเกมส์นึง นั่งล้อมเป็นวงกลม มีลูกปิงปองประมาณ 10 ลูก โยนกันไปมา ให้ดูใจว่าส่งออกไปยังไง ดูทันลูกปิงปองที่วิ่งไปวิ่งมามั้ย จากนั้นมีการเรียกคนที่ติดกรรมฐานแปลกๆ เช่น ฟังเสียงหัวใจ ไปนั่งกลางวง แล้วก็ให้ทุกคนเขวี้ยงลูกปิงปองข้ามไปข้ามมาเหมือนเดิม อ.ก็ถามว่า เป็นไง ยังได้ยินเสียงหัวใจอยู่รึป่าว คือ ท่านจะชี้ว่า กรรมฐานบางอย่างอาจใช้ไม่ได้ในบางสภาวะ เช่น ฉุกเฉินอารมณ์เร็วๆ แรงๆ มาดูกายจะชัดกว่า
วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2560
สังขารในวาจา
คำพูดที่ไม่ได้ขึ้นจากความว่าง จะถูกสังขารบิดไปตลอดทางกว่าจะจบคำ
การถูกบิดไปตลอดทาง ตัวคำพูดนั้นเองก็แสดงลักษณะของสังขารอย่างครบถ้วน
เมื่อจบคำ แต่อาการสังขารยังไม่จบ อาการแสดงความอยากเห็นผลของคำพูดยังทรงอยู่
ทรงอยู่ด้วยผลของตัณหา
คำพูดที่ขึ้นจากความว่างนั้น มีลักษระ ประกอบขึ้นและสบายตัวลงไปทันที
ผู้สังเกตุไม่สามารถหยิบคว้าอะไรได้จากการพูดนั้นนอกไปจากความเบิกบานใการเป็นพยานของความลื่นไหล และเกิดดับ
พูดเสร็จก็จบลงที่ความว่าง ไม่มีอะไรให้จดจำ
เว้นเสียแต่ถูกความยินดีบางๆ แทรก จึงไปดึงคำพูดเมื่อกี้ขึ้นมารีวิว
ความยินดีในการพูดมาก ยิ่งกล่าวซ้ำในคำพูดมาก เพื่อจะกินเวทนาจากการพูด
ความคิดที่มีลักษณะไม่ชัดเจน ตัดสินใจอะไรไม่ได้เป็นเพราะอะไร
เป็นเพราะไม่รู้ว่าจริงๆ ต้องการอะไรกันแน่
เพราะอะไรจึงไม่รู้ว่าตนต้องการอะไรกันแน่
เพราะที่ผ่านมาให้ความใส่ใจถึงปัจจัยของสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นไม่แยบคายพอ
การปรากฏของสิ่งของหนึ่งอยู่ตรงหน้า แล้วติดชื่อว่า "ของเรา"
จริงๆ แล้ว ส่งผลอะไร
ความต้องการที่แท้จริงในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มาจากเพียงทางเดียวเท่านั้นคือ สิ่งนั้นสามารถเข้ามาแก้ปัญหาที่กำลังประสบได้อย่างพอเหมาะพอดี
แต่หากสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นอยู่ๆ โผล่มา แล้วปรากฏภายใต้รูป "ของเรา" ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอะไรกับมัน จึงไม่แน่ใจในท่าทีที่จะแสดงต่อมัน
จะเอามันไปทางซ้าย หรือจะเอามันไปทางขวา ก็ไม่รู้
ครั้นจะวางลงก็เสียดายด้วยความที่มันเป็น "ของเรา"
ถามว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่ได้ชื่อว่า "ได้มา" นั้น จริงๆ แล้ว "ได้" หรือว่า "เสีย"
สังเกตุเห็นความสูญเสียอิสรภาพนั้นหรือเปล่า
การถูกบิดไปตลอดทาง ตัวคำพูดนั้นเองก็แสดงลักษณะของสังขารอย่างครบถ้วน
เมื่อจบคำ แต่อาการสังขารยังไม่จบ อาการแสดงความอยากเห็นผลของคำพูดยังทรงอยู่
ทรงอยู่ด้วยผลของตัณหา
คำพูดที่ขึ้นจากความว่างนั้น มีลักษระ ประกอบขึ้นและสบายตัวลงไปทันที
