ป่วยเมื่อ 28 ส.ค.
เกิดจากลม
คราแรกนึกว่าปวดหลังจากออฟฟิศซินโดรมแล้ว ยืดเส้นระกำไปหน่อย เลยปวดนิดปวดหน่อยไม่สบายตัว แต่พอตอนบ่ายมีอาการปวดท้องแบบลม ถ้านั่งเฉยๆ จะหาย แต่ขยับทีรู้สึกแย่ จนตกกลางคืนก็คิดว่าสงสัยจะท้องเสียกระมัง เลยกินถ่าน ปรากฏก็ไม่มีอะไรทั้งคืน
ตื่นเช้ามาบ้านหมุนอ่อนๆ แทน สักบ่ายๆ ก็หายสนิท
สรุป หาเหตุไม่เจอ หาผลก็ไม่เจอ มาแล้วก็ไปแบบนั้นเอง
แต่ยังรู้สึกว่าเหตุยังอยู่ ดูกระเพาะจะหลั่งกรดมากกว่าปกติ การทำงานของ GI ดูต่างออกไป มีความหิวที่ทนไม่ได้ถ้าไม่ได้กินนานๆ
วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557
25-28 ส.ค.57
25-28 ส.ค.57
นั่งสมาธิเช้าเย็นเหมือนเคย ช่วงนี้มีงานที่ต้องอาศัยบารมีหลายฝ่ายในการทำ เลยมีกังวลเล็กๆ น้อยๆ กวนใจตลอดเวลา ตอนเริ่มแรกก็มีลังเลว่าจะเอาไงดี จะเอาแค่ไหนดี แต่พอทำมาประมาณนึงก็คิดว่าผลักต่อไปให้ดีที่สุดเถอะ ไม่มีประโยชน์จะมาหยุดครึ่งๆ กลางๆ ทำไปก็เรียกขวัญเรียกกำลังใจตัวเองไปด้วย อะไรที่ลังเล คิดเงียบอยู่ในหัว พอเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ก็เริ่มปรึกษาคนนู้นคนนี้ด้วยปัจจัยแม้เล็กน้อย แต่ถ้าพอจะอยู่ในเกณฑ์ที่นึกได้ก็ไม่อยากให้มันเป็นสาเหตุให้หลุด คือถ้ามันจะไม่สำเร็จก็จะไม่มีอะไรให้ติดค้างในใจว่ายังมีส่วนที่เรายังไม่ได้ทำ ให้มันแล้วใจไป ระหว่างทำก็รู้สึกว่าใจดีค่อนข้างรวม ไม่ค่อยนอกลู่นอกทาง ความรักสบายแทรกน้อยลงเป็นลำดับ แต่พองานเสร็จไปขั้นนึงแล้วมันก็กลับมาติ๊ดชึ่งเอ้อระเหย แต่ก็ปนด้วยความรู้สึกเบื่อถ้าจะปล่อยเวลาผ่านไปแบบลอยชาย
เมื่อวานป่วย รู้สึกดีที่ป่วย ไปไหนไม่ได้ ลุกหน่อยก็ปวดหลัง หันหน่อยก็ปวดท้อง ทุกอย่างทำได้แค่รัศมีมือเอื้อม พูดจาก็ค่อยๆ พูด ไม่มีแรง ก็นั่งสมาธิไป คอยระวังไม่ให้มันลงมึนโมหะด้วยเพราะอยู่ในช่วงเวลาปฏิบัติงาน เหมือนเทวดาช่วยลูกค้าไม่ค่อยมีเลยนั่งได้นานหน่อย เด็กๆ ก็ไม่ค่อยดื้อเลยไม่ต้องใช้เสียงมาก เข้าโหมดเซฟพลังกายพลังใจเต็มที่
นั่งสมาธิเช้าเย็นเหมือนเคย ช่วงนี้มีงานที่ต้องอาศัยบารมีหลายฝ่ายในการทำ เลยมีกังวลเล็กๆ น้อยๆ กวนใจตลอดเวลา ตอนเริ่มแรกก็มีลังเลว่าจะเอาไงดี จะเอาแค่ไหนดี แต่พอทำมาประมาณนึงก็คิดว่าผลักต่อไปให้ดีที่สุดเถอะ ไม่มีประโยชน์จะมาหยุดครึ่งๆ กลางๆ ทำไปก็เรียกขวัญเรียกกำลังใจตัวเองไปด้วย อะไรที่ลังเล คิดเงียบอยู่ในหัว พอเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ก็เริ่มปรึกษาคนนู้นคนนี้ด้วยปัจจัยแม้เล็กน้อย แต่ถ้าพอจะอยู่ในเกณฑ์ที่นึกได้ก็ไม่อยากให้มันเป็นสาเหตุให้หลุด คือถ้ามันจะไม่สำเร็จก็จะไม่มีอะไรให้ติดค้างในใจว่ายังมีส่วนที่เรายังไม่ได้ทำ ให้มันแล้วใจไป ระหว่างทำก็รู้สึกว่าใจดีค่อนข้างรวม ไม่ค่อยนอกลู่นอกทาง ความรักสบายแทรกน้อยลงเป็นลำดับ แต่พองานเสร็จไปขั้นนึงแล้วมันก็กลับมาติ๊ดชึ่งเอ้อระเหย แต่ก็ปนด้วยความรู้สึกเบื่อถ้าจะปล่อยเวลาผ่านไปแบบลอยชาย
เมื่อวานป่วย รู้สึกดีที่ป่วย ไปไหนไม่ได้ ลุกหน่อยก็ปวดหลัง หันหน่อยก็ปวดท้อง ทุกอย่างทำได้แค่รัศมีมือเอื้อม พูดจาก็ค่อยๆ พูด ไม่มีแรง ก็นั่งสมาธิไป คอยระวังไม่ให้มันลงมึนโมหะด้วยเพราะอยู่ในช่วงเวลาปฏิบัติงาน เหมือนเทวดาช่วยลูกค้าไม่ค่อยมีเลยนั่งได้นานหน่อย เด็กๆ ก็ไม่ค่อยดื้อเลยไม่ต้องใช้เสียงมาก เข้าโหมดเซฟพลังกายพลังใจเต็มที่
เขมานันทะ
จากท่านเขมานันทะ
"การยกมือสร้างจังหวะเป็นการบำบัด ทุกครั้งที่ยกมือ มันสั่นสะเทือนไปทุกๆ จุดทั้งตัวขึ้นมา การนั่งนิ่งนานๆ บางครั้งเจ็บไข้ได้ป่วยได้ แม้แต่นอนกลางคืน 3 ชั่วโมงก็ต้องพลิกตัว ไม่งั้นจะเกิดอาการผิดปกติ แผลที่เกิดจากการนั่งทับ ถ้าได้ขยับตัว มันก็ดีขึ้น การรู้สึกทั้งตัวคือการบำบัดตามธรรมชาติ บางครั้งผมเรียนรู้จากแมว มันนอนทั้งวัน พอมันลุกขึ้นมาก็ดัดหลังตัวเอง แล้วนอนต่อ ผมได้ประโยชน์จากแมวมาก สัตว์ทุกชนิดรู้จักการบำบัดตามธรรมชาติ"
เขมานันทะ หรือ โกวิท เอนกชัย กวี ศิลปิน นักเขียนผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติประจำปี พ.ศ.๒๕๕๐ ลูกศิษย์ท่านพุทธทาสและหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ในวัย ๗๔ ปี กับสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงนักจากโรคพาร์กินสัน แต่ด้วยการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน และใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ทำให้ท่านสามารถอยู่กับโรคนี้ได้อย่างไม่ทุกข์
ในวันชาตกาล ๑๐๐ ปีหลวงพ่อเทียน ๕ กันยายน ๒๕๕๔ อาจารย์โกวิท เล่าเรื่องแต่หนหลังที่ได้พบกับท่านพุทธทาส และหลวงพ่อเทียน ทั้งสองท่านทำให้ชีวิตของเขมานันทะเกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นการเปลี่ยนแปลงภายในครั้งยิ่งใหญ่
ท่านเล่าว่าในวัยหนุ่มก็เหมือนคนทั่วไป มีความทะเยอทะยาน อิจฉาคนอื่นโดยไม่รู้ตัว เวลาเกลียดก็ไม่รู้ตัว
"วัยหนุ่มเป็นวัยที่ไม่รู้ตัวอย่างแรงกล้า ความรู้ตัวถูกบดบังโดยสภาพแวดล้อมทางสังคม ยังไม่ได้เจอสัตบุรุษ หรือสันติบุคคล ผมนับว่ามีโชคอันหนึ่งที่ได้พบกับท่านพุทธทาส ก็เหมือนได้พบกับพลังความสงบที่ไม่เคยพบมาก่อน จึงบวชเรียนกับท่านเกือบสิบพรรษา และมาศึกษาการเจริญสติกับหลวงพ่อเทียนอีกประมาณ ๖ พรรษา ผมบวชได้ทั้งหมด ๑๖ พรรษาจึงลาสิกขา"
ท่านเล่าถึงช่วงที่พบกับหลวงพ่อเทียนครั้งแรกว่า ตอนนั้นกำลังจะไปอินเดียมาพักที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์ มีพระหลวงตารูปหนึ่งเดินทางมาจากจังหวัดเลย ชื่อ หลวงพ่อเทียน เห็นครั้งแรกก็รู้สึกเฉยๆ ท่านทองสุก เป็นพระจากสวนโมกข์ บอกว่า หลวงตารูปนี้สงบเสงี่ยมดี
"ตอนนั้นผมทำหน้าที่สอนพระบวชใหม่ หลวงพ่อเทียนสอนกรรมฐาน พระถามอะไรผมตอบได้หมด วันหนึ่งผมเทศน์จบลงมา เจอหลวงพ่อเทียนดักทางอยู่ เพราะท่านฟังด้วย ท่านถามว่า ที่อาจารย์พูด ดีจริง อยากถามข้อหนึ่ง ความรู้เหล่านี้มาจากไหน ทำให้ผมสะดุดตัวเอง ตอบไม่ได้ครับ
"หลวงพ่อเทียนคงเห็นความลังเลของผม คนรู้ธรรมะจริงไม่ลังเล คืนนั้นประมาณสี่ทุ่ม ท่านเดินไปเคาะประตูกุฏิที่ผมพักอยู่ ถามหาด้ายกับมีดโกน ซึ่งเป็นอัฐบริขาร เครื่องใช้พระ ผมเข้าใจว่าท่านต้องการด้ายไปชุนจีวร แต่ ท่านขอให้ผมดึงเส้นด้ายให้ตึง แล้วท่านเอามีดโกนตัดขาด มองหน้าผม พูดว่า อาจารย์ ถ้าไม่รู้ถึงระดับนี้ ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ผมงงเป็นไก่ตาแตก ทำให้ผมเข้าใจว่า การรู้ธรรมะคืออุปสรรคใหญ่
"จากนั้นผมถูกช่วยเหลือจากหลวงพ่อโดยรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง มาตลอด ที่รู้ตัว คือ รู้ว่าหลวงพ่อกำลังช่วย ไม่ให้ตกอยู่ในอันตราย หมายความว่า ที่จะเป็นอันตรายต่อมรรคผล ที่ไม่อันตรายคือ รู้วิธีป้องกันตัวเองแล้วเดินต่อไป คือผมเป็นคนช่างจินตนาการ เพราะฝึกตัวเองมาทางนี้ อย่างเห็นควายเดินมาสี่ตัว ใจมันนึกถึงอริยสัจสี่ คือจิตมันสร้างภาพตลอดเวลา ๑๘ ปี กับการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย เต็มไปด้วยวิชาเกี่ยวกับการสร้างภาพทั้งนั้น หลวงพ่อช่วยดับความฟุ้งซ่าน โดยการถามผมว่า นั่นอะไร นี่อะไร ให้ผมตอบเดี๋ยวนั้น โดยให้หลุดออกมาจากความฟุ้งซ่านนั้น บางทีก็ใช้วิธีดีดมือบ้าง ใช้สายตาของท่านบ้าง เป็นสื่อสัมพันธ์ที่นำผมไปสู่การเปลี่ยนแปลง "
นั่นคือการเรียกสติให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ?
