วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สรุปผลประกอบการปี 59

เจอ "เรา" เสียบจังๆ เข้าไปทีนี่เป๋ทั้งระบบ ถ้าจับสัญญาณทิฏฐุปาทานแล้วปัญญาใช้วิชาหายตัวไม่ทัน ให้เผ่นเท่าน้านนน~~~~ ปวดขี้ปวดเยี่ยวไส้ติ่งแตกอะไรก็ได้ ใส่เกียร์หมาโลด ไม่งั้นถูกอุ้มไปฆ่ากลางป่าให้ได้อายพระอาจารย์ จะเป็นที่ทุเรศแก่สายตา ว่าทำเข้าไปได้ยังง้ายยย

ที่น่ากลัวไม่ใช่โทสะปัจจุบัน แต่เป็นปฏิฆานุสัย

สรุปผลประกอบการปี 59 ปีนี้มาตายที่ทิฏฐุปาทาน 2 รอบ 
รอบแรกโคตรอนาถ
รอบสองแม้ระยะเวลาจะสั้นกว่า เปลี่ยนเหตุได้ดีกว่า ก็ยังเรียกว่า "น่าทุเรศ" อยู่ดี

ผลของรอบแรก ผ่อนแรงยึดในตัวบุคคลสำคัญคนแรกลงประมาณครึ่ง
ผลของรอบสอง เนื่องจากจบไม่สวย ทั้งๆ ที่จัดเหตุสุดๆ ยังเสือกโดนเสียบ ผลคือถูกอุ้มไปฆ่ากลางป่าชัฏได้แผลถูกแทงไปร้อยกว่าที แลกมากับญาณแห่งความ "เข็ดหลาบ" ในระดับที่ยังผันกลับได้ หยั่งว่าเหลืออีกประมาณ 30% พร้อมกับรู้ชัดว่า สติยังไม่พอจะแก้ไข มันลืมมุมมองอันเป็นปัญญาไปจนได้

ระดับความเร็วและแรงของโทสะที่เกิด 

  • สติใจช่วยตัดแต่แทบไม่ผ่อนกำลัง การเกิดซ้ำเกิดขึ้นแบบแทบจะทันทีจนรู้สึกไม่ได้พัก
  • สติกาย ไม่ใช่ทุกที่จะขยับตัวได้ และด้วยความแรงของเวทนาที่เกิดจึงมีตัณหาที่จะข่มผนวกเข้าไปด้วย ผลของสติจึงได้ไม่เต็มที่
  • การข่ม กดกำลังพอไปได้ โงหัวได้ครู่นึง พร้อมกันกับฝังอนุสัยลงเต็มๆ
  • ปัญญา ในครึ่งแรกของการถูกเชือด ทิฏฐิก็ยังพอป้องกันอยู่ได้ ด้วยใจวางไว้ว่า "มีเหตุก็เกิด" แต่พอผ่านไปสักพัก ด้วยความแรงและความถี่ที่แทบไม่ลดลง และเลือกจะไม่ข่มเต็มกำลัง เจอผัสสะสะกิดอีกนี๊ดดดดแบบได้จังหวะ ปัญญาก็ดับทันที ตายสยองอีกรอบ 5555
โอ๊ย อายยยย~~~~

ชัดเจนแล้วว่าต้องฝึกมุมไหน ไม่ดับสังขาร ไม่รอดจริงๆ
แม้จะเคยได้ยินได้ฟัง แต่ถึงเวลางัดออกมาใช้ไม่ได้ 
นึกไม่ออกบ้าง (สติไม่มา)
แกะไม่ออกบ้าง (ปัญญาไม่แทง)
เจอผัสสะบังหน้า (หลงเรื่อง)
เจออวิชชาบังตา (หลงเป็นตัวเป็นตน เป็นฝ่ายนี้ฝ่ายโน้นจริงจัง)

ปรุงเข้าไปได้ ~~~ น่าอายแต๊ๆ

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ก่อนไปวัด...อีกแระ

ผลของการโดนแทรกวันนี้...สอบตก T_T
อย่างน้อยก็เห็นผลของการเปลี่ยนผัสสะในภายนอก
พลังโทสะเปลี่ยนอย่างเห็นชัด

