องค์มรรคในโลกุตระ (มรรคจิต)
เกิดอันเดียวนี่แหละ แต่มีคุณสมบัติในการปิดกั้นตัวอื่น
เช่น สัมมาสังกัปปะในโลกุตรมรรค
ความคิดก็เกิดอันเดียวนี่แหละ
แต่ก็ได้ชื่อ 3 อพยาปาท เนกขัมมะ อวิหิงสา
คือเกิดอันเดียว แต่มีคุณสมบัติปิดกั้นโอกาสเกิดขึ้นอีกของตัวอื่น
แต่ถ้าเป็นสัมมาสังกัปปะในโลกิยมรรค
ก็คือเกิดเป็นอันๆ ไป
สัมมาวาจาที่เป็นโลกุตระ
ก็เป็นเจตสิกอันเดียว
เกิดประกอบกับองค์อื่นๆ แล้วก็ได้ชื่อ 4 เหมือนกัน (ไม่เท็จ, ไม่หยาบ, ไม่ส่อเสียด, ไม่เพ้อเจ้อ)
แต่ไม่ได้มี 4 มีอันเดียว เกิดอันเดียว
แต่อันเดียวที่เกิดสามารถป้องกันและปิดทางอีก 4 อัน
ทำให้หมดเงื่อนไขที่จะเกิดอีก 4
แต่ตอนโลกิยะนี่คือเจตนาที่จะงดเว้นเป็นอย่างๆ ไป
ตอนฝึกนี่คือต้องพยายามงดเอา
แต่พอเป็นสัมมาวาจาแบบโสดาบัน
วจีทุจริตแบบพูดเท็จก็ไม่เกิดอีก ถูกปิดโอกาสไปเลย
ในตอนเป็นองค์มรรค คือ เจตสิก 8 มารวมในจิต
แต่ในตอนเป็นโลกิยคือ ทำอย่างไร ทั้ง 8 นี้จะโต จะเจริญ
เหมือนความรู้ในตอนโลกิยะ
อริยสัจก็รู้ทีละองค์ รู้นี่เป็นทุกข์บ้าง รู้นี่เป็นเหตุบ้าง
ตอนโลกุตตระนี่ สัมมาทิฏฐิ ความรู้อันเดียวจะรู้สัจจะทั้ง 4
ยิ่งสัมมาสมาธิถ้าไม่รู้จะอธิบายเข้าป่าไป
สัมมาสมาธิในมรรคสัจจ์ อธิบายด้วยฌาน 1-2-3-4
แต่ถ้าไปอธิบายว่า จะต้องได้ฌาน 1-2-3-4 จึงจะบรรลุ (อันนี้อธิบายผิด)
ผิดเพราะเวลาองค์มรรคเกิด
สัมมาสมาธิก็คือ เอกัคตา อันเดียว ไม่ได้เกิดทั้ง 4
ความตั้งมั่นของจิตนี่มี 4 ระดับที่เป็นฐานรองรับองค์มรรคได้
เวลาเกิดมรรคจิต คือต้องได้ระดับใดระดับหนึ่ง อันเดียว
เชี่ยวอันไหนก็ได้อันนั้นแหละ
เอกัคตานี้เป็นชื่อของฌาน 1 ก็ได้
ฌาน 2 ก็ได้
ฌาน 3 ก็ได้
ฌาน 4 ก็ได้
แต่คืออันใดอันนึง
สัมมาวายามะในมรรคจิต
ก็มีอันเดียว ไม่ได้มี 4
สัมมาสติในมรรคจิต
ก็มีีอันเดียวไม่ได้มี 4 (รู้กาย, เวทนา, จิต, ธรรม)
ตอนเป็นมรรคจิตนี่ไม่ได้มี 4 อย่างนี้เป็นอารมณ์ด้วยซ้ำ
มีนิพพานเป็นอารมณ์
เป็นเจตสิกอันเดียว เกิดประกอบกับองค์มรรคอีก 7 แต่ได้ชื่อ 4 อันเลย
ซึ่งเรียกว่าเป็นการอธิบายตาม "อาหาร" ที่ได้มา
เหมือนเรียกคนคนนึง บางทีเรียกชื่อแม่ 5555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น