วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ไปวัดบางปลากด


5/12/57

เดินเข้าไปในศาลารู้สึกกายใจเงียบสงบดี แต่พอนั่งสมาธิฟุ้งกระจาย รู้สึกเฉยๆ ไม่เดือดร้อนกับความฟุ้ง ลองพยายามทำแบบนู้นแบบนี้บ้างให้หายฟุ้ง ผลก็ฟุ้งอยู่

6/12/57

เช้ามาหิวมากจนคลื่นไส้ เดินจงกรมด้วยความกระอักกระอ่วน ใจไหลไปเดือดร้อนกับกายบ้าง แยกออกมาบ้าง นั่งสมาธิไม่รู้สึกถึงความคิด แต่รู้สึกถึงชาๆ ที่หัว ตอนแรกก็คิดว่าดูความรู้สึกอย่างงี้ไปถูกแล้ว แต่ดูนานๆ แล้วเหมือนโมหะครอบ ออกมามึนๆ เลยเปลี่ยนไปเดินจงกรม ก็เคยชินที่จะดูความรู้สึกชาๆ นี้ ไหลไปทางนี้บ่อย คอยดึงออกมาเรื่อยๆ

ตกกลางคืนฝันร้ายทั้งๆ ที่ปกติไม่ฝัน เด้งขึ้นมานั่งนึกอะไรไม่ออก สวดยันทุนๆๆๆ สักพักจิตรวมหลับ 555

7/12/57

สังเกตุว่าเวลานั่งสมาธิไปได้สักพักจะสัปหงก มันไม่ได้ง่วง แต่ไม่รู้จะเกาะอะไรจิตเลยเหมือนไหลลงรู พอรู้ตัวก็ขึ้นจากรู สลับกันเป็นวงจรง่อกแง่กไปมา เข้าใจว่าคงจะเพราะเคยชินที่จะนั่งสมาธิก่อนนอน คือถ้ามันจะหลับก็ให้มันหลับไปเลย เลยออกมารูปนี้

8/12/57

นั่งสมาธิแบบสัปหงกตามเคย ไม่รู้จะทำไง จิตไม่มีอะไรเกาะ (ลมหายใจมันไม่เย้ายวน 5555 เอาไม่อยู่) สักพักนึงถึงคนคนนึงขึ้นมา จิตก็ไปเกาะคนๆ นั้น พอรูปดับก็ง่อกแง่กใหม่ สักพักไประลึกถึงอสุภะ จิตก็เกาะภาพอสุภะ พอภาพดับก็ไหลลงรูใหม่ จนครูเดินเข้ามาตบมือเข้าที่ข้างหู ฉับพลันเหมือนมีพลังงานซ่านไปทั้งตัว แล้วกายก็ค่อยๆ ตั้งตรงขึ้น ดำรงสติอยู่ สักพักหมดเวลานั่ง แผ่เมตตา จิตยิ่งนิ่งน่านั่งต่อ เกิดความเสียดาย

นั่งรอบสองหลังจากเดินจงกรม เริ่มต้นที่ง่อกแง่กตามสไตล์ สักพักพระเดินผ่าน เสียงจีวร ให้ผลคล้ายๆ กับที่ครูตบมือข้างหูเมื่อกี้ เหมือนตะกอนอะไรถูกตีขึ้นมาทำให้มันตั้งได้ แต่ผัสสะไม่แรงพอ ก็พอดีมีแมลงที่ไหนไม่รู้บินเฉี่ยวหัว เอาเป็นว่าผัสสะสองอย่างนี้รวมกันทำให้กระเด้งตื่นมีกำลังได้ รับรู้ว่าหัวเอียง แต่มันเอียงไปตอนไหนไม่รู้ ความสุขแผ่ซ่านทั้งร่างกาย คอเอียงอยู่ก็ไม่รู้สึกว่าเมื่อย กลับรู้สึกเหมือนหนุนหมอนนอนกลางวันอยู่ แต่หูก็ได้ยินทุกอย่าง จิตไม่แส่ส่าย ดื่มด่ำกับความสุขนั้น ธรรมใดไม่เกี่ยวข้องก็เพิกเลย การใช้ความคิดก็ได้ปกติ แต่ไม่ใส่ใจเอาเป็นจริงจัง เป็นสภาวะ half concious แต่รู้ตัวมากกว่าฝัน นานๆ จะเจอสภาวะอย่างนี้เลยนั่งเอนจอยมันไป สักพักรู้สึกน้ำหนักกดแขนข้างนึงมากกว่าอีกข้างถึงรู้ว่าตัวเริ่มเอียง (ที่แท้ให้เอามือวางหน้าตักเพื่อการนี้เอง 555) ก็สั่งให้ยกกายขึ้น กายก็ค่อยๆ ยกขึ้นเหมือนหุ่นยนต์ นิ่มนวลมากๆ พอบอกให้ตั้งหัวตรง ก็ทำตามทุกอย่าง เชื่อฟังดี นั่งนานเท่าไรก็ไม่เมื่อย กายเบาจิตเบา แต่สักพักยุงกัดง่ามเท้า จิตเลยค่อยๆ ถอยออกจากความสุขอันนั้น โดนกัดอีกก็ค่อยๆ ถอยออกมา นั่งไปจนหมดเวลารู้สึกโดนกัดมากขึ้นเรื่อยๆ เจ็บมาก นึกในใจ เดี๋ยวแบ่งบุญให้ปล่อยก๊อนน~~ ลืมตาขึ้นมา นึกว่าพญายุงกัด ที่ไหนได้ มดเป็นสิบตัวรุมกัดง่ามเท้าอยู่จุดเดียวจนได้เลือด ไม่ให้เรียกเจ้ากรรมนายเวรจะให้เรียกอะไร