สำหรับภายในคราวหน้าให้นิ้วเท้าทำงาน
คราวหน้าหาทางเคลื่อนไหว

มันเสียบตอนอิริยาบถย่อยแล้วผัสสะกระทบเสียง

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

นิโรธ กับมรรคต่างกันอย่างไร (ตอบวัดความเข้าใจ 9 ธ.ค.59)

ถ้าเอาคำตอบสั้นๆ
นิโรธ คือ ภาวะที่ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ
ส่วนมรรค คือ วิธีที่จะฝึกสังเกตให้แจ้งภาวะอย่างนั้น

อริยสัจสี่ไม่ใช่สิ่งที่จะกล่าวแยกขาดออกจากกัน เพราะเป็นองค์รวมเดียวกัน ถ้ากล่าวแยกจากกัน โอกาสความเลื่อนลอย ออกทะเล ออกปากอ่าวมีสูง และพูดไปจะไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระศาสดาที่ท่านแสดงเรื่องนี้ “เพื่อความพ้นทุกข์” แต่การรู้อย่างครึ่งๆ กลางๆ อาจจะกลับเป็น “การสร้างทุกข์” ไป

คำถามว่า นิโรธ กับมรรคต่างกันอย่างไร

ถ้าไม่รู้จักหน้าตาของทุกข์ ยากจะบอกได้ว่าแล้วสภาวะไม่มีทุกข์ (นิโรธ) เป็นอย่างไร (การจะรู้ได้ชัดๆ ต้องอาศัยภาวะการสังเกตเปรียบเทียบ จนเห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ)

ถ้าไม่ชัดเจนว่าทุกข์เกิดยังไง (สมุทัย) ยากจะแก้ทางว่า แล้วถ้าจะไม่ให้เกิด ต้อง reverse เหตุอย่างไร

ในสี่ข้อ สิ่งที่ยากจริงๆ คือการรู้จักทุกข์ให้ชัดแจ้ง จริงๆ ถ้ารู้ทุกข์ได้ อริยสัจทั้งสี่จะดำเนินคล้อยไปพร้อมกันหมด

คำว่ารู้ชัดแจ้ง ตรงนี้ต้องไปอ่านดูด้วยว่าพระพุทธเจ้าตรัสนัยยะของทุกข์ไว้แค่ไหนแล้วลองน้อมพิจารณาตาม โดยลองวาง ไม่เอาความเป็นตนเองเข้าไปเกี่ยวข้อง

ท่านว่า ทุกข์ คือ “ความปรุงแต่ง” ลองกูเกิลความหมายคำๆ นี้ดู

สิ่งที่เรียกว่า “ความสุข” ยังเป็นความทุกข์ ตามนัยยะของการศึกษาอริยสัจสี่
สิ่งที่เรียกว่า “เฉยๆ” ยังอาจจะเป็น factor แห่งทุกข์ได้ ถ้าขาดสติสัมปชัญญะ
สิ่งที่เรียกว่า “ความเดือดเนื้อร้อนใจ” ที่ส่วนมากเรียกกันว่าทุกข์นั้น เป็นเพียง perception หนึ่ง

และการหาทางใดๆ ที่ “ดิ้นหนีจากอาการเดือดเนื้อร้อนใจ” ก็เป็นความปรุงแต่งอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งโดยนัยของอริยสัจแล้ว การทำเช่นนี้ เท่ากับการเอาความปรุงแต่ง แก้ไขความปรุงแต่ง จะไม่พ้นจากความปรุงแต่ง

พอรู้ไม่แจ้ง เลยศึกษาต่อได้ยาก เพราะไปแทรกแซงมันซะแล้ว (ภาษาหนังสือใช้คำว่า “ปรุงแต่ง”)

พอไปทำอะไรบางอย่าง แล้ว “ความเดือดเนื้อร้อนใจ” นั้น หายไป (ชั่วคราว) ผลคือความเชื่อเกิดโดยปริยายว่า ทำแบบนี้จะได้ผลแบบนี้เสมอ เกิดเป็นความฝังหัวอย่างไม่ตรงไปตรงมานักว่า “ทุกข์ต้องแก้” และ “วิธีแก้ต้องเหมือนกันทุกครั้งในเรื่องนั้นๆ”  



