30/3/57
ตอนเช้าก่อนลุกรู้สึกมีความคิดมากมายหลายหลาก แล้วก็ยังไม่อยากลุก จึงนอนต่อ จัดร่างกายให้เป็นนอนหงายแล้วค่อยๆ ดูกายไป สักพักความคิดก็สงบลง อยู่ๆ ก็เห็นใจไหลไปไหลมาต่อเนื่องกัน แล้วมันก็หยุด แหย่เท่าไรก็ไม่ดูอีก และก็ไม่ยอมดูอะไรไปอีกตลอดวัน
ไปสวดมนต์ที่วัด นั่งสมาธิ เดินจงกรม
ก่อนนอนสวดอิปิโส เมื่อคืนได้ 58 รอบ
วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557
การบ้าน 29/3/57
29/3/57
ขณะนั่งรถบริกรรมไป ระหว่างวันหลงยาวมีรู้สึกตัวบ้างตอนดูการแสดง มันตื่นเต้นแล้วกล้ามเนื้อมันเกร็งขึ้นมา กลับบ้านนั่งสวดอิติปิโส 79 รอบ นอน
การบ้านสั้นจู๋ส่งเท่านี้ค่ะ
การบ้านสั้นจู๋ส่งเท่านี้ค่ะ
วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557
เกี่ยวกับการบ้าน
- สุริจันโท วิสุทธิธรรม ส่งการบ้านเพื่อให้เป็นนิสัย เห็นสภาวะตามจริง ได้โอกาสขัดเกลาถอดถอนกิเลส กิเลสมักจะอาย กลัวจับได้ ลากมันออกมาจะได้ถอนรากถอนโคนค่ะ
- สุริจันโท วิสุทธิธรรม ถ้าไม่ส่งการบ้าน ไม่เกิดการขัดเกลา อ่านสภาวะผู้อื่นแล้วอ่านตำตอบแล้วถ้าเกิดลังเลสงสัย ปรามาสอาจารย์หรือปรามาสธรรมผู้อื่น ก็ยิ่งทำให้เกิดวิบากทำให้สภาวะถดถอย เพราะงั้นจึงจำเป็นต้องมีการกลั่นกรอง เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง
การบ้าน 19/3/57
19/3/57
สังเกตตัวเองระหว่างวันไป บางช่วงตั้งใจดูมาก ร่างกายจะตอบสนองเป็นความเครียดทันที พอเผลอก็ผ่อนคลาย รู้สลับกับหลงไปเรื่อยๆ ไม่มีโลภะหรือโทสะใหญ่ แต่มีความขัดใจเล็กน้อยระหว่างพบปะผู้คน ความฟุ้งสะเปะสะปะยังมีมาก
สังเกตตัวเองระหว่างพูดคุยกับเพื่อน จะเกิดมีความคาดหวังอะไรบางอย่าง พอเขาไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังก็เกิดความขัดใจ และความไม่ปกติของเราก็กระเพื่อมไปจนเพื่อนเกิดปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เลยเป็นข้อคิดให้ตัวเองว่า เออหนอ ใจเราเป็นทุกข์ก็ไปกระทบคนอื่นให้เป็นทุกข์ตามไปด้วย
มีโอกาสนั่งสมาธิสบายๆ หลังเลิกงาน ร่างกายปลอดโปร่งไม่ง่วง บริกรรมหลวมๆ คู่ไปกับดูร่างกาย สักพักยุงรังควาน ใจก็รำคาญเมื่อมันเกาะตรงนู้นทีตรงนี้ทีไปตามจังหวะเกาะปล่อยของมัน แต่ครั้งนี้ไม่เห็นความทุรนทุรายของใจที่อยากจะขยับ ก็นั่งต่อไปอีกพักหนึ่ง จนรู้สึกว่าที่แขนมีมดไต่ กลัวมันตายเลยลืมตามาเป่ามัน
ตอนกลางคืนสวดมนต์ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วก็นั่งสมาธิ ตั้งใจจะนั่งดูกายไปเรื่อยๆ แต่พอนั่งปุ๊บลมหายใจก็เปลี่ยนเป็นทอดยาว แผ่วเบา กล้ามเนื้อผ่อนคลาย แล้วก็หลับเสียอย่างนั้น รู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินเสียง 5555
จบการบ้านค่ะ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ทีนี้ก็ลองรู้เบาๆ รู้ชิวๆ ผ่อนคลาย ถ้าเราสามารถรู้ได้ละเอียดนะ มันจะเห็นการกระทบ เห็นจิตที่ขยับ พูดโดยย่อคือเห็นการเกิดดับของจิตสังขาร มันเป็นอะไรที่สุดยอด
การบ้าน 18/3/57
18/3/57
