วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การบ้าน 6-13 ส.ค.

6-8 ส.ค.57

กองกำลังฝ่ายกุศลพ่ายแพ้ให้ฝ่ายกิเลส ไปติดหนังเข้าเลย ไม่ได้ส่งการบ้านค่ะ

9-13 ส.ค.57

ไปเข้าคอร์สที่วัดบางปลากด โดนจับนั่งสมาธิอย่างนานและเยอะอย่างไม่เคยทำมาก่อน เพราะนั่งคนเดียวมันบังคับตัวเองไม่ได้ขนาดนั้น เลยได้เรียนเกี่ยวกับเวทนามาพอสมควร มันเป็นอะไรที่ไหลได้ เปลี่ยนที่ได้ หายตัวได้เป็นพักๆ แต่ยิงกลับมาไม่ยั้งอย่างรวดเร็วเป็นจังหวะๆ แล้วทั้งกายทั้งจิตก็ทำอะไรขำๆ ในการหนีเวทนา เช่น คุณกายก็ค่อยๆ ไหลไปทีละขณะๆ ช้าๆ ย้ายจุดสัมผัสทีละนิดๆ เกร็งตรงนู้นนิด สลับมาเกร็งตรงนี้หน่อย คือมีการกระทำอยู่ตลอด ส่วนคุณจิตก็เสือกไปยุ่งกับเวทนาจั๊งงง พอใส่ปวดหนอ ปวดหนอ เข้าไปข่มลงได้สักพัก ไปยุ่งกับเขาอีกแล้ว ใจมันก็ไหวๆ อยู่กลางอก คือมันทนไม่ได้ไอ้ตรงไหวๆ เนี่ยแหละ นั่งชักเย่อกะมัน ทรม๊าน ทรมาน

บางรอบใช้วิธีลงมือก่อนได้เปรียบ นั่งปุ๊บก่อนจะปวดก็ใส่เกียร์หมาโกยอ้าวมาอยู่แถวๆ หัว คือหนีจากขาจุดเกิดเวทนาให้ไกลที่สุดว่างั้น ก็อยู่นิ่งได้นานขึ้นคลอเคลียกับพลังอัดหน้า ไม่ก็ลมหายใจไป สักพักก็...ปวดดดดดด~~~ กลับเข้าวงจรหนีหัวซุกหัวซุนทั้งกายทั้งใจ

มีอยู่วิชานึง ครูให้ลองจับน้ำแข็ง ตอนแรกจับเฉยๆ ก็ปวดจี๊ดร้าวตั้งแต่แขนถึงใจ ครูให้เอาใหม่ครูนำเสียงว่าเย็นหนอ เย็นหนอ วางใจให้สบายๆ เย็นสบาย เย็นสบาย มันก็ทนได้ ไอ้ความร้าวถึงใจก็ไม่มี เวทนาก็อยู่แต่ที่มือที่จับน้ำแข็งแล้วมันก็อย่างนั้นๆ แยกออก ไม่ใช่เรา เย็นก็เย็นไป เราก็นั่งชิวๆ

คราวนี้ครูให้ใช้วิธีเดียวกันกับการนั่งสมาธิบ้าง ผลคือ มันก็ได้ผลบ้างในช่วงแรก แต่ด้วยสัญญาเก่ามันก็ผนวกกับเวทนาใหม่ ก็ปวดร้าวถึงใจเหมือนเดิม นั่งชักกะเย่อกะมันไปตามวิบาก สักพักครูก็ว่า "ไม่ได้ห้ามไม่ให้เปลี่ยนท่านะ" เราได้ทีไม่ไหวแล้วเลยเปลี่ยนซะ ผลคือ พอได้เปลี่ยนครั้งนึงมันเปลี่ยนไม่หยุดเลย