ผู้สังเกตุไม่สามารถหยิบคว้าอะไรได้จากการพูดนั้นนอกไปจากความเบิกบานใการเป็นพยานของความลื่นไหล และเกิดดับ
พูดเสร็จก็จบลงที่ความว่าง ไม่มีอะไรให้จดจำ
เว้นเสียแต่ถูกความยินดีบางๆ แทรก จึงไปดึงคำพูดเมื่อกี้ขึ้นมารีวิว
ความยินดีในการพูดมาก ยิ่งกล่าวซ้ำในคำพูดมาก เพื่อจะกินเวทนาจากการพูด
ความคิดที่มีลักษณะไม่ชัดเจน ตัดสินใจอะไรไม่ได้เป็นเพราะอะไร
เป็นเพราะไม่รู้ว่าจริงๆ ต้องการอะไรกันแน่
เพราะอะไรจึงไม่รู้ว่าตนต้องการอะไรกันแน่
เพราะที่ผ่านมาให้ความใส่ใจถึงปัจจัยของสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นไม่แยบคายพอ
การปรากฏของสิ่งของหนึ่งอยู่ตรงหน้า แล้วติดชื่อว่า "ของเรา"
จริงๆ แล้ว ส่งผลอะไร
ความต้องการที่แท้จริงในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มาจากเพียงทางเดียวเท่านั้นคือ สิ่งนั้นสามารถเข้ามาแก้ปัญหาที่กำลังประสบได้อย่างพอเหมาะพอดี
แต่หากสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นอยู่ๆ โผล่มา แล้วปรากฏภายใต้รูป "ของเรา" ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอะไรกับมัน จึงไม่แน่ใจในท่าทีที่จะแสดงต่อมัน
จะเอามันไปทางซ้าย หรือจะเอามันไปทางขวา ก็ไม่รู้
ครั้นจะวางลงก็เสียดายด้วยความที่มันเป็น "ของเรา"
ถามว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่ได้ชื่อว่า "ได้มา" นั้น จริงๆ แล้ว "ได้" หรือว่า "เสีย"
สังเกตุเห็นความสูญเสียอิสรภาพนั้นหรือเปล่า
อะไรคือโกหกด้วยปรารถนาดี
สตรีโกหก ส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อให้ผู้อื่นดีใจ
บุรุษโกหก ส่วนมากเป็นไปด้วยโอ้อวด
ทำไมจึงโอ้อวด เพราะมีคนแอบดีใจจากความโอ้อวดนั้น
แล้วอะไรคือการโกหกเพราะปรารถนาดี
มันต้องดูว่า โกหกเช่นนี้แล้วใครได้ประโยชน์กันแน่
ผู้พูด หรืออีกฝ่ายกันที่ได้ประโยชน์
การโกหกครั้งนั้นอยู่ในระดับยังให้อภัยหรือเปล่า
ดูว่ามีความสมเหตุสมผลในการโกหกแค่ไหน
บางทีการโกหกมาเป็นชุดในลักษณะต่อยอดไปเรื่อยแบบช่วยไม่ได้
คือพอพูดไปเรื่องนึง แล้วต้องหาเรื่องที่ 2 ที่ 3 มาอุดช่องโหว่
บุรุษโกหก ส่วนมากเป็นไปด้วยโอ้อวด
ทำไมจึงโอ้อวด เพราะมีคนแอบดีใจจากความโอ้อวดนั้น
แล้วอะไรคือการโกหกเพราะปรารถนาดี
มันต้องดูว่า โกหกเช่นนี้แล้วใครได้ประโยชน์กันแน่
ผู้พูด หรืออีกฝ่ายกันที่ได้ประโยชน์
การโกหกครั้งนั้นอยู่ในระดับยังให้อภัยหรือเปล่า
ดูว่ามีความสมเหตุสมผลในการโกหกแค่ไหน
บางทีการโกหกมาเป็นชุดในลักษณะต่อยอดไปเรื่อยแบบช่วยไม่ได้
คือพอพูดไปเรื่องนึง แล้วต้องหาเรื่องที่ 2 ที่ 3 มาอุดช่องโหว่
วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2560
การเปลี่ยนนิสัย
当一个人爱你的时候
他是万万不放心
任何一个人来照顾你的
因为只有我才可以照顾好你
但他只是不得其法
第一控制不好自己的情绪