"หลวงพ่อเทียนไม่ได้สอนให้หยุดความคิด แต่ให้กลับมารู้สึกตัว มันจะคิดหรือไม่คิดเป็นเรื่องของมัน ท่านช่วยสกัดกั้นกระแสความคิดของผม เป็นเวลา ๕-๖ ปีที่ผมกระทำความเข้าใจในวิธีของหลวงพ่อเทียน ครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดความล้มเหลว เพราะคิดเอาเองว่า ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วละเลยคำแนะนำเฉพาะตัว ซึ่งเป็นการสอนที่สำคัญมากที่ให้ตรงกับจริตนิสัยของผู้ภาวนา
"วันหนึ่งผมเดินจงกรมอยู่ในห้องสมุดที่นาดง จ.นครนายก เดินกลับไปกลับมา ไม่ได้กำหนดอะไร เพียงแค่ลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถไปเดินจงกรม ทันใดนั้น ผมไม่ตั้งใจจะพูดให้พิลึกพิลั่น อย่างไม่คาดคิด ผมสะอึกขึ้นมาสามครั้ง ความรู้สึกบอกว่า จะตาย ไม่เคยเป็นมาก่อน ยังให้ค่าไม่ได้ว่า มันคืออะไรกันแน่ ผมล้มทั้งยืนลงบนเก้าอี้ผ้าใบ รู้สึกทั้งร่างกายไม่มีกระดูก มันน่วมไปหมด จนเวลาอาหารเพลพอดี เด็กที่อยู่ด้วยกันเขาทำมะละกอเชื่อมให้ฉัน หวานเจี๊ยบเลย พอฉันเสร็จความรู้สึกนั้นก็หายขาด ไม่สืบต่อ นี่คือคำอธิบายย้อนหลัง
"ตอนเกิดจริงๆ ไม่เข้าใจ แต่รู้สึกว่าเวลาฉันอาหารเสร็จเอาบาตรไปล้าง ทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวรอบตัวสัมผัสได้หมดเลย อะไรที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัวจับได้หมด ผมเข้าใจว่าคงมีการบรรลุกันบ้างแหละ แต่นี่ไม่ใช่การันตี แต่มันเป็นอะไรที่ลวงล่อมากกว่า เพราะมันเกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาทั้งห้อง สมุดทุกเล่มเหลืองอร่ามหมด แต่ผมก็หลงกลมัน เพราะมันหลอกล่อ พอหยุดชะงักเท่านั้นเองไม่เกิดวิปัสสนาอะไร ผมไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อก็เอ็ดตะโรผมใหญ่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ผมรู้ไม่เท่าทันความสงบ ต่อมาผมก็เข้าใจว่า ความสงบไม่ใช่เป้าหมาย ความสงบเป็นกลลวงล่อ"
เนื้อหาสำคัญของการภาวนา อาจารย์โกวิทอธิบายว่า โดยทั่วไปเราคิดว่า เป็นโอกาสสูงส่ง ที่คนๆ หนึ่งหยั่งรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ศักดิ์สิทธิ์ ขลัง
"ตามที่ผมเข้าใจนั้น การรู้ธรรมะ รู้เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีเงื่อนไขอะไรที่จะมากำหนดว่าต้องเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เป็นผู้ที่แต่งงานแล้วหรือไม่แต่งงาน เช้า หรือเย็น หลับอยู่หรือตื่น กินข้าว การพบธรรมะเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อเราเจริญสติ"
เพราะฉะนั้นท่านบอกอย่างจริงจังว่า อย่าหมิ่นโอกาสแรก ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา ถ้าละเลยโอกาสนี้จะพลาดโอกาสสำคัญ โอกาสที่อินทรีย์ต่างๆ ยังบริบูรณ์ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นโอกาสดี สำหรับการภาวนา
"แต่เรามักประมาทในโอกาสทั้งหลาย ไม่นึกว่า ขณะที่เรานั่งรถเมล์ โอกาสที่จะดูใจ 100% เลยแต่เราไม่ได้ทำ เราพลาดโอกาสไปเรื่อย จนความตายมาเยือนก็หมดโอกาสในชาตินี้ และชาติหน้าจะมีจริงหรือไม่มีจริงไม่มีใครรับประกันได้ โอกาสทุกขณะของชีวิตมีบทบาทสำคัญ บทบาทหนึ่งก็คือให้รู้สึกตัวขึ้นมา"
"หลวงพ่อเทียนไม่ได้สอนให้หยุดความคิด แต่ให้กลับมารู้สึกตัว"จากใจ เขมานันทะ (โกวิท เอนกชัย )
"หลวงพ่อเทียนไม่ได้สอนให้หยุดความคิด แต่ให้กลับมารู้สึกตัว"จากใจ เขมานันทะ (โกวิท เอนกชัย ) : พึ่งตนพึ่งธรรม โดย มนสิกุล โอวาทเภสัชช์
"หลวงพ่อเทียนไม่ได้สอนให้หยุดความคิด แต่ให้กลับมารู้สึกตัว"จากใจ เขมานันทะ (โกวิท เอนกชัย ) : พึ่งตนพึ่งธรรม โดย มนสิกุล โอวาทเภสัชช์
"การยกมือสร้างจังหวะเป็นการบำบัด ทุกครั้งที่ยกมือ มันสั่นสะเทือนไปทุกๆ จุดทั้งตัวขึ้นมา การนั่งนิ่งนานๆ บางครั้งเจ็บไข้ได้ป่วยได้ แม้แต่นอนกลางคืน 3 ชั่วโมงก็ต้องพลิกตัว ไม่งั้นจะเกิดอาการผิดปกติ แผลที่เกิดจากการนั่งทับ ถ้าได้ขยับตัว มันก็ดีขึ้น การรู้สึกทั้งตัวคือการบำบัดตามธรรมชาติ บางครั้งผมเรียนรู้จากแมว มันนอนทั้งวัน พอมันลุกขึ้นมาก็ดัดหลังตัวเอง แล้วนอนต่อ ผมได้ประโยชน์จากแมวมาก สัตว์ทุกชนิดรู้จักการบำบัดตามธรรมชาติ"
เขมานันทะ หรือ โกวิท เอนกชัย กวี ศิลปิน นักเขียนผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติประจำปี พ.ศ.๒๕๕๐ ลูกศิษย์ท่านพุทธทาสและหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ในวัย ๗๔ ปี กับสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงนักจากโรคพาร์กินสัน แต่ด้วยการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน และใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ทำให้ท่านสามารถอยู่กับโรคนี้ได้อย่างไม่ทุกข์
ในวันชาตกาล ๑๐๐ ปีหลวงพ่อเทียน ๕ กันยายน ๒๕๕๔ อาจารย์โกวิท เล่าเรื่องแต่หนหลังที่ได้พบกับท่านพุทธทาส และหลวงพ่อเทียน ทั้งสองท่านทำให้ชีวิตของเขมานันทะเกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นการเปลี่ยนแปลงภายในครั้งยิ่งใหญ่
ท่านเล่าว่าในวัยหนุ่มก็เหมือนคนทั่วไป มีความทะเยอทะยาน อิจฉาคนอื่นโดยไม่รู้ตัว เวลาเกลียดก็ไม่รู้ตัว
"วัยหนุ่มเป็นวัยที่ไม่รู้ตัวอย่างแรงกล้า ความรู้ตัวถูกบดบังโดยสภาพแวดล้อมทางสังคม ยังไม่ได้เจอสัตบุรุษ หรือสันติบุคคล ผมนับว่ามีโชคอันหนึ่งที่ได้พบกับท่านพุทธทาส ก็เหมือนได้พบกับพลังความสงบที่ไม่เคยพบมาก่อน จึงบวชเรียนกับท่านเกือบสิบพรรษา และมาศึกษาการเจริญสติกับหลวงพ่อเทียนอีกประมาณ ๖ พรรษา ผมบวชได้ทั้งหมด ๑๖ พรรษาจึงลาสิกขา"
ท่านเล่าถึงช่วงที่พบกับหลวงพ่อเทียนครั้งแรกว่า ตอนนั้นกำลังจะไปอินเดียมาพักที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์ มีพระหลวงตารูปหนึ่งเดินทางมาจากจังหวัดเลย ชื่อ หลวงพ่อเทียน เห็นครั้งแรกก็รู้สึกเฉยๆ ท่านทองสุก เป็นพระจากสวนโมกข์ บอกว่า หลวงตารูปนี้สงบเสงี่ยมดี
"ตอนนั้นผมทำหน้าที่สอนพระบวชใหม่ หลวงพ่อเทียนสอนกรรมฐาน พระถามอะไรผมตอบได้หมด วันหนึ่งผมเทศน์จบลงมา เจอหลวงพ่อเทียนดักทางอยู่ เพราะท่านฟังด้วย ท่านถามว่า ที่อาจารย์พูด ดีจริง อยากถามข้อหนึ่ง ความรู้เหล่านี้มาจากไหน ทำให้ผมสะดุดตัวเอง ตอบไม่ได้ครับ
"หลวงพ่อเทียนคงเห็นความลังเลของผม คนรู้ธรรมะจริงไม่ลังเล คืนนั้นประมาณสี่ทุ่ม ท่านเดินไปเคาะประตูกุฏิที่ผมพักอยู่ ถามหาด้ายกับมีดโกน ซึ่งเป็นอัฐบริขาร เครื่องใช้พระ ผมเข้าใจว่าท่านต้องการด้ายไปชุนจีวร แต่ ท่านขอให้ผมดึงเส้นด้ายให้ตึง แล้วท่านเอามีดโกนตัดขาด มองหน้าผม พูดว่า อาจารย์ ถ้าไม่รู้ถึงระดับนี้ ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ผมงงเป็นไก่ตาแตก ทำให้ผมเข้าใจว่า การรู้ธรรมะคืออุปสรรคใหญ่
"จากนั้นผมถูกช่วยเหลือจากหลวงพ่อโดยรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง มาตลอด ที่รู้ตัว คือ รู้ว่าหลวงพ่อกำลังช่วย ไม่ให้ตกอยู่ในอันตราย หมายความว่า ที่จะเป็นอันตรายต่อมรรคผล ที่ไม่อันตรายคือ รู้วิธีป้องกันตัวเองแล้วเดินต่อไป คือผมเป็นคนช่างจินตนาการ เพราะฝึกตัวเองมาทางนี้ อย่างเห็นควายเดินมาสี่ตัว ใจมันนึกถึงอริยสัจสี่ คือจิตมันสร้างภาพตลอดเวลา ๑๘ ปี กับการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย เต็มไปด้วยวิชาเกี่ยวกับการสร้างภาพทั้งนั้น หลวงพ่อช่วยดับความฟุ้งซ่าน โดยการถามผมว่า นั่นอะไร นี่อะไร ให้ผมตอบเดี๋ยวนั้น โดยให้หลุดออกมาจากความฟุ้งซ่านนั้น บางทีก็ใช้วิธีดีดมือบ้าง ใช้สายตาของท่านบ้าง เป็นสื่อสัมพันธ์ที่นำผมไปสู่การเปลี่ยนแปลง "
นั่นคือการเรียกสติให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ?