9/12/57

ช่วงบ่ายเดินจงกรม เดินมาเดินไป ใจอึดอัด มันตอบตัวเองได้ไม่ชัดว่าเดินทำไม เดินไปใจกังขา แม้จะบอกว่าก็ฝึกรู้สึกตัวไง แต่มันยังไม่ชัด มันก็ใช่ที่ว่ารู้สึกตัวที่หัวทางจงกรมก้อนอึดอัดก็หลุดแป๊บ พอหันมาก็มาแบกเดินต่อมันข้องใจ ใจลึกๆ มันบอกว่าบ้าป่าว ทำไรอยู่ บอกว่าเดินสบายๆ สิ กล่อมไงก็ไม่ได้ผล เลยมานั่งพักเก้าอี้ ถือพัดโบกๆ ไปด้วย นั่งดูรูปพระปฏิมา ใจอิ่มเอม ชื่นชมว่าท่านงามจัง ถามท่านว่า

นิ้ง  "พระพุทธเจ้า เดินจงกรมไปทำไมคะ"
พระพุทธเจ้า (ในมโน) "แล้วหนูเดินทำไมล่ะ"
นิ้ง (อึ้งไปพักนึง แล้วตอบว่า)   "...เหมือนเดินหาอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้อะไร นั่นสิหาอะไร มันจะเอาอะไรก็ไม่รู้ค่ะ อ๋อ หนูอยากนี่นา"
พระพุทธเจ้า (ในมโน) ยิ้มหวาน "ตอนนี้ใจหนูเป็นยังไง"
นิ้ง "สบายแล้วค่ะ"

พบว่าตัวเองเวลาเดินจงกรมนี่เผลอทำงานสองอย่าง คือเคยได้ยินคำว่า "รูปเคลื่อนไหวใจเป็นคนดู" ผลคือ ทำจริงๆ จิตงง ว่าจะดูกายหรือดูใจเป็นอีกส่วนที่ทำให้อึดอัด

หลังจากนั้น ก็มโนพระพุทธเจ้า ยิ่งคุยกับท่านยิ่งเบิกบาน เหมือนปลดล็อคอะไรบางอย่างที่สงสัยแต่เก็บไว้จนลืมว่าสงสัยอะไร แต่กลับผูกเป็นปมทางจิตไว้

ค้นพบว่าพอเมื่อยแล้วมานั่งพัก ความสุขที่แผ่ซ่านกายตอนนั่งพักนี้พาเข้าสมาธิง่ายดี

10/12/57

ก่อนเข้าสมาธิครูให้อธิษฐาน ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ตัวอย่างเช่น ขออาราธนาคุณพระพุทธให้เป็นอิสระจากฐานะทั้งปวง ความเป็นลูก ความเป็นพี่น้อง ความเป็นเพื่อน เป็นอิสระจากนิวรณ์ และทำไปเพื่อการพ้นทุกข์ เป็นการย้ำเป้าหมายเราให้ชัดไม่หลงทาง

ก่อนนั่งสมาธิครูให้ท่องคาถา
เอาสัมมาสติเป็นอารมณ์
ไม่ปล่อยให้อกุศลครอบงำจิต
ระวังความกำหนัดยินดีเพลินในเวทนา
ไม่ว่าเห็นอะไร รู้สึกอะไรล้วนเป็นสังขารทั้งสิ้น
ให้ระลึกให้สลักลงในจิตไปเลยว่าสังขารทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล

วันนี้พี่จิตมาแปลกอาราธนาพระพุทธเจ้ามานั่งเป็นเพื่อน

จับได้ว่านั่งกายนิ่งสักพักจิตจะหมุนตัว ถ้าจ๊ะเอ๋ทันจะหยุดสักพักหมุนใหม่เหมือนเป็นวงรอบทำงาน หมุนเล็กๆ หมุนใหม่ใหญ่กว่าเดิม คราวนี้เหวี่ยงเอากายผงกหัวหงึกๆ ไปด้วย หงึกเล็กๆ เป็นหงึกใหญ่ๆ จนเลิกหงึก ก็เหมือนจะหลับไปเลย แต่ถ้าในช่วงคำนับพระธรรมนี้ได้ผัสสะอะไรสักอย่าง คราวนี้กายจะเหยียดตรงขึ้น แล้วจะทรงอยู่ในสมาธิได้พักใหญ่เลย ครั้งก่อนๆ รอผัสสะภายนอก คราวนี้ ขยับมือกำแบๆ เอาเอง ใช้ได้เหมือนกัน ทรงได้สักพักกำลังตกอีก กำแบๆ ใหม่