第二他没有做到
在指出你缺点的同时
先去帮你承担
先去帮你做
其实要让一个人改变掉某种缺点的时候
有一种方式很好用
直接让他产生愧疚
直接让他产生愧疚的方式很简单
就是你每次发现他掉东西的时候
你不是去指责她说
你这个没心眼的东西
你这丢三落四的玩意儿
不是这样
而是默默地把东西交给他
下次千万别丢了
如果钱包丢了我不在你身边怎么办
往往这样的话让人非常愧疚的
他是万万不放心
任何一个人来照顾你的
因为只有我才可以照顾好你
但他只是不得其法
第一控制不好自己的情绪
第二他没有做到
在指出你缺点的同时
先去帮你承担
先去帮你做
其实要让一个人改变掉某种缺点的时候
有一种方式很好用
直接让他产生愧疚
直接让他产生愧疚的方式很简单
就是你每次发现他掉东西的时候
你不是去指责她说
你这个没心眼的东西
你这丢三落四的玩意儿
不是这样
而是默默地把东西交给他
下次千万别丢了
如果钱包丢了我不在你身边怎么办
往往这样的话让人非常愧疚的
วันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2560
เสน่ห์อย่างหญิง
คุณอาจหลอกให้คนอื่นหลงรูปภ
แต่ไม่มีทางหลอกให้รักตัวเอ
ตราบเท่าที่รู้อยู่แก่ใจว่า
คุณลักษณ์เด่นแห่งความเป็นส
มีอยู่มากมายหลายหลาก แต่ขอเพียงคุณ
มี ‘รากฐานความเป็นเทพธิดาในฝั
ก็จะลากจูงคุณลักษณ์ความเป็
เข้ามาเองในภายหลัง
๑) ความเป็นที่ฝากใจ
เสน่ห์อย่างหญิงในข้อนี้อาจ
เรือนกายที่แบบบาง น่าทะนุถนอม
ของเธอบางคนอาจหลอกตา
เห็นยิ้มละไมแล้ว ชวนให้ทุกคนนึกว่า
เธออ่อนหวานน่ารัก น่าหนุนตัก
แต่ที่ไหนได้ เข้าใกล้เดี๋ยวเดียว
นางมารร้ายเริ่มออกจากที่ซ่
เพื่อสร้างความเป็นที่ฝากใจ
เริ่มต้นขึ้นมา ก็แค่หัดอภัยให้เป็น
อย่าเก็บเรื่องที่แล้วไปแล้
อย่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง
แล้วที่สำคัญอย่าหาเรื่องก่
เพศชายรบกันเองมากพอแล้ว
พวกเขาจึงต้องการเขตปลอดสงค
ผู้หญิงคนไหนทำตัวเป็นเขตปล
หรือดีกว่านั้น คือ เป็นเขตอภัยทานสำหรับเขา
เขาก็จะรู้สึกถึงเสน่ห์น่าเ
ร้อนเมื่อใด เป็นต้องนึกอยากมาหาความเย็
เขยิบขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง คือ
หัดรับฟังปัญหาของคนอื่น
รู้จักปลอบด้วยน้ำเสียงเยือ
อย่าถือโอกาสสั่งสอน หรือ
เผลอตัวใช้น้ำเสียงกดข่มให้
เมื่อทั้งตัวของคุณกลายเป็น
แถมเห็นช่องทางที่จะปลอบคนอ
คุณจะเป็นที่คิดถึงของคนหลา
ความเป็นที่คิดถึง
ความเป็นที่อยากฝากใจของหลา
คือ เสน่ห์อย่างหญิงที่สำคัญยิ่
๒) ความเป็นผู้ดูแล
ความเป็นผู้ดูแล คือ สิ่งที่พัฒนาต่อยอด
มาจากความเป็นที่ฝากใจ
ถ้าใจคุณแคร์คนน้อย ก็ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เล
ที่คุณจะมีความเป็นผู้ดูแล
ความเป็นผู้ดูแล
ตั้งต้นจากการเป็นผู้มีใจเม
ปรารถนาการให้ความอนุเคราะห
ในขั้นของการเป็นผู้ดูแล จึงไม่ใช่แค่พูดปลอบ
คุณต้องลงมือช่วยในทางใดทาง
เช่น หาน้ำท่า หรือเตรียมหยูกยาไว้รอบริกา
ผู้ชายจะรู้สึกดีที่สุดกับ ‘ผู้หญิงที่ดูแลเขาได้’
เป็น ‘พลังผลักดัน’ ให้เขาพุ่งไปข้างหน้าได้
มีแก่ใจสร้างครอบครัวให้เป็
..ฉะนั้น หญิงที่คิดว่าสวยอย่างเดียว
รอผู้ชายรวยๆมาเนรมิตข้าทาส
ไม่ต้องดูแลความเป็นไปในชีว
จึงไม่รู้ตัวว่า ได้มอบเสน่ห์อย่างหญิง
ให้กับฝ่ายชายไปเสียหมด!