พอคิดจะส่งการบ้านเลยต้องทำการบ้าน เริ่มสังเกตตัวเองมากขึ้น จากปกติที่เห็นอยู่ประปรายแบบไม่ตั้งใจดูก็เหมือนใจมันตั้งขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ระหว่างการทำงานที่ไม่ต้องคิด ใช้แต่มือขยับ ก็เห็นความคิดล่องลอยไม่เป็นเรื่องราว ลอยไปมาเหมือนก้อนเมฆ บางทีก็สลับร้องเพลง นั่นคือในหัวไม่เคยเงียบ มีเป็น background noise ตลอดเวลา
ขณะเดินทางกลับบ้านบริกรรม"นโมตัสสะฯ" ไปเรื่อยๆ สักพักเปลี่ยนเป็น "เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา" เฉยเลยไม่รู้ตัว 555 ก็ช่างมัน จนถึงบ้านรู้สึกใจแน่นหน่อยๆ จึงเปลี่ยนจากบริกรรมเองเป็นฟังเสียงสวดมนต์แทนใจก็สบาย
หลังกินข้าวเสร็จก็สวดมนต์ประมาณครึ่งชั่วโมง มีช่วงโงกจะหลับ แล้วอยู่ๆ ก็กลัวผีมาเฉยๆ เพราะสติเกือบจะไปแล้วหูมันแว่ว เลยได้รู้ว่าความกลัวเกิดจากความขาดสติ
ระหว่างวันตอนคิดมาถึงเรื่องส่งการบ้าน มันจะมีตัวพากย์ตัวนึง ที่พูดไปแล้วมีความรู้สึกสำทับว่า มัน"เป็น"อย่างนี้แหละ ไอ้ความรู้สึกสำทับนี้หนูรู้สึกว่ามันปลอมชอบกล
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ก็เพราะเหตุผลว่า การจะส่งการบ้านได้ ก็ต้องทำการบ้าน มันก็เลยมีห้องนี้ขึ้นมาค่ะ ใหม่ๆ ก็เชียร์อัพกันหน่อย ต่อไปก็ค่อยๆ ปรับการส่งการบ้าน คือการรายงานตามความเป็นจริง เก็บไว้มาอ่านย้อนหลัง ขำดี
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม คนที่มีเสียงดังในหัวตลอดเวลา คือสังขารทำงานเยอะมาก อย่างนี้ควรฝึกสติ และสมาธิเพิ่มหน่อย มันจะแก้กันได้ค่ะ
การบ้าน 20/3/57
20/3/57
ตื่นเช้ามีความขี้เกียจที่จะลุกจากเตียง ระหว่างนั่งอ่านเฟสบุค อ่านไปอ่านมาเกิดจิตอิจฉาขึ้น ถอยมาดูก็เห็นเป็น มันอิจฉา สักพักกลับมาดูอีกรอบกลายเป็นเราอิจฉาไปซะแล้ว จิตก็เลยตก ระหว่างเดินไปทำงานก็มีดราม่ากับตัวเองว่าแย่แล้ววันนี้แต่เช้าเลย
เดินต่อมาอีกหน่อยก็เห็นพระยืนบิณฑบาติอยู่อย่างสงบ ใจเกิดศรัทธาอยากจะใส่บาตรท่าน ความคิดเป็นอย่างนั้นแต่ขาก็ยังเดินต่อไปแบบไม่ได้ชะลอ ประจวบกับเห็นมีคุณยายกำลังเดินไปจะใส่บาตรพอดี สุดท้ายไปๆ มาๆ เลยได้แต่อนุโมทนากับคุณยาย บวกเกิดความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำบุญบังเอิญนี้ ตั้งใจเอาไว้ว่าคราวหน้าอย่าเสียเวลาลังเลแบบนี้อีก เหตุการณ์นี้ทำให้เห็นว่าความเคยชินยังมีกำลังชนะความคิดดีอยู่ แต่ผลของการอนุโมทนาก็ล้างสภาวะจิตตกในตอนเช้าไปได้
ระหว่างวันทำงาน รู้สึกมันเฉื่อยๆ ไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นจะออกมารับรู้อะไร หลงไม่บ่อยเพราะหลงยาว
ก่อนนอนสวดมนต์ นั่งสมาธิประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั่งรู้สึกเย็นๆ เหมือนกล้ามเนื้ออมฮอลล์ เห็นกายเป็นอื่น เห็นความรู้สึกเฉยๆ เป็นอื่น สลับไปมากับการพากย์และบริกรรม ถามมันว่าที่รู้ตอนนี้คือรู้อะไร มันตอบไม่ได้ แล้วก็นอน
- สุริจันโท วิสุทธิธรรม ยุ้ยก็อิจฉา พอรู้ว่าอิจฉาก็ยอมรับความจริง เคยอิจฉาครูเจี๊ยบ ครูเจี๊ยบถามว่า อิจฉาหลวงพ่อมั๊ย ยุ้ยบอกว่าไม่เคยอิจฉา ครูเจี๊ยบบอกว่า ที่อิจฉา มันมีเกิดเพราะเราคิดว่าเค้าไม่สมควรได้ ยุ้ยก็พิจารณา
- สุริจันโท วิสุทธิธรรม ที่ไม่เคยอิจฉาหลวงพ่อ เพราะเรารู้ มีสมมุติรับรองเป็นพระเป็นครูอาจารย์