"หลวงพ่อเทียนไม่ได้สอนให้หยุดความคิด แต่ให้กลับมารู้สึกตัว มันจะคิดหรือไม่คิดเป็นเรื่องของมัน ท่านช่วยสกัดกั้นกระแสความคิดของผม เป็นเวลา ๕-๖ ปีที่ผมกระทำความเข้าใจในวิธีของหลวงพ่อเทียน ครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดความล้มเหลว เพราะคิดเอาเองว่า ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วละเลยคำแนะนำเฉพาะตัว ซึ่งเป็นการสอนที่สำคัญมากที่ให้ตรงกับจริตนิสัยของผู้ภาวนา
"วันหนึ่งผมเดินจงกรมอยู่ในห้องสมุดที่นาดง จ.นครนายก เดินกลับไปกลับมา ไม่ได้กำหนดอะไร เพียงแค่ลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถไปเดินจงกรม ทันใดนั้น ผมไม่ตั้งใจจะพูดให้พิลึกพิลั่น อย่างไม่คาดคิด ผมสะอึกขึ้นมาสามครั้ง ความรู้สึกบอกว่า จะตาย ไม่เคยเป็นมาก่อน ยังให้ค่าไม่ได้ว่า มันคืออะไรกันแน่ ผมล้มทั้งยืนลงบนเก้าอี้ผ้าใบ รู้สึกทั้งร่างกายไม่มีกระดูก มันน่วมไปหมด จนเวลาอาหารเพลพอดี เด็กที่อยู่ด้วยกันเขาทำมะละกอเชื่อมให้ฉัน หวานเจี๊ยบเลย พอฉันเสร็จความรู้สึกนั้นก็หายขาด ไม่สืบต่อ นี่คือคำอธิบายย้อนหลัง
"ตอนเกิดจริงๆ ไม่เข้าใจ แต่รู้สึกว่าเวลาฉันอาหารเสร็จเอาบาตรไปล้าง ทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวรอบตัวสัมผัสได้หมดเลย อะไรที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัวจับได้หมด ผมเข้าใจว่าคงมีการบรรลุกันบ้างแหละ แต่นี่ไม่ใช่การันตี แต่มันเป็นอะไรที่ลวงล่อมากกว่า เพราะมันเกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาทั้งห้อง สมุดทุกเล่มเหลืองอร่ามหมด แต่ผมก็หลงกลมัน เพราะมันหลอกล่อ พอหยุดชะงักเท่านั้นเองไม่เกิดวิปัสสนาอะไร ผมไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อก็เอ็ดตะโรผมใหญ่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ผมรู้ไม่เท่าทันความสงบ ต่อมาผมก็เข้าใจว่า ความสงบไม่ใช่เป้าหมาย ความสงบเป็นกลลวงล่อ"
เนื้อหาสำคัญของการภาวนา อาจารย์โกวิทอธิบายว่า โดยทั่วไปเราคิดว่า เป็นโอกาสสูงส่ง ที่คนๆ หนึ่งหยั่งรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ศักดิ์สิทธิ์ ขลัง
"ตามที่ผมเข้าใจนั้น การรู้ธรรมะ รู้เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีเงื่อนไขอะไรที่จะมากำหนดว่าต้องเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เป็นผู้ที่แต่งงานแล้วหรือไม่แต่งงาน เช้า หรือเย็น หลับอยู่หรือตื่น กินข้าว การพบธรรมะเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อเราเจริญสติ"
เพราะฉะนั้นท่านบอกอย่างจริงจังว่า อย่าหมิ่นโอกาสแรก ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา ถ้าละเลยโอกาสนี้จะพลาดโอกาสสำคัญ โอกาสที่อินทรีย์ต่างๆ ยังบริบูรณ์ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นโอกาสดี สำหรับการภาวนา
"แต่เรามักประมาทในโอกาสทั้งหลาย ไม่นึกว่า ขณะที่เรานั่งรถเมล์ โอกาสที่จะดูใจ 100% เลยแต่เราไม่ได้ทำ เราพลาดโอกาสไปเรื่อย จนความตายมาเยือนก็หมดโอกาสในชาตินี้ และชาติหน้าจะมีจริงหรือไม่มีจริงไม่มีใครรับประกันได้ โอกาสทุกขณะของชีวิตมีบทบาทสำคัญ บทบาทหนึ่งก็คือให้รู้สึกตัวขึ้นมา"
อาจารย์โกวิทบอกว่า สติ เป็นการงานที่แปลกมาก เมื่อเรา
ฝึกให้ทีสติไปเรื่อยๆ วันหนึ่ง สติจะตั้งขึ้นเอง
เหมือนกับหลับแล้วก็มีสติได้จริงอย่างที่ในพระไตรปิฎกอธิบาย
"อยากจะเล่าอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือถ้อยคำที่จะพูดออกมา เพราะธรรมชาติมันไม่มีถ้อยคำจะอธิบาย ดูต้นไม้ ดูฟ้า ดูน้ำ เป็นสมมติบัญญัติทั้งสิ้น มนุษย์ได้ขึงตาข่ายของชื่อ แล้วในที่สุดสมมติบัญญัติเหล่านี้ที่มนุษย์ตั้งขึ้นก็บดบังธรรมชาติที่แท้จริงที่อยู่นอกเหนือขุมข่ายของมัน
"อยากจะเล่าอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือถ้อยคำที่จะพูดออกมา เพราะธรรมชาติมันไม่มีถ้อยคำจะอธิบาย ดูต้นไม้ ดูฟ้า ดูน้ำ เป็นสมมติบัญญัติทั้งสิ้น มนุษย์ได้ขึงตาข่ายของชื่อ แล้วในที่สุดสมมติบัญญัติเหล่านี้ที่มนุษย์ตั้งขึ้นก็บดบังธรรมชาติที่แท้จริงที่อยู่นอกเหนือขุมข่ายของมัน
ผมเคยไปนมัสการหลวงปู่ชา ท่านถามผมถึงภาคภาวนา ท่านประมวลสรุปว่า เมื่อรู้มากอย่างนี้แล้ว เราจะปฏิบัติอย่างไร
"หลวงพ่อเทียนรู้นิดเดียว ปฏิบัติมาก จับความรู้สึกตัวนิดเดียว แต่นำไปสู่เรื่องใหญ่ นำไปสู่ สิ่งที่เราคาดคิดไม่ถึง ส่วนใหญ่เรามักจะใช้ความคิดคาดเดา เสียเวลาเปล่า หลวงพ่อเทียนบอกผมเสมอ ให้รู้ตัว พอถามรายละเอียดท่านก็บอกว่า เท่านี้ ให้แกว่งมือ แล้วรู้สึกตัวว่ากำลังแกว่งมืออยู่ เท่านี้ สติจะเกิดขึ้น "
สติ นำไปสู่มรรคผลนิพพานอย่างไร เป็นเรื่องปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน จากจุดนี้ที่จะนำเราไปสู่ความพ้นทุกข์ทางใจอย่างสิ้นเชิงหรือไม่ก็อยู่ที่ว่าเราเริ่ม "รู้สึกตัว" หรือยัง และเมื่อฝึกความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง อาจารย์โกวิทบอกว่า เราจะเห็นเองว่า ทุกอย่างเป็นเพียงกระแสธรรมตามธรรมชาติเท่านั้น หามีเรา มีเขาไม่
"หลวงพ่อเทียนรู้นิดเดียว ปฏิบัติมาก จับความรู้สึกตัวนิดเดียว แต่นำไปสู่เรื่องใหญ่ นำไปสู่ สิ่งที่เราคาดคิดไม่ถึง ส่วนใหญ่เรามักจะใช้ความคิดคาดเดา เสียเวลาเปล่า หลวงพ่อเทียนบอกผมเสมอ ให้รู้ตัว พอถามรายละเอียดท่านก็บอกว่า เท่านี้ ให้แกว่งมือ แล้วรู้สึกตัวว่ากำลังแกว่งมืออยู่ เท่านี้ สติจะเกิดขึ้น "
สติ นำไปสู่มรรคผลนิพพานอย่างไร เป็นเรื่องปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน จากจุดนี้ที่จะนำเราไปสู่ความพ้นทุกข์ทางใจอย่างสิ้นเชิงหรือไม่ก็อยู่ที่ว่าเราเริ่ม "รู้สึกตัว" หรือยัง และเมื่อฝึกความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง อาจารย์โกวิทบอกว่า เราจะเห็นเองว่า ทุกอย่างเป็นเพียงกระแสธรรมตามธรรมชาติเท่านั้น หามีเรา มีเขาไม่
วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557
22-24 ส.ค.57
22-24 ส.ค.57
นั่งสมาธิเช้าเย็น ระหว่างวันดูมีสติมากขึ้น อ่อนน้อมมากขึ้น วันพระไปฟังเทศน์พระอาจารย์กฤช ท่านเล่าว่าช่วงนี้ฮิตท้าถังน้ำแข็งกัน แต่พระพุทธเจ้าท่านท้ามานานแล้วนะ อยู่ในบทพระธรรมคุณ - เอหิปัสสิโก เป็นบทท้านะ ไม่จำกัดเวลาด้วย ให้ทั้งชาติเลย ^_^
ตกเย็นก็กลับมาทำวัตรเย็นที่วัดปทุม แล้วนั่งสมาธิ มีทั้งช่วงที่จิตมืดและจิตสว่าง นั่งไปนั่งมาสงบแว้บๆ สลับกับฟุ้งซ่านเป็นช่วง ไม่รู้ตัวมันชั่วโมงกว่าแล้วเหรอเนี่ย ต๊กกะใจ
นั่งสมาธิเช้าเย็น ระหว่างวันดูมีสติมากขึ้น อ่อนน้อมมากขึ้น วันพระไปฟังเทศน์พระอาจารย์กฤช ท่านเล่าว่าช่วงนี้ฮิตท้าถังน้ำแข็งกัน แต่พระพุทธเจ้าท่านท้ามานานแล้วนะ อยู่ในบทพระธรรมคุณ - เอหิปัสสิโก เป็นบทท้านะ ไม่จำกัดเวลาด้วย ให้ทั้งชาติเลย ^_^
ตกเย็นก็กลับมาทำวัตรเย็นที่วัดปทุม แล้วนั่งสมาธิ มีทั้งช่วงที่จิตมืดและจิตสว่าง นั่งไปนั่งมาสงบแว้บๆ สลับกับฟุ้งซ่านเป็นช่วง ไม่รู้ตัวมันชั่วโมงกว่าแล้วเหรอเนี่ย ต๊กกะใจ
วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557
20/8/57
คืน 20 เช้า 21 ส.ค.
เมื่อคืนกลับบ้านไปเปิดยูทูบหลวงพ่อฟังนั่งสมาธิไปด้วยปรากฏหายไปเลยอย่างรวดเร็ว ยังจับหลวงพ่อสักประโยคยังไม่ได้เลย 555 รู้สึกตัวอีกทีก็ง๊วงง่วง พอได้เวลาจะไปนอนจริงๆ ก่อนนอนก็นั่งอีกรอบ เดินง๊วงง่วงไปนั่ง ความง่วงหายไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตา มหัศจอรอหันการันต์ยอ จิงๆ
แต่พอตื่นเช้ามา ก็มานั่งอีกดันปรากฏว่าโงก แค่ตั้งกายตรงได้ปุ๊บก็โงกทันที สังเกตว่ามันโงกพ่วงกับลมหายใจ เลยลองเอาสติไปผูกกับลมหายใจก็โงกน้อยลงจนหาย แต่ก็ได้เวลาลุกแล้วพอดีเช่นกัน
เมื่อคืนกลับบ้านไปเปิดยูทูบหลวงพ่อฟังนั่งสมาธิไปด้วยปรากฏหายไปเลยอย่างรวดเร็ว ยังจับหลวงพ่อสักประโยคยังไม่ได้เลย 555 รู้สึกตัวอีกทีก็ง๊วงง่วง พอได้เวลาจะไปนอนจริงๆ ก่อนนอนก็นั่งอีกรอบ เดินง๊วงง่วงไปนั่ง ความง่วงหายไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตา มหัศจอรอหันการันต์ยอ จิงๆ
แต่พอตื่นเช้ามา ก็มานั่งอีกดันปรากฏว่าโงก แค่ตั้งกายตรงได้ปุ๊บก็โงกทันที สังเกตว่ามันโงกพ่วงกับลมหายใจ เลยลองเอาสติไปผูกกับลมหายใจก็โงกน้อยลงจนหาย แต่ก็ได้เวลาลุกแล้วพอดีเช่นกัน
วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557
19/8/57
19 ส.ค.57
นั่งสมาธิเช้าเย็นประมาณครึ่งชั่วโมง พอจะเริ่มทรงตัวได้ก็โงกจะหลับซะงั้น เมื่อวานเล่าธรรมะที่ไปฟังจากหลวงพ่อให้เพื่อนฟัง ก็ได้มีโอกาสนั่งทบทวนตัวเองว่าทำไมไม่เข้าใจ และอะไรที่เคยเรียกว่าเข้าใจ เห็นการฟังและการไม่ฟังที่ยังต้องสังเกตกันอีกมาก
นั่งสมาธิเช้าเย็นประมาณครึ่งชั่วโมง พอจะเริ่มทรงตัวได้ก็โงกจะหลับซะงั้น เมื่อวานเล่าธรรมะที่ไปฟังจากหลวงพ่อให้เพื่อนฟัง ก็ได้มีโอกาสนั่งทบทวนตัวเองว่าทำไมไม่เข้าใจ และอะไรที่เคยเรียกว่าเข้าใจ เห็นการฟังและการไม่ฟังที่ยังต้องสังเกตกันอีกมาก
(อันนี้นอกเรื่องแป๊บ)
อันที่จริงเราสงสัยนะว่าทำไมเราจึงฟังเรื่องไม่มีตัวตนไม่เข้าใจ
ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา คำพวกเนี้ย ได้ยินทีไรจะมีความกังขามาขวางทุกที
เอาใหม่ ดูอีกทีว่าจริงๆ แล้วความกังขามาทีหลัง แต่มาติดๆ
ไอ้สิ่งอื่นที่เคยคิดว่าเข้าใจน่ะ มันแค่ไม่ได้ตามด้วยความกังขาเท่านั้นเอง มันแค่ตามด้วยความเฉยๆ
แล้วจริงๆ ความกังขาก็ไม่ได้ขวางซะทีเดียว แต่เป็นคำแสดงกิเลส ที่ถ้าแยกกันจริงๆ แล้ว การใช้คำว่า "ขวาง" แสดงถึงตัณหาว่า "อยากจะรู้เรื่อง" ซึ่งเป็นความเกินงาม และไม่พอดี
--------------
ธรรมที่ฟังจากหลวงพ่ออำนาจ
เรารักใคร เราก็ปรารถนาดีกับคนคนนั้น อยากให้เขามีความสุข มีความสุขถาวรเลยนะ ทำแบบไหนล่ะถึงจะเป็นแบบน้นได้
- Ning Cholatit
พระพุทธเจ้าท่านเคยตั้งคำถามแบบนี้ แล้วก็ออกแสวงหาคำตอบ คำตอบที่ท่านได้มา ท่านก็เอามาบอกต่อคนที่ท่านรัก ว่าทำแบบนี้ๆ ไง แล้วจะไม่มีทุกข์เลยนะ หรือแค่มีทิฏฐิบางอย่างให้ตรง เท่านั้นทุกข์ก็เหือดแห้งจากน้ำทั้งมหาสมุทรเหลือน้ำหยดเล็กๆ จากดินจากทั้งพื้นปฐพีเหลือเท่าที่ติดปลายเล็บอยู่นิดเดียวเท่านั้น คิดดูสิเทียบกันไม่ติดเลยนะ - Ning Cholatit
แต่น่าเสียดายอยู่หน่อยนะ พระพุทธเจ้าท่านใช้เวลาหาคำตอบมาถึงสี่อสงไขย ได้คำตอบแล้วก็มาบอกต่อๆ กัน คำตอบที่ท่านบอกนั้นก็แสนจะตรงไปตรงมาคนส่วนหนึ่งเท่านั้นที่มีโอกาสจะได้ฟังธรรม แต่กระนั้น แม้ในกลุ่มคนที่โอกาสได้ฟังธรรมท่านแล้ว กลับไม่ยอมทำตามที่ท่านบอก ท่านบอกอย่างหนึ่ง กลับทำเลียบๆ เคียงๆ ไปอีกอย่างนึง เหมือนขี่ม้าเลียบกำแพง ไม่ยอมเข้าเมืองสักที - Ning Cholatit
พระพุทธเจ้าจึงท้อพระทัย ทุกพระองค์ก็เคยท้อพระทัยลักษณะนี้ ด้วยธรรมเป็นของละเอียด ผู้มีวิสัยแห่งบัณฑิตจึงจะเข้าถึงได้ เราทั้งหลายล่ะ ที่มานั่งอยู่นี่ไม่ได้มีวิสัยแห่งบัณฑิตหรอกหรือจึงไม่ทำตามอย่างท่านพูด หรือมีทิฏฐิมากนักหรือจึงไม่เห็นในสิ่งที่ท่านสอน - Ning Cholatit
พระโสดาบัณไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากพวกเรา เขาแค่เห็นความจริงว่ามันไม่มีเรา จึงได้ละความเห็นว่ามีตัวมีตน แค่มีความเห็นที่ถูกเท่านั้นเองไม่ได้สอนให้ละความยึดมั่นอะไรเลย เพราะอะไร เพราะยังไม่มีกำลังมันก็ยังละไม่ได้ก็เท่านั้น เพียงแต่ว่าเมื่อมันเห็นถูกแล้ว การจะไปหลงคิดหลงยึดถือมากมายก่ายกองมันจะไม่เกิด ไม่ใช่ไม่เกิดเลย เพียงแต่ไม่ได้เลยเถิดไปก่อทุกข์มาชีช้ำระกำตัว เพราะมันก็เคยเห็นแล้วว่าไม่มีตัว จะให้ไปคิด พูด ทำแบบมีตัวมันก็ทำไม่ได้ - Ning Cholatit