กามเป็นมายา - อริยสัจจากพระโอษฐ์ - สมุทัย

ภิกษุทั้งหลาย กามทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง เป็นของเปล่าๆ ปลี้ๆ เป็นของเท็จ เป็นสิ่งที่มีการหลอกให้หลงเป็นธรรมดา

ภิกษุทั้งหลาย กามนั้น เป็นเหมือนสิ่งที่ทำแล้วด้วยมายา เป็นที่พร่ำบ่นหาของคนพาล ได้แก่ กาม และสัญญาในกาม ทั้งสองอย่างนุั้น

เป็นอาณาจักรของมาร
เป็นวิสัยของมาร
เป็นเยื่อของมาร
และเป็นที่เที่ยวหาอาหารของมาร

จิตอันเป็นบาปอกุศล เป็นอภิชฌาก็ดี พยาบาทก็ดี และสารัมภะ (การแข่งดี) ก็ดี
เหล่านี้ย่อมเป็นไปในอาณาจักรของมารนั้น

อนึ่ง อกุศลธรรมเหล่านั้น ย่อมมีขึ้น เพื่อเป็นอันตรายแก่พระอริยสาวก ผู้ตามศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้ได้ โดยแท้ แล


ที่เกิดแห่งอาหาร - อริยสัจจากพระโอษฐ์ - สมุทัย

ภิกษุทั้งหลาย อาหารสี่อย่างเหล่านี้มีอยู่เพื่อความตั้งอยู่ได้ของสัตว์ผู้เกิดแล้วบ้าง เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ผู้กำลังแสวงหาที่เกิด (สัมภเวสี) บ้าง อาหารสี่อย่างอะไรเล่า?

สี่อย่างคือ

อาหารที่หนึ่งคือ อาหารคำข้าว หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม
อาหารที่สองคือ ผัสสะ
อาหารที่สามคือ มโนสัญเจตนา (มโนกรรม)
อาหารที่สี่คือวิญญาณ

อาหารสี่อย่างเหล่านี้แลมีอยู่ เพื่อความตั้งอยู่ได้ของสัตว์ผู้เกิดแล้วบ้าง เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ผู้กำลังแสวงหาที่เกิดบ้าง

ภิกษุทั้งหลาย ก็อาหารสี่อย่างเหล่านี้มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด เป็นเครื่องก่อให้เกิด เป็นเครื่องกำเนิด เป็นแดนเกิด

ภิกษุทั้งหลาย อาหารสี่อย่างเหล่านี้ มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิด เป็นเครื่องก่อให้เกิด เป็นเครื่องกำเนิด เป็นแดนเกิด แล

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เปลี่ยน

A: 夫人请放心我从小到大没被表白过。

B: 我不信,都见过你被表白。

A: 什么时候?

B: 就这个学期啊。


A: 好像有点印象。那位女生应该应该是发传单。

B: 不会吧。。。

A: 为什么不会,难道有人会在马路上表白,还是说夫人遇到过,夫人果然受欢迎。

B: 没有没有,其实这种事情多了也很烦恼的,不对不对我是说这种事情贵精不贵多,你有我就够了。

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

15 พ.ย. 59 ในที่สุดก็ฝัน

นอนหลายชั่วโมงแต่เหมือนไม่ได้นอน ตื่นมาก็ยังเพลีย เป็นแบบนี้มาหลายวัน อยู่ๆ เช้านี้ก็ฝัน แล้วพบว่าตื่นมากลับสดชื่นแฮะ ค่อยมีแรงขึ้นมาบ้าง เลยแอบสงสัยว่าที่เพลียมาหลายวันเป็นเพราะไม่ฝันรึป่าว

ว่าไปก็เป็นความฝันที่แปลก และค่อนข้างชัดเจนทีเดียว

ฝันถึงพี่คนหนึ่ง ให้คนนั้นคนนี้แลกแบงก์เก่า คนก่อนหน้าเขาส่งให้แลกแค่ 600 เราก็เลยเตรียมเงินไว้ 600 เพราะคิดว่าคงได้เท่ากัน ปรากฏพอถึงคิวเรากลับให้เราแลกตั้งมากมาย เรายื่นเงินให้เขา 600 แล้วค่อยมานั่งนับในสิ่งที่เขาให้เรามา เขาก็รับไปจำนวนเท่านั้นโดยไม่ว่ากระไร เมื่อพบว่าเงินที่เขาให้เรามามันเป็นหมื่น เราไม่มีตังค์ ก็เลยบอกเขาว่า ขอเลขบัญชีหน่อย เดี๋ยวโอนไปให้ เขากลับให้เลขบัญชีเรามาเป็นรหัส 1/6 MO แล้วก็เปิดจดใส่สมุด

