19 ส.ค.57
นั่งสมาธิเช้าเย็นประมาณครึ่งชั่วโมง พอจะเริ่มทรงตัวได้ก็โงกจะหลับซะงั้น เมื่อวานเล่าธรรมะที่ไปฟังจากหลวงพ่อให้เพื่อนฟัง ก็ได้มีโอกาสนั่งทบทวนตัวเองว่าทำไมไม่เข้าใจ และอะไรที่เคยเรียกว่าเข้าใจ เห็นการฟังและการไม่ฟังที่ยังต้องสังเกตกันอีกมาก
(อันนี้นอกเรื่องแป๊บ)
อันที่จริงเราสงสัยนะว่าทำไมเราจึงฟังเรื่องไม่มีตัวตนไม่เข้าใจ
ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา คำพวกเนี้ย ได้ยินทีไรจะมีความกังขามาขวางทุกที
เอาใหม่ ดูอีกทีว่าจริงๆ แล้วความกังขามาทีหลัง แต่มาติดๆ
ไอ้สิ่งอื่นที่เคยคิดว่าเข้าใจน่ะ มันแค่ไม่ได้ตามด้วยความกังขาเท่านั้นเอง มันแค่ตามด้วยความเฉยๆ
แล้วจริงๆ ความกังขาก็ไม่ได้ขวางซะทีเดียว แต่เป็นคำแสดงกิเลส ที่ถ้าแยกกันจริงๆ แล้ว การใช้คำว่า "ขวาง" แสดงถึงตัณหาว่า "อยากจะรู้เรื่อง" ซึ่งเป็นความเกินงาม และไม่พอดี
--------------
ธรรมที่ฟังจากหลวงพ่ออำนาจ
เรารักใคร เราก็ปรารถนาดีกับคนคนนั้น อยากให้เขามีความสุข มีความสุขถาวรเลยนะ ทำแบบไหนล่ะถึงจะเป็นแบบน้นได้
Ning Cholatit
พระพุทธเจ้าท่านเคยตั้งคำถามแบบนี้ แล้วก็ออกแสวงหาคำตอบ คำตอบที่ท่านได้มา ท่านก็เอามาบอกต่อคนที่ท่านรัก ว่าทำแบบนี้ๆ ไง แล้วจะไม่มีทุกข์เลยนะ หรือแค่มีทิฏฐิบางอย่างให้ตรง เท่านั้นทุกข์ก็เหือดแห้งจากน้ำทั้งมหาสมุทรเหลือน้ำหยดเล็กๆ จากดินจากทั้งพื้นปฐพีเหลือเท่าที่ติดปลายเล็บอยู่นิดเดียวเท่านั้น คิดดูสิเทียบกันไม่ติดเลยนะ
Ning Cholatit
แต่น่าเสียดายอยู่หน่อยนะ พระพุทธเจ้าท่านใช้เวลาหาคำตอบมาถึงสี่อสงไขย ได้คำตอบแล้วก็มาบอกต่อๆ กัน คำตอบที่ท่านบอกนั้นก็แสนจะตรงไปตรงมา
คนส่วนหนึ่งเท่านั้นที่มีโอกาสจะได้ฟังธรรม แต่กระนั้น แม้ในกลุ่มคนที่โอกาสได้ฟังธรรมท่านแล้ว กลับไม่ยอมทำตามที่ท่านบอก ท่านบอกอย่างหนึ่ง กลับทำเลียบๆ เคียงๆ ไปอีกอย่างนึง เหมือนขี่ม้าเลียบกำแพง ไม่ยอมเข้าเมืองสักที
Ning Cholatit
พระพุทธเจ้าจึงท้อพระทัย ทุกพระองค์ก็เคยท้อพระทัยลักษณะนี้ ด้วยธรรมเป็นของละเอียด ผู้มีวิสัยแห่งบัณฑิตจึงจะเข้าถึงได้ เราทั้งหลายล่ะ ที่มานั่งอยู่นี่ไม่ได้มีวิสัยแห่งบัณฑิตหรอกหรือจึงไม่ทำตามอย่างท่านพูด หรือมีทิฏฐิมากนักหรือจึงไม่เห็นในสิ่งที่ท่านสอน
Ning Cholatit
พระโสดาบัณไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากพวกเรา เขาแค่เห็นความจริงว่ามันไม่มีเรา จึงได้ละความเห็นว่ามีตัวมีตน แค่มีความเห็นที่ถูกเท่านั้นเอง
ไม่ได้สอนให้ละความยึดมั่นอะไรเลย เพราะอะไร เพราะยังไม่มีกำลังมันก็ยังละไม่ได้ก็เท่านั้น เพียงแต่ว่าเมื่อมันเห็นถูกแล้ว การจะไปหลงคิดหลงยึดถือมากมายก่ายกองมันจะไม่เกิด ไม่ใช่ไม่เกิดเลย เพียงแต่ไม่ได้เลยเถิดไปก่อทุกข์มาชีช้ำระกำตัว เพราะมันก็เคยเห็นแล้วว่าไม่มีตัว จะให้ไปคิด พูด ทำแบบมีตัวมันก็ทำไม่ได้
Ning Cholatit
พระโสดาบัณจะมีสองกลุ่มนะ กลุ่มนึงเรียกว่าสัทธานุสารี เป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า ศรัทธาในพระพุทธเจ้า ตัวเองยังไม่รู้ไม่เห็นหรอก แต่ศรัทธา ศรัทธามาก ท่านพูดท่านสอนอะไรก็น้อมกายน้อมใจ ทำตามที่ท่านสอน ไม่ดื้อ แล้วก็เห็นตามนั้น