พระโสดาบัณจะมีสองกลุ่มนะ กลุ่มนึงเรียกว่าสัทธานุสารี เป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า ศรัทธาในพระพุทธเจ้า ตัวเองยังไม่รู้ไม่เห็นหรอก แต่ศรัทธา ศรัทธามาก ท่านพูดท่านสอนอะไรก็น้อมกายน้อมใจ ทำตามที่ท่านสอน ไม่ดื้อ แล้วก็เห็นตามนั้นอีกกลุ่มเรียกว่าธัมมานุสารี เป็นผู้มีปัญญา ท่านสอนแล้วเห็นตามดังนั้น ก็เกิดสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกก็เท่านั้น
- Ning Cholatit
เพราะฉะนั้นอย่าดื้อ อย่าสงสัย พระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร เราก็ทำตามนั้น พิสูจน์ตามนั้น มันจึงจะเห็นผลตามนั้น มัวแต่ดื้อ มัวแต่คิด แต่สงสัย ทิฏฐิเหล่านี้เองที่ขวางเราไม่ให้เห็นสิ่งที่ตรงไปตรงมาสิ่งที่อยู่ใจเหล่านี้ มันจะทำให้คอยคิดเทียบเคียง พระพุทธเจ้าท่านบอก ท่านชี้อะไร ความดื้อ ความสงสัยจะคอยดึงขึ้นมาเทียบ ว่าลงล็อคกับสิ่งที่เราเคยรู้มั้ย สุดท้ายคือไม่ได้มองตามที่ท่านชี้ น่าเสียดายเชิญพ่อครัวมาจากอิตาลี มาทำสปาเก็ตตี้ให้กิน ทำมา 5 ปี ไม่มีใครกิน น่าท้อมั้ยล่ะ - Ning Cholatit
เมื่อวานตอนหลวงพ่อเทศ ท่านมีอุปกรณ์ประกอบ เป็นแก้วกาแฟกับช้อน เคาะเรื่อยๆ เกือบทั้งชั่วโมงการบรรยาย เคาะให้เกิดเสียงไปพลาง ดูสภาวะไปพลางปิ๊งงงงง~~~ช้อนมีเรามั้ย แก้วกาแฟมีเรามั้ย กระทบกันเกิดเป็นการสั่นสะเทือนเป็นเสียง มีสิ่งหนึ่งไปรับรู้การสั่นสะเทือนนั้นดูดีๆ ทั้งหมดนี้เป็นปฏิกิริยาต่อเนื่อง เป็นกระบวนการที่อะไรบางอย่างมารวมกันเท่านั้น รวมกันชั่วคราว การสั่นสะเทือนหยุด เสียงดับไปเราอยู่ที่ไหน มีด้วยหรือ หรือแค่ดังอยู่ในความคิดพากย์ตามทั้งหมดนี้ - Ning Cholatit
เมื่อหูกระทบเสียงพร้อมวิญญาณไปรับรู้เกิดเป็นผัสสะ ในองค์ประกอบทั้งหมด ไม่ได้มีเรา ไม่ได้มีตัวตนเวทนา ความรู้สึกชอบไม่ชอบ จะไปมีตัวตนไปได้อย่างไร ในเมื่อต้นกำเนิดมันไม่ได้มีตัวมีตนอะไรตัณหา ความอยากต่อเวทนานั้นที่เกิดสืบมา ก็จะไปมีตัวตนไปได้อย่างไร ก็ในเมื่อพ่อแม่มันไม่ได้มีตัวตน - Ning Cholatit
เคาะอีกปิ๊งงงงง~~~เสียงเกิดเสียงดับ วิญญาน (การรับรู้) เกิด วิญญาณดับถามว่าคนบนโลก 7 พันล้านคน มีวิญญาณ 7 พันล้านดวงรึป่าว?ปิ๊งงงงง~~~ปิ๊งงงงง~~~ปิ๊งงงงง~~~ เห็นรึป่าวยิบยับไปหมด การรับรู้เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับตลอดเวลา วิญญาณมีนับไม่ถ้วน
และไม่ได้มีเป็นดวงๆ ด้วย สั่นไหวแล้วดับ สั่นไหวแล้วดับ อยู่อย่างนั้น
เห็นดับ เห็นดับ ธรรมของพระพุทธเจ้าอันนี้ ถ้าเปรียบกับยิงปืนอันนี้เรียกว่ายิงไว
- Ning Cholatit
ถามว่า ถ้าผัสสะในปัจจุบันเกิดแล้วดับอย่างนี้ ในอดีตที่ผ่านมามันได้เกิดแล้วดับอย่างนี้หรือเปล่า แล้วถ้าจะมีการกระทบแบบนี้เกิดขึ้นในอนาคตมันก็จะเกิดดับๆ อย่างนี้มั้ยมันก็เป็นอยู่อย่างนี้นั่นล่ะอันนี้เรียกว่ายิงไกล คือ เห็นทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต
- Ning Cholatit
เมื่อเห็นจากผัสสะเกิดแล้วดับ (ไม่มีตัวตน) ไปสู่เวทนา - ความรู้สึกพอใจ/ไม่พอใจ/เฉยๆ เกิด-ดับ (ไม่มีตัวตน) ไปสู่ตัณหา - ความอยากจะให้มันคงอยู่/หายไป เกิด - ดับ (ไม่มีตัวตน) ไปสู่อุปาทาน - ความยึดที่จะไปเป็นอย่างนั้น เกิด - ดับ (ไม่มีตัวตน) ไปสู่ภพ - ความถือที่จะเอาอย่างนั้นให้ได้ เกิด - ดับ (ไม่มีตัวตน) ชาติ ชรา มรณะ ก็เกิด - ดับ (ไม่มีตัวตน)รู้ที่เดียว วางทั้งกระบวนสายที่นำไปสู่ความทุกข์ อันนี้เรียก ยิงถล่ม
วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557
การบ้าน 17-18 ส.ค.57
17-18 ส.ค.57
นั่งสมาธิเช้าเย็นประมาณครึ่งชั่วโมง
ช่วงนี้ความจำไม่ค่อยทำงาน ต่อให้นั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไรนิดๆ หน่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้มีกะใจจะไปนึกให้มันจำได้แล้วภาคภูมิใจว่า "วันนี้ฉันได้รู้อะไรเพิ่มเติมด้วยนะ" เหมือนที่ผ่านมา
วันนี้นั่งเพ่งโทษชาวบ้านอยู่เนืองๆ เวลาเห็นการกระทำที่ไม่รับผิดชอบในหน้าที่แล้วหนูจะปึ๊ดแบบเอาลงลำบาก โดยเฉพาะเวลาเห็นใครเลยเกณฑ์ขั้นต่ำที่พึงมีพึงทำแล้วแทบจะกระโดดไปกัดหัวเขาเลย พยาบาทไปเร็วมาก เลยต้องแยกตัวเข้าเขตกักกันก่อนจะไปทำร้ายคนเข้า อันที่จริงตอนแรกอยู่ระหว่างกึ่งๆ ไม่โกรธ เรียกว่าอยู่ในทางแยกยังเลือกได้ มาเสร็จโจรเอาตอนที่คิดซ้ำนี่แหละ
ตอนเย็นไปฟังธรรมหลวงพ่ออำนาจ ท่านสอนเรื่อง อายตนะ6 ผัสสะ6 วิญญาณ6 ดูจิตจะจดกับคำว่าวิญญาณเป็นพิเศษ วิญญาณเกิดดับ วิญญาณเป็นอนัตตา กลืนไปก่อนไว้หาทางขย้อนออกมาเคี้ยวเอื้องอีกที
นั่งสมาธิเช้าเย็นประมาณครึ่งชั่วโมง
ช่วงนี้ความจำไม่ค่อยทำงาน ต่อให้นั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไรนิดๆ หน่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้มีกะใจจะไปนึกให้มันจำได้แล้วภาคภูมิใจว่า "วันนี้ฉันได้รู้อะไรเพิ่มเติมด้วยนะ" เหมือนที่ผ่านมา
วันนี้นั่งเพ่งโทษชาวบ้านอยู่เนืองๆ เวลาเห็นการกระทำที่ไม่รับผิดชอบในหน้าที่แล้วหนูจะปึ๊ดแบบเอาลงลำบาก โดยเฉพาะเวลาเห็นใครเลยเกณฑ์ขั้นต่ำที่พึงมีพึงทำแล้วแทบจะกระโดดไปกัดหัวเขาเลย พยาบาทไปเร็วมาก เลยต้องแยกตัวเข้าเขตกักกันก่อนจะไปทำร้ายคนเข้า อันที่จริงตอนแรกอยู่ระหว่างกึ่งๆ ไม่โกรธ เรียกว่าอยู่ในทางแยกยังเลือกได้ มาเสร็จโจรเอาตอนที่คิดซ้ำนี่แหละ
ตอนเย็นไปฟังธรรมหลวงพ่ออำนาจ ท่านสอนเรื่อง อายตนะ6 ผัสสะ6 วิญญาณ6 ดูจิตจะจดกับคำว่าวิญญาณเป็นพิเศษ วิญญาณเกิดดับ วิญญาณเป็นอนัตตา กลืนไปก่อนไว้หาทางขย้อนออกมาเคี้ยวเอื้องอีกที
วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557
15-16 ส.ค.57
15-16 ส.ค.57
นั่งสมาธิเช้า-เย็น ประมาณครึ่งชั่วโมง ไปนั่งที่วัดบ้างตามโอกาส ระหว่างนั่งรอรถที่ป้ายรถเมล์มีสังเกตเห็นกล้ามเนื้อเกร็งตามความคิดบางอย่างที่จรมาแล้วก็คลายเมื่อรู้ สักพักเกร็งอีกแล้วก็คลาย
