การดำเนินจากตัณหาไปอุปาทาน
เพราะอยากได้จึงแสวงหา
เพราะแสวงหาจึงได้มาซึ่งของรัก
เพราะได้มาซึ่งของรักจึง...
เพราะ...หวงแหน
เพราะหวงแหนจึงปิดกั้น
11/12/57 เย็น
หลังจากกลับจากวัด จิตใจสภาพเป็นม.ม้าคึกคัก ฟุ้งลอยเป็นพื้น และเพลิดเพลินมากในความสุขที่มันได้ คอยปรุงเรื่องแหย่มันโกรธ ก็เหมือนมีปราการมาหักล้างผลของมันโกรธไม่ขึ้น ขณะที่คิดแหย่สภาวะไปเรื่อยๆ แต่สติมีไม่เท่ากัน ผลคือปล่อยไก่แบบได้โล่ห์ เอาถุงอาหารกะถุงขยะทิ้งไปพร้อมกันแถมไม่รู้ตัวทันที มารู้อีกทีตอนถึงที่หมายแล้วแบบทำไมมือตรูไม่ถือของเลยคะ แต่เดินเข้าไปหาแม่แล้ว (เป็นของที่แม่ฝากซื้อ) ก็เลยบอกแม่ว่าเดี๋ยวเดินออกไปซื้อก่อน ไม่บอกให้นางรู้เดี๋ยวนางปรุงอกุศล
หลังจากรู้ตัว จริงๆ มันน่าจะเครียดได้แล้วนะ ยังไม่เครียดค่ะ ม.ม้าคึกคัก หักล้างผลความเครียดสิ้น แต่รู้แล้วว่าชีวิตไม่พอดี เกิดทางเลือกสองทาง คือลากม้าลง กะดึงสติขึ้น ลองทำแบบหลังเพราะไม่เคยมีม้าอยากลองเลี้ยงม้าดู เลยต้องเรียกมาอยู่กับกายเยอะๆ กำแบๆ เดินรู้เท้า ในปากก็กระดกลิ้นไปด้วย เอามันทุกอย่าง
ตกเย็นนั่งสมาธิ เจอสัปปายะโดยไม่ตั้งใจ เป็นท่าเอนๆ สบายๆ มีหมอนรับหลัง ขาเหยียด แขนวางบนหมอน ผัสสะเต็มตัวไม่สัปปะหงก ปรากฏตื่นเชียว แค่ว่าจะนั่งตามธรรมเนียมเฉยๆ ผลคือนอนไม่ได้ไปจนถึงเกือบตีสี่ สุดท้ายพอคิดว่าเออถ้าไม่นอนก็นั่งอีกรอบละกัน เปิดเสียงครูบาอาจารย์คลอไปด้วยสักพักหลับ 5555
----------
อันนี้ตกผลึกเองตอนอยู่วัด
ในความรู้สึก
ฉันทะ เกิดจากความชัดเจน เพราะมันต้องเห็นผลจึงได้เอ็นจอยกะมันตรงนั้นได้เลย ถ้าไม่ชัดเจนจะเกิดฉันทะได้ยากมาก โดนเจ้ามือตัณหากินรวบ
ศรัทธา ไม่ได้แปลว่าความเชื่อ แต่เป็นสภาวะเปิด หรือโน้มน้อมที่จะรับ ที่จะฟัง ดังนั้นหากหาที่อุดหู ที่อุดใจเจอ คืออะไรที่ขวางการฟังเอาออกซะ ศรัทธาก็อยู่แถวๆ นั้นแหละ ไม่ต้องเสียเวลางมหาให้วุ่นวาย
อวิชชา, อนุสัย, โมหะ (ไม่รู้ใช้คำไหน) แต่มีอารมณ์นึงให้ความรู้สึก พอทุกข์อยู่ก็เหมือนตาแก่หลงลืม ลืมภาวะปกติสุข ระลึกไม่ออก ระลึกไม่ขึ้น การที่จำภาวะปกติสุขได้ จะทำให้เกิดสติ (สัมมาสติ)
การปิดหูปิดใจกับธรรมของศรีศากยอโศก ไม่แน่ใจว่าเป็นสัมมาหรือมิจฉา