อีกกลุ่มเรียกว่าธัมมานุสารี เป็นผู้มีปัญญา ท่านสอนแล้วเห็นตามดังนั้น ก็เกิดสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกก็เท่านั้น
Ning Cholatit
เพราะฉะนั้นอย่าดื้อ อย่าสงสัย พระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร เราก็ทำตามนั้น พิสูจน์ตามนั้น มันจึงจะเห็นผลตามนั้น มัวแต่ดื้อ มัวแต่คิด แต่สงสัย ทิฏฐิเหล่านี้เองที่ขวางเราไม่ให้เห็นสิ่งที่ตรงไปตรงมา
สิ่งที่อยู่ใจเหล่านี้ มันจะทำให้คอยคิดเทียบเคียง พระพุทธเจ้าท่านบอก ท่านชี้อะไร ความดื้อ ความสงสัยจะคอยดึงขึ้นมาเทียบ ว่าลงล็อคกับสิ่งที่เราเคยรู้มั้ย สุดท้ายคือไม่ได้มองตามที่ท่านชี้ น่าเสียดาย
เชิญพ่อครัวมาจากอิตาลี มาทำสปาเก็ตตี้ให้กิน ทำมา 5 ปี ไม่มีใครกิน น่าท้อมั้ยล่ะ
Ning Cholatit
เมื่อวานตอนหลวงพ่อเทศ ท่านมีอุปกรณ์ประกอบ เป็นแก้วกาแฟกับช้อน เคาะเรื่อยๆ เกือบทั้งชั่วโมงการบรรยาย เคาะให้เกิดเสียงไปพลาง ดูสภาวะไปพลาง
ปิ๊งงงงง~~~
ช้อนมีเรามั้ย
แก้วกาแฟมีเรามั้ย
กระทบกันเกิดเป็นการสั่นสะเทือนเป็นเสียง
มีสิ่งหนึ่งไปรับรู้การสั่นสะเทือนนั้น
ดูดีๆ ทั้งหมดนี้เป็นปฏิกิริยาต่อเนื่อง เป็นกระบวนการที่อะไรบางอย่างมารวมกันเท่านั้น รวมกันชั่วคราว การสั่นสะเทือนหยุด เสียงดับไป
เราอยู่ที่ไหน มีด้วยหรือ หรือแค่ดังอยู่ในความคิดพากย์ตามทั้งหมดนี้
Ning Cholatit
เมื่อหูกระทบเสียงพร้อมวิญญาณไปรับรู้เกิดเป็นผัสสะ ในองค์ประกอบทั้งหมด ไม่ได้มีเรา ไม่ได้มีตัวตน
เวทนา ความรู้สึกชอบไม่ชอบ จะไปมีตัวตนไปได้อย่างไร ในเมื่อต้นกำเนิดมันไม่ได้มีตัวมีตนอะไร
ตัณหา ความอยากต่อเวทนานั้นที่เกิดสืบมา ก็จะไปมีตัวตนไปได้อย่างไร ก็ในเมื่อพ่อแม่มันไม่ได้มีตัวตน
Ning Cholatit
เคาะอีก
ปิ๊งงงงง~~~
เสียงเกิดเสียงดับ วิญญาน (การรับรู้) เกิด วิญญาณดับ
ถามว่าคนบนโลก 7 พันล้านคน มีวิญญาณ 7 พันล้านดวงรึป่าว?
ปิ๊งงงงง~~~ปิ๊งงงงง~~~ปิ๊งงงงง~~~
เห็นรึป่าวยิบยับไปหมด
การรับรู้เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับตลอดเวลา
วิญญาณมีนับไม่ถ้วน
และไม่ได้มีเป็นดวงๆ ด้วย สั่นไหวแล้วดับ สั่นไหวแล้วดับ อยู่อย่างนั้น
เห็นดับ เห็นดับ ธรรมของพระพุทธเจ้าอันนี้ ถ้าเปรียบกับยิงปืนอันนี้เรียกว่ายิงไว
-
Ning Cholatit
ถามว่า ถ้าผัสสะในปัจจุบันเกิดแล้วดับอย่างนี้
ในอดีตที่ผ่านมามันได้เกิดแล้วดับอย่างนี้หรือเปล่า
แล้วถ้าจะมีการกระทบแบบนี้เกิดขึ้นในอนาคตมันก็จะเกิดดับๆ อย่างนี้มั้ย
มันก็เป็นอยู่อย่างนี้นั่นล่ะ
อันนี้เรียกว่ายิงไกล คือ เห็นทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต
-
Ning Cholatit
เมื่อเห็นจากผัสสะเกิดแล้วดับ (ไม่มีตัวตน)
ไปสู่เวทนา - ความรู้สึกพอใจ/ไม่พอใจ/เฉยๆ เกิด-ดับ (ไม่มีตัวตน)
ไปสู่ตัณหา - ความอยากจะให้มันคงอยู่/หายไป เกิด - ดับ (ไม่มีตัวตน)
ไปสู่อุปาทาน - ความยึดที่จะไปเป็นอย่างนั้น เกิด - ดับ (ไม่มีตัวตน)
ไปสู่ภพ - ความถือที่จะเอาอย่างนั้นให้ได้ เกิด - ดับ (ไม่มีตัวตน)
ชาติ ชรา มรณะ ก็เกิด - ดับ (ไม่มีตัวตน)
รู้ที่เดียว วางทั้งกระบวนสายที่นำไปสู่ความทุกข์
อันนี้เรียก ยิงถล่ม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น