นั่งสมาธิเช้า-เย็น ประมาณครึ่งชั่วโมง ไปนั่งที่วัดบ้างตามโอกาส ระหว่างนั่งรอรถที่ป้ายรถเมล์มีสังเกตเห็นกล้ามเนื้อเกร็งตามความคิดบางอย่างที่จรมาแล้วก็คลายเมื่อรู้ สักพักเกร็งอีกแล้วก็คลาย
วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557
การบ้าน 14/8/57
14/8/57-เช้า 15/8/57
นั่งสมาธิเย็นครึ่งชม. นั่งสมาธิเช้า 1 ชม. เหมือนจะเริ่มเห็นลางๆ ว่าทำไมศีลจึงเป็นบาทฐานของสมาธิ เพราะมีด่าคนในสมาธิ ใจมันฟุ้งเป็นเรื่องไปคิดจนด่าไปมันขุ่นขึ้นอย่างนี้เอง ได้สติก็กลับไปใสเหมือนเดิม
ตอนเย็นมีผู้ใหญ่มาคุยเรื่องงาน เห็นความชอบใจในความตรงไปตรงมาของเขา และก็เห็นความไหลบางอย่างในตัวเอง มันเหมือนกระแสเงียบๆ ไม่รู้มันทำอะไร แต่เห็นมันไหลแบบ ใครพูดอะไรมาก็ดีหมด ถูกหมด และเผินๆ เหมือนจะดีสงบนิ่งไม่ชนกับใคร แต่เหมือนมันค่อยๆ ไหลห่างจากหลักการอะไรบางอย่างบอกไม่ถูก ให้ภาพคล้ายกับตอนที่นั่งสมาธิแล้วกายค่อยๆ หนีเวทนาจนค่อยๆ ห่างจากแกนกลางแบบไม่รู้ตัวอย่างนั้น
นั่งสมาธิเย็นครึ่งชม. นั่งสมาธิเช้า 1 ชม. เหมือนจะเริ่มเห็นลางๆ ว่าทำไมศีลจึงเป็นบาทฐานของสมาธิ เพราะมีด่าคนในสมาธิ ใจมันฟุ้งเป็นเรื่องไปคิดจนด่าไปมันขุ่นขึ้นอย่างนี้เอง ได้สติก็กลับไปใสเหมือนเดิม
ตอนเย็นมีผู้ใหญ่มาคุยเรื่องงาน เห็นความชอบใจในความตรงไปตรงมาของเขา และก็เห็นความไหลบางอย่างในตัวเอง มันเหมือนกระแสเงียบๆ ไม่รู้มันทำอะไร แต่เห็นมันไหลแบบ ใครพูดอะไรมาก็ดีหมด ถูกหมด และเผินๆ เหมือนจะดีสงบนิ่งไม่ชนกับใคร แต่เหมือนมันค่อยๆ ไหลห่างจากหลักการอะไรบางอย่างบอกไม่ถูก ให้ภาพคล้ายกับตอนที่นั่งสมาธิแล้วกายค่อยๆ หนีเวทนาจนค่อยๆ ห่างจากแกนกลางแบบไม่รู้ตัวอย่างนั้น
การบ้าน 6-13 ส.ค.
6-8 ส.ค.57
กองกำลังฝ่ายกุศลพ่ายแพ้ให้ฝ่ายกิเลส ไปติดหนังเข้าเลย ไม่ได้ส่งการบ้านค่ะ
9-13 ส.ค.57
ไปเข้าคอร์สที่วัดบางปลากด โดนจับนั่งสมาธิอย่างนานและเยอะอย่างไม่เคยทำมาก่อน เพราะนั่งคนเดียวมันบังคับตัวเองไม่ได้ขนาดนั้น เลยได้เรียนเกี่ยวกับเวทนามาพอสมควร มันเป็นอะไรที่ไหลได้ เปลี่ยนที่ได้ หายตัวได้เป็นพักๆ แต่ยิงกลับมาไม่ยั้งอย่างรวดเร็วเป็นจังหวะๆ แล้วทั้งกายทั้งจิตก็ทำอะไรขำๆ ในการหนีเวทนา เช่น คุณกายก็ค่อยๆ ไหลไปทีละขณะๆ ช้าๆ ย้ายจุดสัมผัสทีละนิดๆ เกร็งตรงนู้นนิด สลับมาเกร็งตรงนี้หน่อย คือมีการกระทำอยู่ตลอด ส่วนคุณจิตก็เสือกไปยุ่งกับเวทนาจั๊งงง พอใส่ปวดหนอ ปวดหนอ เข้าไปข่มลงได้สักพัก ไปยุ่งกับเขาอีกแล้ว ใจมันก็ไหวๆ อยู่กลางอก คือมันทนไม่ได้ไอ้ตรงไหวๆ เนี่ยแหละ นั่งชักเย่อกะมัน ทรม๊าน ทรมาน
บางรอบใช้วิธีลงมือก่อนได้เปรียบ นั่งปุ๊บก่อนจะปวดก็ใส่เกียร์หมาโกยอ้าวมาอยู่แถวๆ หัว คือหนีจากขาจุดเกิดเวทนาให้ไกลที่สุดว่างั้น ก็อยู่นิ่งได้นานขึ้นคลอเคลียกับพลังอัดหน้า ไม่ก็ลมหายใจไป สักพักก็...ปวดดดดดด~~~ กลับเข้าวงจรหนีหัวซุกหัวซุนทั้งกายทั้งใจ
มีอยู่วิชานึง ครูให้ลองจับน้ำแข็ง ตอนแรกจับเฉยๆ ก็ปวดจี๊ดร้าวตั้งแต่แขนถึงใจ ครูให้เอาใหม่ครูนำเสียงว่าเย็นหนอ เย็นหนอ วางใจให้สบายๆ เย็นสบาย เย็นสบาย มันก็ทนได้ ไอ้ความร้าวถึงใจก็ไม่มี เวทนาก็อยู่แต่ที่มือที่จับน้ำแข็งแล้วมันก็อย่างนั้นๆ แยกออก ไม่ใช่เรา เย็นก็เย็นไป เราก็นั่งชิวๆ
คราวนี้ครูให้ใช้วิธีเดียวกันกับการนั่งสมาธิบ้าง ผลคือ มันก็ได้ผลบ้างในช่วงแรก แต่ด้วยสัญญาเก่ามันก็ผนวกกับเวทนาใหม่ ก็ปวดร้าวถึงใจเหมือนเดิม นั่งชักกะเย่อกะมันไปตามวิบาก สักพักครูก็ว่า "ไม่ได้ห้ามไม่ให้เปลี่ยนท่านะ" เราได้ทีไม่ไหวแล้วเลยเปลี่ยนซะ ผลคือ พอได้เปลี่ยนครั้งนึงมันเปลี่ยนไม่หยุดเลย
มีโอกาสส่งสภาวะกับพระอาจารย์ประสงค์ ท่านก็เมตตาว่า ไม่ใช่ไปนั่งชักกะเย่อกะมันแบบนั้นนะ ค่อยๆ ดูไป เห็นทุกข์สนุกดีนะ พอปวดสุดๆ แล้วมันหายปวด กลัวสุดๆ แล้วมันหายกลัว น่าอัศจรรย์มากนะ พวกนี้ถ้าเราไม่เห็นเองนะ คนอื่นบอกเราไม่เชื่อหรอก ค่อยๆ ดูไปนะ เห็นทุกข์สนุกดี ได้กำลังใจขึ้นมาบาน
จนแล้วจนรอดจนหมดคอร์สก็ผ่านเวทนาไม่ได้ ครูก็ยิ้มให้กำลังใจว่าเพราะจะเอาผ่านเนี่ยแหละเลยใจไม่เป็นกลางก็เป็นเราปวด เราปวดอยู่นั่นแล
หลายครั้งในคอร์สครูเน้นเรื่องความอ่อนน้อม และให้ระวังการปรามาสให้มาก เพราะยุคนี้พระนอกเครื่องแบบก็ไม่น้อย เห็นใครปฏิปทาอย่างไรมันก็เรื่องของเขา ให้ดูตัวเองอย่าเอาใจไปแส่ พวกความคิดหมิ่น เหยียด เรื่องนี้ฉันรู้แล้ว ทำไมทำแบบนี้ทำไมไม่ทำแบบนั้น ฯลฯ เป็นทิฏฐิมานะทั้งสิ้น
สภาวจิตระหว่างอยู่วัดค่อนข้างเฉย ปิดวาจา ก็ตั้งใจไว้ว่าจะปิดทั้งภายนอกภายใน ข้างในก็พูดค่อนข้างน้อย ความคิดไม่ค่อยมี มีเสียงเพลงหลงๆ มาเบาๆ จากการที่ติดหนังก่อนมาวัดบ้าง แต่แปลกที่เพลงที่ดังมันไม่ใช่เพลงจากหนัง แล้ววันไหนเปิดเพลงไหนก็จะเล่นแต่เพลงนั้น ไม่ได้ถือเป็นสาระเลยไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาตัดให้ดับอยากดังก็ดังไป รู้ทีก็หายทีแล้วก็ดังใหม่ พอทรุดตัวลงนอนจากหัวว่างๆ ก็เหมือนมีพลังงานอะไรวิ่งไปมาเกือบจะเกิดเป็นภาพแต่สะเปะสะปะ นึกขำๆ ของเรารึของใครว๊า แต่ไม่สนจะนอน
มีอยู่วิชาหนึ่งครูใช้การนำสมาธิให้เกิดภาพ ให้จินตนาการว่าเนี่ยอีก 24 ชม. เราจะต้องไปแล้ว ยังมีห่วงใครหรืออะไรอีก ให้ร่ำลาเสียให้เรียบร้อย หนูก็เห็นภาพแม่แล้วน้ำตาก็ไหลไม่หยุด ที่จริงในมโนเห็นแม่ยิ้มให้ด้วยซ้ำ แต่เป็นฝ่ายตัวเองต่างหากที่ตัดใจจากเขาไม่ได้ เราก็บอกเขาว่าเราไปแล้วนะ ตั้งสติขึ้นมา แล้วให้เดินเข้าป่า เสียงครูนำให้เราไปนั่งที่ต้นไม้ ทันใดนั้นก็มีเสียงสวบๆ ใกล้เข้ามา ปรากฏเป็นงูฉกมาปุ๊บเราก็ตาย ครูนำให้เกิดภาพศพเราค่อยๆ เน่าๆ ไป ตามกระบวนการ ผลคือทำให้เราได้เห็นว่าเรารักกายเยอะนี้มากกว่าที่คิด และยึดติดกับกายมากกว่าที่เคยเข้าใจ เกิดเป็นคำถามขึ้นมาว่า หากในเวลาคับขันที่เลือกได้เพียงอย่างเดียวนั้นตัวเราจะเลือกรักษาศีลหรือรักษาชีวิตก่อนกันแน่หนอ