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
► เสน่ห์อย่างชาย
แค่ความรวยอย่างเดียว ก็อาจเป็นแรงกดดัน
ให้หลายคนเข่าอ่อนยอมกายโดย
แต่ความรวยอย่างเดียว ไม่เคยมีพลังมากพอ
จะบีบใครให้ใจอ่อนยอมรักได้
คุณลักษณ์เด่นแห่งความเป็นบ
มีอยู่มากมายหลายหลาก แต่ขอเพียงคุณ
มี ‘รากฐานความเป็นวีรบุรุษ’ เพียงสองข้อ
ก็จะลากจูงคุณลักษณ์ความเป็
เข้ามาเองในภายหลัง
๑) ความเป็นที่พึ่ง
เสน่ห์อย่างชายในข้อนี้เป็น
ถ้าคุณเล่นกีฬาเก่ง ขยันฟิตซ้อมทุกวัน
ร่างกายและจิตใจดูแข็งแกร่ง
พอจะเตะตาสาวๆให้นึกอยากกรี
ต่อเมื่อพวกเธอลองมาอยู่ใกล
คุณอ่อนไหว ขี้น้อยใจ
ถือสาเอาเรื่องหยุมหยิมมาเป
แถมในกระเป๋าแทบไม่มีเงินสั
อีกทั้งยังเห็นแก่ตัว ไม่ยอมแม้จะช่วยเธอถือของหน
อย่างนี้เจอสองสามที เธอก็รู้แล้วว่า
คุณเป็นแค่ไม้หลักปักขี้เลน
เพื่อสร้างความเป็นที่พึ่ง
ให้เกิดขึ้นในตนอย่างครบวงจ
คุณจึงจำเป็นต้องหมั่นออกกำ
รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นใ
ด้วยการบำเพ็ญตนเป็นผู้อุปก
จะมากหรือน้อยก็ตาม ขอเพียงให้สม่ำเสมอเป็นพอ
ถ้าช่วยสำเร็จแต่ละครั้ง ก็เท่ากับ
สร้างเสริมภาวะทึ่พึ่งในตนเ
เมื่อทำบุญจนเกิดภาวะความเป
ไม่ว่าเดิมทีคุณจะรูปร่างหน
จิตใจคุณจะห้าวหาญขึ้น มีความหนักแน่นมั่นคงขึ้น
เต็มใจฝ่าอุปสรรคมากขึ้น
จนผู้หญิงรู้สึกได้ ถึงความเป็นเกราะกำบังคุ้มแ
หรืออย่างน้อยที่สุด คือ เห็นคุณมีดี
พอจะปกป้องเธอ ให้ความอบอุ่นกับเธอได้!