หากพิจารณาแยกแยะแล้ว หนึ่งในเหตุที่ให้รู้สึกอย่างนั้น คือการที่ฟังครูแสดงธรรม โดยจั่วหัวว่า
" เป็นการแสดงด้วยสภาวะ" แต่การใช้คำกลับใช้ลักษณะของถ้อยวจีซ้ำ จึงทำให้รู้สึกขัดขืนกันอยู่
การเน้นน้ำเสียงหนัก ทำให้รู้สึกถึงการเน้นย้ำ ชักจูงให้โน้มไปในทางตัณหา
คิดพักไว้
สัมมาในแง่หนึ่งอาจหมายถึง เกิดขึ้นเอง
เริ่มจากศีลสังวรณ์
ไปอินทรีย์สังวรณ์
ไปสันโดษ พิจารณาปัจจัยที่เข้ามาซ่องเสพ
ไปสมาธิภาวนา
ไปจิตภาวนา
ครูว่าถ้าในชีวิตประจำวันไม่เคลียร์กิเลสหยาบ แล้วอยู่ๆ มาเข้าคอร์สแบบนั่งกันเกือบทั้งวี่วัน มันกลับกัน เลยผลไม่ได้อย่างเต็มที่ แต่อย่าท้อถอย
ภาวนาให้เหมือนเล่นหมากรุก ล้มก็ตั้งใหม่
ครูว่าหากตัดสินใจเดินเส้นทางนี้ ให้ทำห้องพระเลย รัตนบัลลังก์สำคัญ นั่งตรงไหนนั่งตรงนั้น ไม่ใช่เปลี่ยนที่ไปมาแบบนั้นพลังงานกระจายหมดยิ่งไม่น้อยๆ (เห็นว่าพลังบารมีพุทธคุณที่มากที่สุดอยู่ที่พุทธคยา) พลังงานจากการภาวนาจะคงทิ้งไว้ แล้วจะเป็นตัวดึงดูดเกื้อหนุน ประเภทที่ถ้าทำไปสักพักแล้วจะไม่ทำไม่ได้ ก่อนนั่งอธิษฐานสู้ตายกับมาร คือ ไม่ใช่ว่ามุ่งเอาแพ้ชนะ แต่ขีดเส้นให้ชัดเจนเพื่อเป็นสัญญาคุมจิตไม่ให้หลงทาง
มีพี่คนนึงคล้ายๆ ว่าจิตจะแหย่ๆ เข้าอรูป (หรือรูปฌาน 4 สักอย่าง) แต่ประเด็นคือ ชักเข้าชักออกกลัวๆ กล้าๆ ครูว่ามันเหมือนเข้าไปในที่มืดที่เราไม่เคยไป แล้วสัญญาที่เคยได้ยินมาว่าถ้าไปอิโหน่อิเหน่เดี๋ยวมันบ้าได้ อันนี้มันเป็นวิจิกิจฉาขวางไว้ จึงไม่ข้ามไป ครูว่าจึงให้วิปัสสนาตามประกบติดหลังไปด้วยเสมอ สติต้องมี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจอให้ปักป้ายไว้เลยว่าเป็นสังขารทั้งสิ้น จะสวยงาม น่ากลัว น่าพึงใจ น่าหลงไหล แต่ให้กำหนดรู้ว่ามันเป็นเวทนาปักป้ายเอาไว้เลยว่าไม่พึงกำหนัดยินดี ใช้คาถานี้ตามเป็นหางเข้าไป แต่ถ้าเกิดมัวคิดว่า "กูโดนหลอกแน่ กูโดนหลอกแน่" เช่นนี้จิตจะไม่สามารถก้าวข้ามและพัฒนาต่อไปได้
สัมมากับมิจฉา (ไม่ใช่สัมมา) ตัดกันตรงที่ เป็นที่เกาะเกี่ยวของตัณหา อุปาทานหรือไม่
คำติดใจ
11/12/57 เย็น