กองกำลังฝ่ายกุศลพ่ายแพ้ให้ฝ่ายกิเลส ไปติดหนังเข้าเลย ไม่ได้ส่งการบ้านค่ะ
9-13 ส.ค.57
ไปเข้าคอร์สที่วัดบางปลากด โดนจับนั่งสมาธิอย่างนานและเยอะอย่างไม่เคยทำมาก่อน เพราะนั่งคนเดียวมันบังคับตัวเองไม่ได้ขนาดนั้น เลยได้เรียนเกี่ยวกับเวทนามาพอสมควร มันเป็นอะไรที่ไหลได้ เปลี่ยนที่ได้ หายตัวได้เป็นพักๆ แต่ยิงกลับมาไม่ยั้งอย่างรวดเร็วเป็นจังหวะๆ แล้วทั้งกายทั้งจิตก็ทำอะไรขำๆ ในการหนีเวทนา เช่น คุณกายก็ค่อยๆ ไหลไปทีละขณะๆ ช้าๆ ย้ายจุดสัมผัสทีละนิดๆ เกร็งตรงนู้นนิด สลับมาเกร็งตรงนี้หน่อย คือมีการกระทำอยู่ตลอด ส่วนคุณจิตก็เสือกไปยุ่งกับเวทนาจั๊งงง พอใส่ปวดหนอ ปวดหนอ เข้าไปข่มลงได้สักพัก ไปยุ่งกับเขาอีกแล้ว ใจมันก็ไหวๆ อยู่กลางอก คือมันทนไม่ได้ไอ้ตรงไหวๆ เนี่ยแหละ นั่งชักเย่อกะมัน ทรม๊าน ทรมาน
บางรอบใช้วิธีลงมือก่อนได้เปรียบ นั่งปุ๊บก่อนจะปวดก็ใส่เกียร์หมาโกยอ้าวมาอยู่แถวๆ หัว คือหนีจากขาจุดเกิดเวทนาให้ไกลที่สุดว่างั้น ก็อยู่นิ่งได้นานขึ้นคลอเคลียกับพลังอัดหน้า ไม่ก็ลมหายใจไป สักพักก็...ปวดดดดดด~~~ กลับเข้าวงจรหนีหัวซุกหัวซุนทั้งกายทั้งใจ
มีอยู่วิชานึง ครูให้ลองจับน้ำแข็ง ตอนแรกจับเฉยๆ ก็ปวดจี๊ดร้าวตั้งแต่แขนถึงใจ ครูให้เอาใหม่ครูนำเสียงว่าเย็นหนอ เย็นหนอ วางใจให้สบายๆ เย็นสบาย เย็นสบาย มันก็ทนได้ ไอ้ความร้าวถึงใจก็ไม่มี เวทนาก็อยู่แต่ที่มือที่จับน้ำแข็งแล้วมันก็อย่างนั้นๆ แยกออก ไม่ใช่เรา เย็นก็เย็นไป เราก็นั่งชิวๆ
คราวนี้ครูให้ใช้วิธีเดียวกันกับการนั่งสมาธิบ้าง ผลคือ มันก็ได้ผลบ้างในช่วงแรก แต่ด้วยสัญญาเก่ามันก็ผนวกกับเวทนาใหม่ ก็ปวดร้าวถึงใจเหมือนเดิม นั่งชักกะเย่อกะมันไปตามวิบาก สักพักครูก็ว่า "ไม่ได้ห้ามไม่ให้เปลี่ยนท่านะ" เราได้ทีไม่ไหวแล้วเลยเปลี่ยนซะ ผลคือ พอได้เปลี่ยนครั้งนึงมันเปลี่ยนไม่หยุดเลย
มีโอกาสส่งสภาวะกับพระอาจารย์ประสงค์ ท่านก็เมตตาว่า ไม่ใช่ไปนั่งชักกะเย่อกะมันแบบนั้นนะ ค่อยๆ ดูไป เห็นทุกข์สนุกดีนะ พอปวดสุดๆ แล้วมันหายปวด กลัวสุดๆ แล้วมันหายกลัว น่าอัศจรรย์มากนะ พวกนี้ถ้าเราไม่เห็นเองนะ คนอื่นบอกเราไม่เชื่อหรอก ค่อยๆ ดูไปนะ เห็นทุกข์สนุกดี ได้กำลังใจขึ้นมาบาน
จนแล้วจนรอดจนหมดคอร์สก็ผ่านเวทนาไม่ได้ ครูก็ยิ้มให้กำลังใจว่าเพราะจะเอาผ่านเนี่ยแหละเลยใจไม่เป็นกลางก็เป็นเราปวด เราปวดอยู่นั่นแล
หลายครั้งในคอร์สครูเน้นเรื่องความอ่อนน้อม และให้ระวังการปรามาสให้มาก เพราะยุคนี้พระนอกเครื่องแบบก็ไม่น้อย เห็นใครปฏิปทาอย่างไรมันก็เรื่องของเขา ให้ดูตัวเองอย่าเอาใจไปแส่ พวกความคิดหมิ่น เหยียด เรื่องนี้ฉันรู้แล้ว ทำไมทำแบบนี้ทำไมไม่ทำแบบนั้น ฯลฯ เป็นทิฏฐิมานะทั้งสิ้น
สภาวจิตระหว่างอยู่วัดค่อนข้างเฉย ปิดวาจา ก็ตั้งใจไว้ว่าจะปิดทั้งภายนอกภายใน ข้างในก็พูดค่อนข้างน้อย ความคิดไม่ค่อยมี มีเสียงเพลงหลงๆ มาเบาๆ จากการที่ติดหนังก่อนมาวัดบ้าง แต่แปลกที่เพลงที่ดังมันไม่ใช่เพลงจากหนัง แล้ววันไหนเปิดเพลงไหนก็จะเล่นแต่เพลงนั้น ไม่ได้ถือเป็นสาระเลยไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาตัดให้ดับอยากดังก็ดังไป รู้ทีก็หายทีแล้วก็ดังใหม่ พอทรุดตัวลงนอนจากหัวว่างๆ ก็เหมือนมีพลังงานอะไรวิ่งไปมาเกือบจะเกิดเป็นภาพแต่สะเปะสะปะ นึกขำๆ ของเรารึของใครว๊า แต่ไม่สนจะนอน
มีอยู่วิชาหนึ่งครูใช้การนำสมาธิให้เกิดภาพ ให้จินตนาการว่าเนี่ยอีก 24 ชม. เราจะต้องไปแล้ว ยังมีห่วงใครหรืออะไรอีก ให้ร่ำลาเสียให้เรียบร้อย หนูก็เห็นภาพแม่แล้วน้ำตาก็ไหลไม่หยุด ที่จริงในมโนเห็นแม่ยิ้มให้ด้วยซ้ำ แต่เป็นฝ่ายตัวเองต่างหากที่ตัดใจจากเขาไม่ได้ เราก็บอกเขาว่าเราไปแล้วนะ ตั้งสติขึ้นมา แล้วให้เดินเข้าป่า เสียงครูนำให้เราไปนั่งที่ต้นไม้ ทันใดนั้นก็มีเสียงสวบๆ ใกล้เข้ามา ปรากฏเป็นงูฉกมาปุ๊บเราก็ตาย ครูนำให้เกิดภาพศพเราค่อยๆ เน่าๆ ไป ตามกระบวนการ ผลคือทำให้เราได้เห็นว่าเรารักกายเยอะนี้มากกว่าที่คิด และยึดติดกับกายมากกว่าที่เคยเข้าใจ เกิดเป็นคำถามขึ้นมาว่า หากในเวลาคับขันที่เลือกได้เพียงอย่างเดียวนั้นตัวเราจะเลือกรักษาศีลหรือรักษาชีวิตก่อนกันแน่หนอ
วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557
4-5 ส.ค.57
4-5 ส.ค.57
ในความตัดสินใจว่าระหว่างวันนะไม่สวดมนต์ละ ผลคือใจมีความสุขมาก ก็ไหนๆ ก็มีก็สวดซะหน่อย ระหว่างเดินทางสวดอิติปิโสห้องเดียว ก่อนนอนสวดมนต์ครึ่งชั่วโมง
ในความตัดสินใจว่าระหว่างวันนะไม่สวดมนต์ละ ผลคือใจมีความสุขมาก ก็ไหนๆ ก็มีก็สวดซะหน่อย ระหว่างเดินทางสวดอิติปิโสห้องเดียว ก่อนนอนสวดมนต์ครึ่งชั่วโมง
วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ประโยคช่วยชีวิต
สนิทใจ (20)
ข้าพเจ้าไม่ได้สอน "สิ่งที่ควรจะเป็น" สิ่งที่ควรจะเป็นทำให้มนุษยชาติป่วยไข้ ผู้คนควรจะถูกสอนเรื่องความงดงามของสภาวะที่เป็นอยู่ และความตระการตาของธรรมชาติ ต้นไม้ทั้งหลายไม่รู้จักบัญญัติสิบประการ นกทั้งหลายไม่รู้จักคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สร้างปัญหาให้ตัวเอง ด้วยการประนามธรรมชาติของตัวเอง
ข้าพเจ้าไม่ได้สอน "สิ่งที่ควรจะเป็น" สิ่งที่ควรจะเป็นทำให้มนุษยชาติป่วยไข้ ผู้คนควรจะถูกสอนเรื่องความงดงามของสภาวะที่เป็นอยู่ และความตระการตาของธรรมชาติ ต้นไม้ทั้งหลายไม่รู้จักบัญญัติสิบประการ นกทั้งหลายไม่รู้จักคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สร้างปัญหาให้ตัวเอง ด้วยการประนามธรรมชาติของตัวเอง
การบ้าน 2-3 ส.ค.57
2/8/57 - 3/8/57
ใจยังคงมีชะแว้บไปจมความทุกข์ตามยถากรรม เห็นใจที่ต่อต้านการสวดมนต์ระหว่างวัน แค่เริ่มอิติปิโสก็เริ่มตีบแคบ อีกวันกายดูหนักๆ แปลกๆ เหมือนจะมีสติที่กายแต่ก็แปลกๆ และเห็นว่าสติที่ไม่เต็ม สวดก็จะไม่เต็ม เกิดเป็นผลเสียในการสร้างความเข็ดขยาดให้กับตัวเอง อย่างไรก็ตามถ้าสวดมนต์แบบลั่นศาลาเน้นย้ำเสียงดังให้กายสั่นสะเทือนมีผลทำให้ใจหลุดจากภพภูมิที่มันเกาะอยู่ได้