๒) ความเป็นผู้นำ
ความเป็นผู้นำ คือ
สิ่งที่พัฒนาต่อยอดมาจากควา
ถ้าคุณยังเป็นที่พึ่งให้ตนเ
ก็ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เล
คุณต้องกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าแน่ใจว่าดีแล้ว ถูกแล้ว
อย่าได้หันรีหันขวางถามใครว
ให้ลงมือทำเลย
บุญที่จะทำให้เกิดสัญชาตญาณ
เกิดจากการเป็นผู้คิดริเริ่
และทำสำเร็จ เป็นไปตามเป้าหมาย
ตลอดจนจูงใจคนรอบข้างให้เห็
ยอมให้ความร่วมมือ
และเชื่อมั่นว่าคุณรู้จักทิ
อย่างเช่นตามสถานสงเคราะห์
คุณมีสิทธิ์เปลี่ยนชีวิตของ
จากภาวะไม่รู้หนังสือ ให้กลายเป็นคนอ่านออกเขียนไ
การตั้งใจเดินทางไปเปลี่ยนช
โดยไม่มีใครขอ โดยไม่มีใครชักชวนนั่นแหละ
จุดเริ่มต้นของความเป็นผู้น
ผู้หญิงจะรู้สึกดีที่สุดกับ
หมายถึงว่านำได้ ‘ในระดับของความคิด’
เปลี่ยนความเข้าใจ เปลี่ยนวิธีมอง
ตลอดจนเปลี่ยนแปลงนิสัยบางอ
..ฉะนั้น ชายที่ทอดอาลัยตายอยากกับชี
กระทั่งลุกขึ้นประกาศหาหญิง
ที่จะมาทำให้ชีวิตของตนเปลี
จึงไม่รู้ตัวว่า ได้มอบเสน่ห์อย่างชายให้กับ
ตลอดจนนำความเป็นหญิงมาสู่ต
________________
ร้อยเรียงบทความจาก หนังสือรักแท้มีจริง
วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2560
April 6, 2012 at 7:35pm
การเลือกของขวัญที่มีคุณลักษณะพ ิเศษ 3
- ลักษณะของ
- ความสมควรตามเศรษฐกิจ
- ความสบายใจแก่ผู้รับ และผู้ให้
ทำให้การหาของขวัญไม่ใช่สิ่งที่ วันสองวันจะหาได้
วันนี้หลังจากสอดสายตามาเป็นปี ก็ไปเจอเอาที่บิ๊กซีพระราม 2
อาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ใช่ แต่คิดว่าเงื่อนไขใหญ่ๆ ผ่านหมด ได้ผู้ท้าชิงมาให้เจ้าตัวลองใส่ ดูว่าจะโอไหม
นี่แค่สิ่งของ
สิ่งที่เจ้าหาอยู่ประณีตกว่านี้ มากนัก สอดส่องเข้าไป ต้องเจอแน่นอน
วันอังคารที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2560
Reset, Reloae เมษายน 60
เมื่อฟังคนส่งการบ้าน การทาบ เปรียบเทียบดี ไม่ดี คือเรื่องราวทั้งสิ้น
ถ้ามองเป็นเหตุเป็นผลดูสภาวะ มีแต่เหตุกะผลมันจะไม่มีอะไรมากกว่านี้
รู้ทุกข์จนสะใจ ยึดแล้วทุกข์ ทำไงปล่อยได้ ก็รู้สิ
การละด้วยวิภพ คือ จะบอกว่าบอกว่าไม่เอาแล้ว ก็ไม่พ้น เพราะเจตนาจะไม่เอานั่นล่ะ คือ ความยึด
การตั้งเป้าหมายทางกายภาพ การวางแผนชีวิต ชีวิตนี้เราจะเล่นใหญ่หรือเล่นเล็ก จะเล่นง่ายหรือจะเล่นยาก จะเป็นพระราชาพร้อมกับเป็นพระโสดาบันด้วย นอกจากวางแผนยังไง อีกอย่างก็คือ ความสามารถอำนวยหรือไม่ ถ้าคิดจะใช้ชีวิตใหญ่มาก skill ในการบริหารชีวิตเป็นอย่างไร คิดว่าเศรษฐีอันดับ 11 จะอยากขึ้นอันดับ 10 มั้ย เมื่ออยู่ในเกมมักจะอดไม่ได้ ขอให้ได้อีกสักอย่างนึง อีกนิดน่า
....