หลังจากกลับจากวัด จิตใจสภาพเป็นม.ม้าคึกคัก ฟุ้งลอยเป็นพื้น และเพลิดเพลินมากในความสุขที่มันได้ คอยปรุงเรื่องแหย่มันโกรธ ก็เหมือนมีปราการมาหักล้างผลของมันโกรธไม่ขึ้น ขณะที่คิดแหย่สภาวะไปเรื่อยๆ แต่สติมีไม่เท่ากัน ผลคือปล่อยไก่แบบได้โล่ห์ เอาถุงอาหารกะถุงขยะทิ้งไปพร้อมกันแถมไม่รู้ตัวทันที มารู้อีกทีตอนถึงที่หมายแล้วแบบทำไมมือตรูไม่ถือของเลยคะ แต่เดินเข้าไปหาแม่แล้ว (เป็นของที่แม่ฝากซื้อ) ก็เลยบอกแม่ว่าเดี๋ยวเดินออกไปซื้อก่อน ไม่บอกให้นางรู้เดี๋ยวนางปรุงอกุศล
หลังจากรู้ตัว จริงๆ มันน่าจะเครียดได้แล้วนะ ยังไม่เครียดค่ะ ม.ม้าคึกคัก หักล้างผลความเครียดสิ้น แต่รู้แล้วว่าชีวิตไม่พอดี เกิดทางเลือกสองทาง คือลากม้าลง กะดึงสติขึ้น ลองทำแบบหลังเพราะไม่เคยมีม้าอยากลองเลี้ยงม้าดู เลยต้องเรียกมาอยู่กับกายเยอะๆ กำแบๆ เดินรู้เท้า ในปากก็กระดกลิ้นไปด้วย เอามันทุกอย่าง
ตกเย็นนั่งสมาธิ เจอสัปปายะโดยไม่ตั้งใจ เป็นท่าเอนๆ สบายๆ มีหมอนรับหลัง ขาเหยียด แขนวางบนหมอน ผัสสะเต็มตัวไม่สัปปะหงก ปรากฏตื่นเชียว แค่ว่าจะนั่งตามธรรมเนียมเฉยๆ ผลคือนอนไม่ได้ไปจนถึงเกือบตีสี่ สุดท้ายพอคิดว่าเออถ้าไม่นอนก็นั่งอีกรอบละกัน เปิดเสียงครูบาอาจารย์คลอไปด้วยสักพักหลับ 5555
----------
อันนี้ตกผลึกเองตอนอยู่วัด
ในความรู้สึก
ฉันทะ เกิดจากความชัดเจน เพราะมันต้องเห็นผลจึงได้เอ็นจอยกะมันตรงนั้นได้เลย ถ้าไม่ชัดเจนจะเกิดฉันทะได้ยากมาก โดนเจ้ามือตัณหากินรวบ
ศรัทธา ไม่ได้แปลว่าความเชื่อ แต่เป็นสภาวะเปิด หรือโน้มน้อมที่จะรับ ที่จะฟัง ดังนั้นหากหาที่อุดหู ที่อุดใจเจอ คืออะไรที่ขวางการฟังเอาออกซะ ศรัทธาก็อยู่แถวๆ นั้นแหละ ไม่ต้องเสียเวลางมหาให้วุ่นวาย
อวิชชา, อนุสัย, โมหะ (ไม่รู้ใช้คำไหน) แต่มีอารมณ์นึงให้ความรู้สึก พอทุกข์อยู่ก็เหมือนตาแก่หลงลืม ลืมภาวะปกติสุข ระลึกไม่ออก ระลึกไม่ขึ้น การที่จำภาวะปกติสุขได้ จะทำให้เกิดสติ (สัมมาสติ)
การปิดหูปิดใจกับธรรมของศรีศากยอโศก ไม่แน่ใจว่าเป็นสัมมาหรือมิจฉา
หากพิจารณาแยกแยะแล้ว หนึ่งในเหตุที่ให้รู้สึกอย่างนั้น คือการที่ฟังครูแสดงธรรม โดยจั่วหัวว่า
" เป็นการแสดงด้วยสภาวะ" แต่การใช้คำกลับใช้ลักษณะของถ้อยวจีซ้ำ จึงทำให้รู้สึกขัดขืนกันอยู่