ทรงตัวได้สักพักอยู่ดีมีโผล่วูบมาว่าเป็นภาพงานศพแม่ จิตเศร้าหมองไปวูบใหญ่ สักพักรวมกำลังใจว่าหากจริงงั้นการนั่งครั้งนี้ขออุทิศให้แม่ เลยเชิญภาพแม่ขึ้นเหนือศีรษะทำใจให้ผ่องใสนั่งต่อไป อกุศลโผล่มาเป็นระยะๆ รวมทั้งที่จิตไปปรามาสครูไว้ก็โผล่ขึ้นมาเป็นความแน่น ก็เอาความแน่นนั้นควบแน่นออกมายกถวายพระพุทธเจ้าไป (นึกได้ยังไงนะ 555 ทำไมไม่เอาของดีๆ ถวาย) เป็นการนั่งสมาธิที่ดีมาก ไม่ฟินไปเลยเหมือนวันก่อน แต่แจ่มใสและเบิกบาน สักพักใช้หนี้เก่า โดนมดกัดให้หลุดสมาธิอีกตามเคย แผ่บุญให้เจ้าหนี้เขาไป

เดินออกมาจากศาลาภาวนา จิตแช่มชื่น ยินดี ซะจนพูดมาก เหมือนประสบความสำเร็จในการค้นพบเคล็ดลับอะไรสักอย่าง ประมาณว่ารู้แล้วโว้ยต่อไปนี้พอมันจะวูบนะ ก็หาผัสสะเจ๋งๆ ให้มันกระโดดงับเลย

ฟังเทศน์จากพระอาจารย์
ท่านให้ถามตัวเองว่า ตอนนี้จิตยังอยู่ในกายรึป่าว ถ้าอยู่มันทำอะไรอยู่

11/12/57

จากที่เมื่อวานกระหยิ่มยิ้มย่องในการค้นพบ เช้านี้ความไม่เที่ยงแสดงให้เห็นเลย กำแบไม่ได้ผล 5555 นั่งดูโงกหงึกๆ ไป จนปัญญา ทำไรไม่ได้ สักพักพี่จิตก็เมตตา มโนการทำความดีขึ้นมาสักอย่าง น้อมจิตให้เป็นกุศล จึงกอบกู้จิตตนครขึ้นมาได้

ขณะนั่งเห็นแต่คลื่นสั่นสะเทือน นั่งปวดขาก็เห็นความสั่นสะเทือนที่ขาอันนึง สั่นสะเทือนที่ใจอันนึง คลื่นความเจ็บปวดที่ขาอยู่ๆ ก็โผล่มา อยู่ๆ ก็หายไป พลังงานชอบมาโฟกัสอยู่แถวๆ หัว เหวี่ยงซ้ายทีขวาทีอยู่อย่างงั้น

ช่วงที่ทรงตัวได้ดีก็รู้สึกสว่าง สักพักรู้สึกถึงอะไรไม่รู้ดำๆ อยู่เบื้องล่าง หน้าตาคล้ายรังสิ่งมีชีวิตที่ฉีดไปตอนล้างห้องน้ำเมื่อวาน (ซึ่งก็ดูเหมือนไม่มีอะไรอยู่แล้วนา) ไม่รู้ทำไง (จริงๆ คือไม่รู้คืออะไรด้วย) เลยแผ่กุศลให้ไปก็กลายเป็นสีทองแล้วยกถวายพระพุทธเจ้าไป

สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนคราวนี้ที่อยู่วัดคือ ตัณหาในการปฏิบัติที่อยากจะทำให้ได้อะไรขึ้นมาสักอย่างเกิดน้อยมาก ไม่รู้เพราะขี้เกียจรึป่าว 555 แต่ที่ชัดเจนคือ ใจไม่เดือดร้อนกับมรรคผลนิพพาน พ้นไม่พ้นทุกข์อะไรตามที่มันเคยเป็น

ใจที่เปิดเผยได้มันดีมาก

มาวัดคราวนี้เลยทำให้เข้าใจคำว่าราวเกาะของสติ และระลึกขึ้นมาว่าทำไมอนุสติมี 10 อย่าง (นี่อยู่มายังใช้ไม่ครบเลย แล้วถ้าครบแล้วใช้ซ้ำได้รึป่าว)

การดำเนินจากตัณหาไปอุปาทาน
เพราะอยากได้จึงแสวงหา
เพราะแสวงหาจึงได้มาซึ่งของรัก
เพราะได้มาซึ่งของรักจึง...
เพราะ...หวงแหน
เพราะหวงแหนจึงปิดกั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น