ความลังเล มีพื้นฐานจากความมักง่าย ไม่ขยันให้แล้วใจ
ใจที่ไม่เบิกบาน เป็นใจที่ไม่มีคุณภาพ คุณภาพเกิดเมื่อการจัดการชีวิต กายภาพ วินัยเรียบร้อย สติสัมปชัญญะระหว่างวัน
อยู่บ้านนานติดบ้าน ออกนอกก็หงุดหงิด แบบนี้ไม่ใช่
กาย ศีล จิต เป็นพื้นฐาน
...
จำได้ก่อนจึงรู้ สัญญามาก่อนญาณ
จำอะไร
จำว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
จำว่า สัญญาในการละ
สัญญาในความคลายกำหนัด
สัญญาในความดับ
...
ความเข้าใจไม่เกี่ยวกับเห็นชัดไม่ชัด
เห็นด้วยอาการ และ เห็นด้วยปัญญา
...
ใส่จิตเป็นประธานของประโยค จิตเป็นผู้กระทำนู่นนี่ แล้วคนพูดก็ไปเชื่อว่ามีจิตจริงจังเสถียรอยู่
วิญญาณธาตุเป็นเพียงกระแสไฟฟ้าเกิดดับ
มองทุกอย่างเป็นนามธรรม เป็นการ เป็นความ การรู้เป็นธาตุกระทบธาตุ การเห็นเกิดที่ไหน
คนเห็น แมงวันเห็นไม่เหมือนกัน
รูปก็เป็นการปรุงแต่งอย่างนึง
...
ความสุขพะรุงพะรัง ต้องอาศัยพร้อพ
สมัยนี้ให้ค่าความสุขมากเกินไประวัง
ระวังการสร้างเงื่อนไขความสุขแบบหลุดโลก ต้องได้อย่างนี้เท่านั้น
ให้ค่าอุเบกขา ประมาท ไม่เห็นว่าเป็นเวทนาไม่เที่ยง เรียบง่าย เป็นคนดี ไม่ทำใครเดือดร้อน ถ้าไม่เจริญปัญญาจะกลายเป็นความขี้เกียจ ติดสบาย อะไรก็ไม่เอา เอาแต่ความสะบาย รอไม่สะบายขึ้นมาสิ
...
ส่งการบ้านว่าเห็นความคิด เป็นพรรณนาโวหาร
สำคัญคือเห็นไตรลักษณ์หรือเปล่า
...
ความมรู้เฉยๆ ก็ถึงโสดาบันได้
ตามดูทุกอย่าง ไม่เฉพาะเมื่อเกิดทุกข์ หรือเห็นเป็นปัญหา
ขี้เกียจคือทอดทิ้ง ทอดทิ้งมุมมอง
ทุกคนตั้งต้นใหม่ได้เสมอ แต่ต้องมีใจปลอดโปร่งระดับนึง บางคนคิดว่าต้องกิเลสน้อยค่อยมา อริยมรรคเดินพร้อมกิเลสนี้ล่ะ
ถ้ายังหมายมั่น ยังเทิดค่า จะยังคิด
...
รู้ทุกข์ คือรู้อุปทาน รู้ว่าความยึดเป็นทุกข์ เห็นว่ายึดขันธ์เป็นทุกข์ไม่ปลอดภัย
รู้อุปทาน แต่รู้ไม่ครบ อุปาทาน 4 ยังไม่เป็นไปโดยชอบตามธรรมวินัย บุคคลนอกศาสนาอาจรู้ทุกตัว แต่ไม่รู้จักอัตวาทุปาทาน เรียนต้องให้ครบสี่
...
เวลาปรวนแปรไม่ได้ดับไปเฉยๆ มันปรุงสิ่งอื่นขึ้นมาด้วย การยึดในกาม ผลเป็นราคานุสัย จะเอาอีก จะเอาแบบนี้
...
เธอว่างั้น ชั้นว่างี้ ของใครดีกว่า ถูกแล้วมีความสุข ผิดใจกันก็โมโห ยึดในความเห็น ไม่ยึดก็จบ ไม่แม้แต่จะพูดออกมา - ทิฏฐุปาทาน
...