การเน้นน้ำเสียงหนัก ทำให้รู้สึกถึงการเน้นย้ำ ชักจูงให้โน้มไปในทางตัณหา
คิดพักไว้
สัมมาในแง่หนึ่งอาจหมายถึง เกิดขึ้นเอง
เริ่มจากศีลสังวรณ์
ไปอินทรีย์สังวรณ์
ไปสันโดษ พิจารณาปัจจัยที่เข้ามาซ่องเสพ
ไปสมาธิภาวนา
ไปจิตภาวนา
ครูว่าถ้าในชีวิตประจำวันไม่เคลียร์กิเลสหยาบ แล้วอยู่ๆ มาเข้าคอร์สแบบนั่งกันเกือบทั้งวี่วัน มันกลับกัน เลยผลไม่ได้อย่างเต็มที่ แต่อย่าท้อถอย
ภาวนาให้เหมือนเล่นหมากรุก ล้มก็ตั้งใหม่
ครูว่าหากตัดสินใจเดินเส้นทางนี้ ให้ทำห้องพระเลย รัตนบัลลังก์สำคัญ นั่งตรงไหนนั่งตรงนั้น ไม่ใช่เปลี่ยนที่ไปมาแบบนั้นพลังงานกระจายหมดยิ่งไม่น้อยๆ (เห็นว่าพลังบารมีพุทธคุณที่มากที่สุดอยู่ที่พุทธคยา) พลังงานจากการภาวนาจะคงทิ้งไว้ แล้วจะเป็นตัวดึงดูดเกื้อหนุน ประเภทที่ถ้าทำไปสักพักแล้วจะไม่ทำไม่ได้ ก่อนนั่งอธิษฐานสู้ตายกับมาร คือ ไม่ใช่ว่ามุ่งเอาแพ้ชนะ แต่ขีดเส้นให้ชัดเจนเพื่อเป็นสัญญาคุมจิตไม่ให้หลงทาง
มีพี่คนนึงคล้ายๆ ว่าจิตจะแหย่ๆ เข้าอรูป (หรือรูปฌาน 4 สักอย่าง) แต่ประเด็นคือ ชักเข้าชักออกกลัวๆ กล้าๆ ครูว่ามันเหมือนเข้าไปในที่มืดที่เราไม่เคยไป แล้วสัญญาที่เคยได้ยินมาว่าถ้าไปอิโหน่อิเหน่เดี๋ยวมันบ้าได้ อันนี้มันเป็นวิจิกิจฉาขวางไว้ จึงไม่ข้ามไป ครูว่าจึงให้วิปัสสนาตามประกบติดหลังไปด้วยเสมอ สติต้องมี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจอให้ปักป้ายไว้เลยว่าเป็นสังขารทั้งสิ้น จะสวยงาม น่ากลัว น่าพึงใจ น่าหลงไหล แต่ให้กำหนดรู้ว่ามันเป็นเวทนาปักป้ายเอาไว้เลยว่าไม่พึงกำหนัดยินดี ใช้คาถานี้ตามเป็นหางเข้าไป แต่ถ้าเกิดมัวคิดว่า "กูโดนหลอกแน่ กูโดนหลอกแน่" เช่นนี้จิตจะไม่สามารถก้าวข้ามและพัฒนาต่อไปได้
สัมมากับมิจฉา (ไม่ใช่สัมมา) ตัดกันตรงที่ เป็นที่เกาะเกี่ยวของตัณหา อุปาทานหรือไม่
คำติดใจ
- วิปัสสนา ไม่ใช่อนุปัสสนา
- สติสัปปชัญญะ เป็นเหตุแห่งสัมมาสติ
- คิดฟุ้งซ่าน ต่างกับพิจารณาธรรม หากการคิดนั้นไม่เป็นไปเพื่อการเกิดอุปาทาน ภพ ชาติ อันนี้จัดเป็นโยนิโสมนสิการ
- พระพุทธเจ้า รู้จักปฏิจจตั้งแต่เป็นราชกุมารจึงออกบวช?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น