เมื่อฟังคนส่งการบ้าน การทาบ เปรียบเทียบดี ไม่ดี คือเรื่องราวทั้งสิ้น
ถ้ามองเป็นเหตุเป็นผลดูสภาวะ มีแต่เหตุกะผลมันจะไม่มีอะไรมากกว่านี้
รู้ทุกข์จนสะใจ ยึดแล้วทุกข์ ทำไงปล่อยได้ ก็รู้สิ
การละด้วยวิภพ คือ จะบอกว่าบอกว่าไม่เอาแล้ว ก็ไม่พ้น เพราะเจตนาจะไม่เอานั่นล่ะ คือ ความยึด
การตั้งเป้าหมายทางกายภาพ การวางแผนชีวิต ชีวิตนี้เราจะเล่นใหญ่หรือเล่นเล็ก จะเล่นง่ายหรือจะเล่นยาก จะเป็นพระราชาพร้อมกับเป็นพระโสดาบันด้วย นอกจากวางแผนยังไง อีกอย่างก็คือ ความสามารถอำนวยหรือไม่ ถ้าคิดจะใช้ชีวิตใหญ่มาก skill ในการบริหารชีวิตเป็นอย่างไร คิดว่าเศรษฐีอันดับ 11 จะอยากขึ้นอันดับ 10 มั้ย เมื่ออยู่ในเกมมักจะอดไม่ได้ ขอให้ได้อีกสักอย่างนึง อีกนิดน่า
....
ความลังเล มีพื้นฐานจากความมักง่าย ไม่ขยันให้แล้วใจ
ใจที่ไม่เบิกบาน เป็นใจที่ไม่มีคุณภาพ คุณภาพเกิดเมื่อการจัดการชีวิต กายภาพ วินัยเรียบร้อย สติสัมปชัญญะระหว่างวัน
อยู่บ้านนานติดบ้าน ออกนอกก็หงุดหงิด แบบนี้ไม่ใช่
กาย ศีล จิต เป็นพื้นฐาน
...
จำได้ก่อนจึงรู้ สัญญามาก่อนญาณ
จำอะไร
จำว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
จำว่า สัญญาในการละ
สัญญาในความคลายกำหนัด
สัญญาในความดับ
...
ความเข้าใจไม่เกี่ยวกับเห็นชัดไม่ชัด
เห็นด้วยอาการ และ เห็นด้วยปัญญา
...
ใส่จิตเป็นประธานของประโยค จิตเป็นผู้กระทำนู่นนี่ แล้วคนพูดก็ไปเชื่อว่ามีจิตจริงจังเสถียรอยู่
วิญญาณธาตุเป็นเพียงกระแสไฟฟ้าเกิดดับ
มองทุกอย่างเป็นนามธรรม เป็นการ เป็นความ การรู้เป็นธาตุกระทบธาตุ การเห็นเกิดที่ไหน
คนเห็น แมงวันเห็นไม่เหมือนกัน
รูปก็เป็นการปรุงแต่งอย่างนึง
...
ความสุขพะรุงพะรัง ต้องอาศัยพร้อพ
สมัยนี้ให้ค่าความสุขมากเกินไประวัง
ระวังการสร้างเงื่อนไขความสุขแบบหลุดโลก ต้องได้อย่างนี้เท่านั้น
ให้ค่าอุเบกขา ประมาท ไม่เห็นว่าเป็นเวทนาไม่เที่ยง เรียบง่าย เป็นคนดี ไม่ทำใครเดือดร้อน ถ้าไม่เจริญปัญญาจะกลายเป็นความขี้เกียจ ติดสบาย อะไรก็ไม่เอา เอาแต่ความสะบาย รอไม่สะบายขึ้นมาสิ
...
ส่งการบ้านว่าเห็นความคิด เป็นพรรณนาโวหาร
สำคัญคือเห็นไตรลักษณ์หรือเปล่า
...
ความมรู้เฉยๆ ก็ถึงโสดาบันได้
ตามดูทุกอย่าง ไม่เฉพาะเมื่อเกิดทุกข์ หรือเห็นเป็นปัญหา
ขี้เกียจคือทอดทิ้ง ทอดทิ้งมุมมอง
ทุกคนตั้งต้นใหม่ได้เสมอ แต่ต้องมีใจปลอดโปร่งระดับนึง บางคนคิดว่าต้องกิเลสน้อยค่อยมา อริยมรรคเดินพร้อมกิเลสนี้ล่ะ
ถ้ายังหมายมั่น ยังเทิดค่า จะยังคิด
...
รู้ทุกข์ คือรู้อุปทาน รู้ว่าความยึดเป็นทุกข์ เห็นว่ายึดขันธ์เป็นทุกข์ไม่ปลอดภัย
รู้อุปทาน แต่รู้ไม่ครบ อุปาทาน 4 ยังไม่เป็นไปโดยชอบตามธรรมวินัย บุคคลนอกศาสนาอาจรู้ทุกตัว แต่ไม่รู้จักอัตวาทุปาทาน เรียนต้องให้ครบสี่
...
เวลาปรวนแปรไม่ได้ดับไปเฉยๆ มันปรุงสิ่งอื่นขึ้นมาด้วย การยึดในกาม ผลเป็นราคานุสัย จะเอาอีก จะเอาแบบนี้
...
เธอว่างั้น ชั้นว่างี้ ของใครดีกว่า ถูกแล้วมีความสุข ผิดใจกันก็โมโห ยึดในความเห็น ไม่ยึดก็จบ ไม่แม้แต่จะพูดออกมา - ทิฏฐุปาทาน
...
ความยึดว่าต้องทำอย่างนั้นๆ ทำตามๆ กัน โดยไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ของเหตุผล ระหว่างเชื่อก็ต้องพิสูจน์ไปด้วย ต้องสำรวจเสมอ ต้องทบทวน - สีลลัพพัตตุปาทาน
...
การเห็นว่ามีตัวตนที่จะได้ จึงมีความอยาก
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน แต่ใจไม่ใช่ตัวตน เป็นคำเรียกขอบนามธรรม อาการปฏิจจสมุปบาทเป็นอาการฝ่ายนาม กายไม่เกี่ยวข้อง ใจจึงเป็นประธาน
...
รู้จักการยึดทั้งหมด ไม่รู้ว่ายึด ไม่รอด อร่อยก็รู้ว่ายึดอยู่ มีคำว่าเรา ยึดหมด อุปาทานไม่ได้มีไว้ให้ละ มีไว้ให้รู้
...
แชร์ธรรมโดยไม่ตรอง สั่งสมนิสัยมักง่าย
วิภพ คือ การไม่เอา
อวิชชาผัสสะที่มีอุเบกขาเวทนา ก็ยังมีอุปาทานต่อไปอยู่ดี
เวทนาเกิดตัณหาไม่เกิดถ้าวิชชาสัมผัส
...
กิเลสยังมีอยู่ก็อยู่ร่วมกับมันไป ระหว่างที่มันเกิดก็เรียนรู้มันไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น