ความยึดว่าต้องทำอย่างนั้นๆ ทำตามๆ กัน โดยไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ของเหตุผล ระหว่างเชื่อก็ต้องพิสูจน์ไปด้วย ต้องสำรวจเสมอ ต้องทบทวน - สีลลัพพัตตุปาทาน
...
การเห็นว่ามีตัวตนที่จะได้ จึงมีความอยาก
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน แต่ใจไม่ใช่ตัวตน เป็นคำเรียกขอบนามธรรม อาการปฏิจจสมุปบาทเป็นอาการฝ่ายนาม กายไม่เกี่ยวข้อง ใจจึงเป็นประธาน
...
รู้จักการยึดทั้งหมด ไม่รู้ว่ายึด ไม่รอด อร่อยก็รู้ว่ายึดอยู่ มีคำว่าเรา ยึดหมด อุปาทานไม่ได้มีไว้ให้ละ มีไว้ให้รู้
...
แชร์ธรรมโดยไม่ตรอง สั่งสมนิสัยมักง่าย
วิภพ คือ การไม่เอา
อวิชชาผัสสะที่มีอุเบกขาเวทนา ก็ยังมีอุปาทานต่อไปอยู่ดี
เวทนาเกิดตัณหาไม่เกิดถ้าวิชชาสัมผัส
...
กิเลสยังมีอยู่ก็อยู่ร่วมกับมันไป ระหว่างที่มันเกิดก็เรียนรู้มันไป
ถ้ามองเป็นเหตุเป็นผลดูสภาวะ มีแต่เหตุกะผลมันจะไม่มีอะไรมากกว่านี้
รู้ทุกข์จนสะใจ ยึดแล้วทุกข์ ทำไงปล่อยได้ ก็รู้สิ
การละด้วยวิภพ คือ จะบอกว่าบอกว่าไม่เอาแล้ว ก็ไม่พ้น เพราะเจตนาจะไม่เอานั่นล่ะ คือ ความยึด
การตั้งเป้าหมายทางกายภาพ การวางแผนชีวิต ชีวิตนี้เราจะเล่นใหญ่หรือเล่นเล็ก จะเล่นง่ายหรือจะเล่นยาก จะเป็นพระราชาพร้อมกับเป็นพระโสดาบันด้วย นอกจากวางแผนยังไง อีกอย่างก็คือ ความสามารถอำนวยหรือไม่ ถ้าคิดจะใช้ชีวิตใหญ่มาก skill ในการบริหารชีวิตเป็นอย่างไร คิดว่าเศรษฐีอันดับ 11 จะอยากขึ้นอันดับ 10 มั้ย เมื่ออยู่ในเกมมักจะอดไม่ได้ ขอให้ได้อีกสักอย่างนึง อีกนิดน่า
....
ความลังเล มีพื้นฐานจากความมักง่าย ไม่ขยันให้แล้วใจ
ใจที่ไม่เบิกบาน เป็นใจที่ไม่มีคุณภาพ คุณภาพเกิดเมื่อการจัดการชีวิต กายภาพ วินัยเรียบร้อย สติสัมปชัญญะระหว่างวัน
อยู่บ้านนานติดบ้าน ออกนอกก็หงุดหงิด แบบนี้ไม่ใช่
กาย ศีล จิต เป็นพื้นฐาน
...
จำได้ก่อนจึงรู้ สัญญามาก่อนญาณ
จำอะไร
จำว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
จำว่า สัญญาในการละ
สัญญาในความคลายกำหนัด
สัญญาในความดับ
...
ความเข้าใจไม่เกี่ยวกับเห็นชัดไม่ชัด
เห็นด้วยอาการ และ เห็นด้วยปัญญา
...
ใส่จิตเป็นประธานของประโยค จิตเป็นผู้กระทำนู่นนี่ แล้วคนพูดก็ไปเชื่อว่ามีจิตจริงจังเสถียรอยู่
วิญญาณธาตุเป็นเพียงกระแสไฟฟ้าเกิดดับ
มองทุกอย่างเป็นนามธรรม เป็นการ เป็นความ การรู้เป็นธาตุกระทบธาตุ การเห็นเกิดที่ไหน
คนเห็น แมงวันเห็นไม่เหมือนกัน
รูปก็เป็นการปรุงแต่งอย่างนึง
...