พอเปิดสมุด ก็พบว่าในสมุดเต็มไปด้วยบันทึกเข้ารหัสมากมาย ในฝันเห็นชัดมากจนน่าประหลาดใจ มีรูปต้นไม้ 6 เหลี่ยมด้วย แล้วก็มีวงกลมสีชมพู ในความรู้สึกคือ นั่นเป็นรหัสที่เราเข้าเอาไว้เองนานแล้ว แต่กลับจำวิธีถอดและความหมายของมันไม่ได้ พี่คนนั้นพอเห็นรหัสนั่นก็สอนวิธีการถอดรหัสเรา แต่พบว่าจิตเราไม่ตามไป นั่งฟังแต่ไม่ทำความเข้าใจไปด้วย โดยมีความรู้สึกว่า ไม่ว่ามันจะคืออะไร บันทึกก็คืออดีต เราเคยรู้จักมันแล้ว และเราก็วางมันลงแล้ว แล้วก็รู้สึกตัวตื่นตามเสียงนาฬิกา

ระหว่างนอนหลับตารอนาฬิการอบที่ 2 ก็นอนทบทวนความฝันดังกล่าว ว่าเหตุใดจึงฝันถึงพี่คนนั้น ก็อาจเป็นเพราะบุคคลดังกล่าวให้ความรู้สึกถึงการเข้ารหัสอยู่ หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาให้ความรู้สึกซ่อนเงื่อนอยู่ เป็นความรู้สึกที่ไม่น่าไว้วางใจ ทั้งๆ ที่หลักการเหตุผลแนวปฏิบัติดูสมบูรณ์แบบทุกอย่าง

พบว่าความรู้สึกในลักษณะนี้ (ระแวงหน่อยๆ ไม่วางใจเต็มร้อย) ส่งผลต่อจิตคือ ทำให้จิตแตกกระจายออก ซึ่งสิ่งนี้มักจะถูก balance ได้ประมาณหนึ่งโดยคำพูด หลักการ เหตุผล หลักธรรม และกำลังที่เขาส่งออกมาสู่รอบข้าง นี่อาจเป็นวิธีลดระดับกรรมอย่างหนึ่ง

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ภาษาจีนจาก เวยเวย

憔悴是定语,我期待的是定语后的主语。

说出来伤害输出有点大,你们还是不要知道了,没有真相,就没有伤害

你一来,这里的天气就变好了

需要问吗?

贿赂我!…不好意思。除了夫人的美色,我不接受其他贿赂。

聪明人死的快。

贤惠乃吾本性也。

听起来发挥了我十分之一的水平。

留着给你哄我用。

她是你很小的一部分,我才是你的全部。

以后不准为别人哭,我都没让你哭过。


优化没有止境,做人要有追求,你确定要我挑刺。

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

31 ต.ค. 59

กิจการงานบางอย่างที่ทำไปด้วยความสุขความสบายใจ เพื่อผลอันดีงามบางอย่าง

แค่ลองสมมติสถานการณ์ worst case เท่านั้นล่ะ

หางนางจิ้งจอกตัณหาก็โผล่ชัดๆ เลย

น่าเอ็นดูจริงๆ เล้ย

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

รายละเอียดสติ/ปัญญา



"ใหม่ๆ ไม่โลภ ภาวนาง่าย! ... นานๆ โลภ ภาวนายาก!"คุณประสาน พุทธกุลสมศิริ คอร์สรินรสธรรม 12 ส.ค.2559

คนเรานะมีศีลก็มีคุณค่าแล้วล่ะ

รายละเอียดสติ/ปัญญา



"ใหม่ๆ ไม่โลภ ภาวนาง่าย! ... นานๆ โลภ ภาวนายาก!"คุณประสาน พุทธกุลสมศิริ คอร์สรินรสธรรม 12 ส.ค.2559