ได้ข้อคิดเห็นออกมาว่าช่วงนี้ระหว่างวันงดสวดเปลี่ยนเป็นดูกายไปน่าจะดีกว่า ถ้าจะสวดก็มานั่งสวดเป็นเรื่องเป็นราวในที่ที่แหกปากได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น อะไรที่ใช้ได้ในวันนี้อาจจะใช้ไม่ได้ในวันพรุ่งนี้ เฮ่อ พี่จิต
ใจยังคงมีชะแว้บไปจมความทุกข์ตามยถากรรม เห็นใจที่ต่อต้านการสวดมนต์ระหว่างวัน แค่เริ่มอิติปิโสก็เริ่มตีบแคบ อีกวันกายดูหนักๆ แปลกๆ เหมือนจะมีสติที่กายแต่ก็แปลกๆ และเห็นว่าสติที่ไม่เต็ม สวดก็จะไม่เต็ม เกิดเป็นผลเสียในการสร้างความเข็ดขยาดให้กับตัวเอง อย่างไรก็ตามถ้าสวดมนต์แบบลั่นศาลาเน้นย้ำเสียงดังให้กายสั่นสะเทือนมีผลทำให้ใจหลุดจากภพภูมิที่มันเกาะอยู่ได้
ได้ข้อคิดเห็นออกมาว่าช่วงนี้ระหว่างวันงดสวดเปลี่ยนเป็นดูกายไปน่าจะดีกว่า ถ้าจะสวดก็มานั่งสวดเป็นเรื่องเป็นราวในที่ที่แหกปากได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น อะไรที่ใช้ได้ในวันนี้อาจจะใช้ไม่ได้ในวันพรุ่งนี้ เฮ่อ พี่จิต
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ถอดบทเรียนใจปิดคราวนี้ 31-2 ส.ค.57
ปัจจัยที่พอจะแยกแยะออกมาได้
- กฏ ระเบียบอะไรสักอย่างที่สร้างความอดกลั้นหรือข่มใจ
- ความเพลียล้า ของสมอง หรือร่างกาย
- การอยู่ในหมู่คณะที่ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญ
- สติอยู่กำกับไม่ตลอดและหลวมขึ้นตามความล้า ทำให้การทำงานรวมทั้งใช้ชีวิต แม้กระทั่งภาวนาอย่างแกนๆ (ส่วนนี้นำไปสู่ความคิดจร --> ทำอะไร, เพื่ออะไร --> ตอบไม่ได้รู้สึกว่างเปล่า, พอตอบได้ว่าเพื่ออะไรก็เฉดไปในทางโลภ และยิ่งไม่มีความสุข)
- สัญญาเก่า ย้ำระลึกการใช้ชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมา --> รู้สึกว่างไปกันใหญ่ ในเริ่มปิด
- สัญญาเก่า เริ่มหาสาเหตุต้นตอเป็นตัวบุคคล สภาพแวดล้อม --> ณ จุดนี้เริ่มหาเป้าโทสะ
- ผัสสะจร คำพูดทุกแบบที่ไม่ช่วยให้เกิดสติจะยิ่งเป็นไปเพื่อโทสะ เช่น
- คำเพ้อเจ้อ,
- คำพูดมักง่ายประเภทจำเขามาพูด,
- คำติชุ่ยๆ,
- คำประเภท how to ส่งเดชเจตนาไม่มา,
- คำพูดปลอบโยนผ่านๆ
- จุดนี้ใจปิด ยิ่งเพ่งโทษรุนแรง ขัดแย้งแม้แต่ตัวเอง สภาวะคือมืด หมุนจี๋ ไม่มีแรงจะออกจากเหตุการณ์ภายใน คำพูดสอนตัวทุกอย่างโดนปัดตก ความเพ่งโทษต้นตอสันดานรุนแรงและรวดเร็วเป็นพยาบาท
- สิ่งที่ช่วยให้หลุดได้พักหนึ่งสั้นๆ (สั้นมาก)
- แสงสว่าง ตั้งใจมองใครสักครู่หนึ่ง
- สวดมนต์เสียงดัง
- สิ่งที่ช่วยให้หลุดได้ยาวขึ้นอีกหน่อย (ระดับหลายชั่วโมง)
- หนังสือโอโช
- สิ่งที่น่าพิจารณาคือ ทำไมหลุดเองไม่ได้ รู้สึกชัดเจนถึงความไม่สามารถช่วยเหลือหรือให้สติตัวเองได้ ต้องใช้ปัจจัยภายนอก
- เมื่อใจปิด ความระแวงสำแดงชัด หันไปทางไหนก็ใครช่วยไม่ได้ ใจพูดสอนตัวตัวก็ไม่ได้ยิน ซึ่งในจุดนี้คิดเองว่าสิ่งที่จะทำให้หลุดจากตรงนี้มีวิธีเช่น
- ฟ้าผ่า - รู้สึกถึงหลวงปู่มั่นกับหลวงตาบัวอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าตรงนี้ต้องฟ้าผ่าให้ตั้งขึ้นมา stun shock แล้วใส่ปัญญาเข้าไป การใส่ปัญญาอย่างเดียวเป็นไม่ได้ ซึ่งผู้จะใช้ตรงนี้ได้ต้องกำลังสูงกว่า ปัญญาสูงกว่า
- เมตตาอัปมัญญา - คราวนี้น้ำตาร่วงเรียกหาพ่อแม่ ว่าอยากเห็นความกรุณาดุจห้วงมหรรณพสักครั้ง ฟังดูใหญ่และฟังดูนาน แต่เจอประโยคโอโชเคาะประโยคเดียวก็หลุดสบายๆ เปิดกว้างสู่ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ เส้นทางนี้ก็จำพวกนิทาน บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร
วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557
การบ้าน 31 ก.ค.57 - 1 ส.ค.57
31 ก.ค.57
ปีศาจมาจริงๆ ด้วย ทุกข์แบบหมางงอีกแล้ว ประกอบไปด้วย
ปีศาจมาจริงๆ ด้วย ทุกข์แบบหมางงอีกแล้ว ประกอบไปด้วย
- สันดานเปรียบเทียบ (น้อยใจเก่ง + เหนื่อยแล้วพาล) อยู่คนเดียวใจไม่เปรียบเทียบ งานก็ทำไปได้เรื่อยๆ มีความสุขกับงาน แต่อยู่กับหมู่คณะแล้วเหลว
- สันดานไม่วางใจ จะหันไปทางไหนก็รู้สึกอ้างว้างไปหมด
- ฟังไม่เป็น พอใจปิดปุ๊บ แสงสว่างจากทางไหนก็ไม่เข้า พูดให้ตัวเองฟังก็ไม่ฟัง แผ่เมตตาให้ตัวเองไม่ได้
พอใจปิด ตาก็ไม่ดู หูก็ไม่ฟัง ทั้งภายนอกภายใน ถูกขังอยู่ในนรกในใจนี่แหละ ไปไหนไม่ได้
ตอนเย็นไปสวดมนต์ เริ่มสวดก็เซ็งๆ สวดๆ ไปใจก็ไล่ไปทีละคำไม่ล้ำหน้า สงบลงได้พักหนึ่ง พอสวดจบก็มาเกาะอารมณ์ใหม่ หมาก็งงใหม่ ขนาดตอนกราบพระรู้สึกใจนอกสงบนอบน้อม แต่ใจในเป็น "กูกำลังกราบพระ"
เดินแบบมีผีเกาะหลังกลับมาบ้าน ก่อนเข้าบ้านก็แวะเซเว่น อยู่ดีๆ ใจก็ตื่นขึ้นมาแว่บนึง บทจะตื่นก็สว่างขึ้นมาซะอย่างนั้น ตาเปิด หูเปิด ให้รู้เลยว่าละเมอซะนาน
28-30 ก.ค.57
28-30 ก.ค.57
ไม่มีผัสสะรุนแรง แต่ดูเหมือนจะไม่มีสติเสียมาก สวดมนต์ระหว่างวันก็สวดผิด วางใจไม่ถูกต้อง ยังถูกจำนวนรอบบังคับขู่เข็ญเอาอยู่
วันก่อนดูรายการพูดถึงไซอิ๋ว ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจนถึงชมพูทวีปใช้เวลา 14 ปี เจอปีศาจทั้งหมดประมาณ 30 กว่าตัว เฉลี่ยแล้วปีนึงเจอปีศาจแค่ 2-3 ตัว ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่จึงหมดไปกับความเบื่อ ฟังดูแล้วนี่มันข้าพเจ้าช่วงนี้เลยนี่นา ไอ้ความเบื่อแบบไม่ค่อยมีสตินี่แหละสักพักได้เรียกปีศาจมาแน่ๆ
อินทรีย์ ห้า สาธุค่ะ
เคยอ่าน " นัยยะ พุทธธรรม จาก "ไซอิ๋ว" " รึยังคะ
เค้าเขียนได้ดี มีข้อคิดมากๆ เลย
https://www.facebook.com/notes/409021545801495/
เคยอ่าน " นัยยะ พุทธธรรม จาก "ไซอิ๋ว" " รึยังคะ
เค้าเขียนได้ดี มีข้อคิดมากๆ เลย
https://www.facebook.com/notes/409021545801495/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)