มีโอกาสส่งสภาวะกับพระอาจารย์ประสงค์ ท่านก็เมตตาว่า ไม่ใช่ไปนั่งชักกะเย่อกะมันแบบนั้นนะ ค่อยๆ ดูไป เห็นทุกข์สนุกดีนะ พอปวดสุดๆ แล้วมันหายปวด กลัวสุดๆ แล้วมันหายกลัว น่าอัศจรรย์มากนะ พวกนี้ถ้าเราไม่เห็นเองนะ คนอื่นบอกเราไม่เชื่อหรอก ค่อยๆ ดูไปนะ เห็นทุกข์สนุกดี ได้กำลังใจขึ้นมาบาน

จนแล้วจนรอดจนหมดคอร์สก็ผ่านเวทนาไม่ได้ ครูก็ยิ้มให้กำลังใจว่าเพราะจะเอาผ่านเนี่ยแหละเลยใจไม่เป็นกลางก็เป็นเราปวด เราปวดอยู่นั่นแล

หลายครั้งในคอร์สครูเน้นเรื่องความอ่อนน้อม และให้ระวังการปรามาสให้มาก เพราะยุคนี้พระนอกเครื่องแบบก็ไม่น้อย เห็นใครปฏิปทาอย่างไรมันก็เรื่องของเขา ให้ดูตัวเองอย่าเอาใจไปแส่ พวกความคิดหมิ่น เหยียด เรื่องนี้ฉันรู้แล้ว ทำไมทำแบบนี้ทำไมไม่ทำแบบนั้น ฯลฯ  เป็นทิฏฐิมานะทั้งสิ้น

สภาวจิตระหว่างอยู่วัดค่อนข้างเฉย ปิดวาจา ก็ตั้งใจไว้ว่าจะปิดทั้งภายนอกภายใน ข้างในก็พูดค่อนข้างน้อย ความคิดไม่ค่อยมี มีเสียงเพลงหลงๆ มาเบาๆ จากการที่ติดหนังก่อนมาวัดบ้าง แต่แปลกที่เพลงที่ดังมันไม่ใช่เพลงจากหนัง แล้ววันไหนเปิดเพลงไหนก็จะเล่นแต่เพลงนั้น ไม่ได้ถือเป็นสาระเลยไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาตัดให้ดับอยากดังก็ดังไป รู้ทีก็หายทีแล้วก็ดังใหม่ พอทรุดตัวลงนอนจากหัวว่างๆ ก็เหมือนมีพลังงานอะไรวิ่งไปมาเกือบจะเกิดเป็นภาพแต่สะเปะสะปะ นึกขำๆ ของเรารึของใครว๊า แต่ไม่สนจะนอน

มีอยู่วิชาหนึ่งครูใช้การนำสมาธิให้เกิดภาพ ให้จินตนาการว่าเนี่ยอีก 24 ชม. เราจะต้องไปแล้ว ยังมีห่วงใครหรืออะไรอีก ให้ร่ำลาเสียให้เรียบร้อย หนูก็เห็นภาพแม่แล้วน้ำตาก็ไหลไม่หยุด ที่จริงในมโนเห็นแม่ยิ้มให้ด้วยซ้ำ แต่เป็นฝ่ายตัวเองต่างหากที่ตัดใจจากเขาไม่ได้ เราก็บอกเขาว่าเราไปแล้วนะ ตั้งสติขึ้นมา แล้วให้เดินเข้าป่า เสียงครูนำให้เราไปนั่งที่ต้นไม้ ทันใดนั้นก็มีเสียงสวบๆ ใกล้เข้ามา ปรากฏเป็นงูฉกมาปุ๊บเราก็ตาย ครูนำให้เกิดภาพศพเราค่อยๆ เน่าๆ ไป ตามกระบวนการ ผลคือทำให้เราได้เห็นว่าเรารักกายเยอะนี้มากกว่าที่คิด และยึดติดกับกายมากกว่าที่เคยเข้าใจ เกิดเป็นคำถามขึ้นมาว่า หากในเวลาคับขันที่เลือกได้เพียงอย่างเดียวนั้นตัวเราจะเลือกรักษาศีลหรือรักษาชีวิตก่อนกันแน่หนอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น