คนเรานะมีศีลก็มีคุณค่าแล้วล่ะ

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สมาธิแบบนกบิน

เปรียบการฝึกสมาธิแบบนกบิน
การระลึกนึกถึงภาพพระหรือคำภาวนาเปรียบเหมือนนกที่ต้องกระพือปีกในช่วงแรก แต่พอบินไปถึงจุดพอดีของมันแล้ว ทีนี้ก็ไม่ต้องกระพือต่อ แค่ปรับทิศทางที่เราต้องการก็พอครับ แต่พอตกลงมาเกินระดับพอดีค่อยกระพือใหม่ครับ
...................................................
มีน้องชายที่น่ารักข้อความมาถามเกี่ยวกับพุทธานุสติคืออะไรและฝึกอย่างไร
พุทธานุสติ หมายถึงการระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์เพื่อให้เกิดสมาธิครับ
ส่วนใหญ่จะนึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เรารู้สึกสบายใจเมื่อนึกเห็น หรือเจริญภาวนาตามจังหวะลมหายใจเข้าและออก
ในภาคปฏิบัติสุดท้ายคือเพื่อให้กายจิตรวมเป็นหนึ่งเกิดเป็นสภาวะสุขสงบ เบาสบาย อิ่มใจขึ้นมา
ฝึกนึกเห็นพระบ่อยๆ พอใจสงบเป็นสมาธิมากบางช่วงจะไม่เห็นภาพแล้วนะครับ แต่นั่นไม่ใช่ผิดนะครับ จิตเป็นสมาธิแน่วแน่ขึ้นบางทีก็ไม่เห็นครับแต่จะเกิดความรู้สึก สว่างและสุขสงบขึ้นมาในใจแทน ครับ
ความรู้สึก สว่างและสุขสงบเป็นอารมณ์เดียวกับที่บางท่านฝึกมวยหรือฝึกศิลปะแต่ละแขนงที่ถึงระดับที่คนทั่วไปมักเรียกว่าจิตเป็นสมาธินั่นแหละครับ
การระลึกนึกถึงภาพพระหรือคำภาวนาเปรียบเหมือนนกที่ต้องกระพือปีกในช่วงแรก แต่พอบินไปถึงจุดพอดีของมันแล้ว
(คือสภาวะสุขสงบสมดุล สว่างว่าง เบาสบายเกิดตัวรู้คือปัญญาวิมุติและเจโตวิมุติผุดขึ้นมา คือความสุขสงบที่เลยขั้นสุขสงบพื้นฐานไปแล้ว)
ทีนี้ก็ไม่ต้องกระพือปีกต่อ แค่ปรับทิศทางที่เราต้องการก็พอครับ แต่พอตกลงมาเกินระดับพอดีค่อยกระพือใหม่ครับ

เก็บของตอนที่ 6


the more you think the more วัฏฏะ
ขยัน แปลว่า ดีดความคิด
คนขยัน คือ คนที่คิดเรื่องเดียว แล้วดีดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป
วิริยะ ตรงข้ามกับ วิจิกิจฉา (ความคิดจรที่วิ่งเข้ามา อะไร ทำไม ยังไง ปสด.กับ information)
compassion = รักด้วยสติและปัญญา

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559

รายละเอียดในการสอน

....ครูบาอาจารย์เวลาสอน ไม่ได้ใช้แค่คำพูด เวลาสอนจิตของท่านต้องทรงพลัง ต้องมีสมาธิเวลาสอน หลังจากสอนก็เหนื่อย เหนื่อยเพราะสมาธิที่ทำมันต้องใช้ไป...
...สอนเสร็จลิ้นห้อย กระดาษตกแผ่นนึงยังไม่มีแรงหยิบเลย มีความรู้สึกว่าเหนื่อยมากอะไรก็ไม่อยากทำแล้ว...
จิตผู้สอนเข้าใจในสิ่งนั้น
ผู้สอนมีความปรารถนาดีกับผู้เรียน อยากให้ผู้เรียนเข้าใจ
ผู้เรียนมีศีล
ผู้เรียนมีใจที่ดีพอจะรองรับ
---
ยิงด้วยคำถามเท่ๆ หรูๆ เป็นกับดัก ยิงให้โดน
ห้ามแนะนำ ห้ามสอน ให้คิดได้เอง (ข้อมูลเยอะ รีบร้อนสอน จบกัน)
หลอกให้เรียนรู้โดยไม่สอนตรงๆ
พยายามจะ right at the first time ผลคือ always fail
ยังไม่ได้ลงมือทำแล้วยกมือถามเรียกว่า “ไอ้โง่”
อะไรที่คุณบอก เขาจะไม่ทำ
วิธีสอนตรง – ผู้เรียนต้องศรัทธาและฉลาดมากๆ
Coach – สำหรับผู้เรียนที่กระจอกลงมา เรียกมานั่ง “ชม” “คุย” “ถาม” รู้สึกยังไง เป็นยังไง เกิดมาทำซากอะไร ตั้งคำถามหลอกล่อให้เปิดศักยภาพ ชวนให้ไปหาทางเลือก
Mentor – สำหรับผู้เรียนที่ห่วยเข้าไปอีก เล่านิทานให้ฟัง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วววว...ใครสักคนนึง...ทำอย่างนู้นอย่างนี้ อ้อ กำลังพูดถึงเราใช่มั้ย เออ มึงแหละ
Facilitator – กากสุดๆ กับดัก 36 หลุม หลอกให้เรียนโดยไม่สอนตรงๆ