ความสุขพะรุงพะรัง ต้องอาศัยพร้อพ
สมัยนี้ให้ค่าความสุขมากเกินไประวัง
ระวังการสร้างเงื่อนไขความสุขแบบหลุดโลก ต้องได้อย่างนี้เท่านั้น
ให้ค่าอุเบกขา ประมาท ไม่เห็นว่าเป็นเวทนาไม่เที่ยง เรียบง่าย เป็นคนดี ไม่ทำใครเดือดร้อน ถ้าไม่เจริญปัญญาจะกลายเป็นความขี้เกียจ ติดสบาย อะไรก็ไม่เอา เอาแต่ความสะบาย รอไม่สะบายขึ้นมาสิ
...
ส่งการบ้านว่าเห็นความคิด เป็นพรรณนาโวหาร
สำคัญคือเห็นไตรลักษณ์หรือเปล่า
...
ความมรู้เฉยๆ ก็ถึงโสดาบันได้
ตามดูทุกอย่าง ไม่เฉพาะเมื่อเกิดทุกข์ หรือเห็นเป็นปัญหา
ขี้เกียจคือทอดทิ้ง ทอดทิ้งมุมมอง
ทุกคนตั้งต้นใหม่ได้เสมอ แต่ต้องมีใจปลอดโปร่งระดับนึง บางคนคิดว่าต้องกิเลสน้อยค่อยมา อริยมรรคเดินพร้อมกิเลสนี้ล่ะ
ถ้ายังหมายมั่น ยังเทิดค่า จะยังคิด
...
รู้ทุกข์ คือรู้อุปทาน รู้ว่าความยึดเป็นทุกข์ เห็นว่ายึดขันธ์เป็นทุกข์ไม่ปลอดภัย
รู้อุปทาน แต่รู้ไม่ครบ อุปาทาน 4 ยังไม่เป็นไปโดยชอบตามธรรมวินัย บุคคลนอกศาสนาอาจรู้ทุกตัว แต่ไม่รู้จักอัตวาทุปาทาน เรียนต้องให้ครบสี่
...
เวลาปรวนแปรไม่ได้ดับไปเฉยๆ มันปรุงสิ่งอื่นขึ้นมาด้วย การยึดในกาม ผลเป็นราคานุสัย จะเอาอีก จะเอาแบบนี้
...
เธอว่างั้น ชั้นว่างี้ ของใครดีกว่า ถูกแล้วมีความสุข ผิดใจกันก็โมโห ยึดในความเห็น ไม่ยึดก็จบ ไม่แม้แต่จะพูดออกมา - ทิฏฐุปาทาน
...
ความยึดว่าต้องทำอย่างนั้นๆ ทำตามๆ กัน โดยไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ของเหตุผล ระหว่างเชื่อก็ต้องพิสูจน์ไปด้วย ต้องสำรวจเสมอ ต้องทบทวน - สีลลัพพัตตุปาทาน
...
การเห็นว่ามีตัวตนที่จะได้ จึงมีความอยาก
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน แต่ใจไม่ใช่ตัวตน เป็นคำเรียกขอบนามธรรม อาการปฏิจจสมุปบาทเป็นอาการฝ่ายนาม กายไม่เกี่ยวข้อง ใจจึงเป็นประธาน
...
รู้จักการยึดทั้งหมด ไม่รู้ว่ายึด ไม่รอด อร่อยก็รู้ว่ายึดอยู่ มีคำว่าเรา ยึดหมด อุปาทานไม่ได้มีไว้ให้ละ มีไว้ให้รู้
...
แชร์ธรรมโดยไม่ตรอง สั่งสมนิสัยมักง่าย
วิภพ คือ การไม่เอา
อวิชชาผัสสะที่มีอุเบกขาเวทนา ก็ยังมีอุปาทานต่อไปอยู่ดี
เวทนาเกิดตัณหาไม่เกิดถ้าวิชชาสัมผัส
...
กิเลสยังมีอยู่ก็อยู่ร่วมกับมันไป ระหว่างที่มันเกิดก็เรียนรู้มันไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)