- สุริจันโท วิสุทธิธรรม แต่อิจฉาพี่เจี๊ยบ เพราะตอนนั้นเรายังไม่เห็นธรรม ว่าพี่เค้าเป็นพระข้างใน เป็นครูอาจารย์ เป็นผู้มีปัญญามากกว่าเรา สะสมบุญบารมีมามากกว่าเรา
- สุริจันโท วิสุทธิธรรม เมื่อเห็นตามความเป็นจริง เห็นตัวเราตามความเป็นจริง ยอมรับในสิ่งที่เรามีเราเป็น รู้ว่าเราทำมาด้านปัญญาน้อย รู้ว่าเราสะสมมาน้อยกว่า หรือรู้ว่าเราขยันไม่เท่าคนอื่น
- สุริจันโท วิสุทธิธรรม เมื่อรู้ตามความจริง ตัวอิจฉาก็หายไป จิตก็ไม่ตก เพราะไม่ได้ยึดว่าอยากจะดี
- สุริจันโท วิสุทธิธรรม ถ้าฉลาดขึ้น ก็เอามาเป็นแรงผลักดันให้เราขยันขึ้น เรียนรู้เข้าใจตัวเองมากขึ้น รู้จักกิเลสตัวเองมากขึ้น
- สุริจันโท วิสุทธิธรรม ครูเจี๊ยบเคยสอนว่า ไม่ยอมเจ็บฟรี เอามันมาศึกษาวิปัสนาให้เข้าใจจิตใจ เข้าใจกลไลกิเลสเลย
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ถ้าโลกนี้ไม่มีอิจฉา แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเรามี "คุณธรรม"
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม มาเสริมยุ้ยว่า ตอนนั้นกลับบ้านดูหนังเกาหลีเอาใจพ่อ (ถ้าเราไม่ยอมดูหนังเกาหลี พ่อก็จะเปิดทีวีการเมือง) ทนเวทนาดูไป ดูไปดูมาชักมันส์ นางร้ายเกาหลีบอกกันเองว่า "ถ้าเธออิจฉา ก็แปลว่าเธอแพ้"
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม โหยยย โดนนนน นางร้ายสอนกันเอง แบบคนพูดนี่ร้ายกว่าคนที่ถูกพูดถึง คือคนนั้นกำลังรู้จิตตกแล้วความอิจฉากัดกิน ซังกุงที่ร้ายสุดเลยสำทับ ด้วยฟามแข็งแกร่งในจิตใจ(แต่เป็นอกุศล) ว่า.. ถ้าเธออิจฉาก็แปลว่าเธอแพ้ โหย..ใช่เลย เราจะรู้สึกอิจฉาเมื่อ เราทำท่าว่าจะแพ้ ความอิจฉาเป็นตัวเบี่ยงเบนความจริง ว่าเราสู้เขาไม่ได้ เลยต้องอิจฉาข่ม เจ้ย.. สัจจะธรรมจากนางร้าย
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม แต่ถ้ามองแบบหลวงพ่อสอน หรือมองแบบธรรม จะมองว่าแหม.. ถ้าไม่อิจฉา จะรู้เรอะว่าเรา ไม่มีอิจฉาแล้ว เราข้ามได้แล้ว ด้วยคุณธรรมสำคัญคือ"ความรู้"
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ตอนนั้นลุ้นตัวโก่งเลย ว่ายุ้ยจะข้ามได้ไหม ยอมรับว่าอิจฉาก็ยากแล้ว ต้องข้ามด้วย เราจะอิจฉาเมื่อเรารักตัวเอง เจ้ว่าเป็นปกติที่คนเราจะรักตัวเอง แต่ถ้าคนเรารักคนอื่นมากกว่าตัวเองได้ นี่ต้องมีเมตตามาค้ำจุน เลย เพราะเหตุนี้คนมีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาจึงไม่ใช่คนปกติธรรมดา แต่มีพรหมวิหาร คือมีจิตระดับพรหม
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม เจ้ก็ลุ้นว่า ยุ้ยจะรักเจ้มากกว่าตัวเองได้ป่าว ยุ้ยก็ทำได้ ด้วยเหตุว่ายุ้ยมีปัญญา พิจารณาเห็นธรรม แล้วอีกอย่างยุ้ยรักงาน คือยอมลดตัวตนเพราะเอางาน เอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ยุ้ยก็คงรักแจ้เป็นทุนด้วย อิอิ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ก็เพราะมีตัวอิจฉาในวันนั้น เลยมีนางเอกยุ้ยในวันนี้
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ป๊าดโธ่ จะรังเกียจทำไมกับตัวอิจฉา ไม่มีตัวอิจฉาจะมีนางเอกได้ไง ไม่จืดแย่เรอะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)