ถ้ายังเอาไม่อยู่ก็ปล่อยเห๊อะ

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ตัวอย่างการคุยกับเจ้ากรรม

บุญใดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาและกำลังทำ
ขอท่านมาร่วมอนุโมทนาและได้ถึงซึ่งบุญนั้นด้วยเพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมกันต่อไป

ขอบุญบารมีใดๆที่ข้าพเจ้าได้ทำมาจงถึงแก่ท่านเหล่านั้น
เพื่อความชุ่มเย็นแก่จิตวิญญาณที่ร้อนรุ่ม
และเพื่อความอบอุ่นแก่จิตวิญญาณที่หนาวเหน็บ

ตอนนี้ ทั้งประเทศกำลังร่วมคิด ร่วมทำความดีเพื่อพ่อหลวงซึ่งเป็นกุศลยิ่งใหญ่
ขอท่านเหล่านั้นมาร่วมด้วยใจกุศลเถิด

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กษัตริย์เขาเป็นกันอย่างนี้

คนอื่นอาจไม่สงสัย แต่ผมสงสัย
ว่าเหตุใดวันธรรมดาของพระเจ้าอยู่หัว
จึงเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนไทยทั้งแผ่นดิน
เหตุใดคนไทยยังเทิดสถาบันกษัตริย์ไว้ในที่สูงเหนือการแตะต้อง
และเหตุใดความรู้สึกของมหาชน
จึงรวมศูนย์ไปอยู่ที่บุคคลเพียงคนเดียว
ได้อย่างพร้อมเพรียงไม่แตกแถว
ผมอยากทำความเข้าใจ
ว่าทำไมแค่เห็นก็นึกอยากเสียสละทุกสิ่งเพื่อพระองค์ท่าน
และที่สำคัญ เพราะอะไรราชวงศ์ในโลกยังมีอยู่หลายประเทศ
แต่ความภูมิใจของพสกนิกร
ที่มีต่อองค์พระประมุขของตนจึงไม่เท่าเทียมกัน
ถึงวันนี้คิดว่ามีคำตอบให้ตัวเอง
รัศมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
ที่ฉายออกมาให้สัมผัสด้วยใจนั้น
คือหลักฐานแห่งการุณยภาพอันยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์
ไม่จำเป็นต้องเห็นว่าพระองค์ท่าน
เคยบำเพ็ญพระราชกรณียกิจไว้แค่ไหน ณ แห่งหนตำบลใดบ้าง
ใครๆก็ต้องเชื่อว่าพระองค์ท่าน
มีพระชนม์ชีพเพื่อคนอื่นมานานแสนนาน
กระแสดึงดูดให้รู้สึกรัก รู้สึกศรัทธาท่วมท้น
มิได้หลั่งมาจากฟากสวรรค์
มิใช่ลอยมาจากการที่มนุษย์อุปโลกน์มนุษย์ด้วยกัน
ให้เป็นองค์สมมติเทพ
ทว่าเป็นผลธรรมดามาจากปัจจุบันกรรม
อันสมควรแก่การเป็นกษัตริย์อย่างแท้จริงของพระองค์ท่านเอง
ถ้าใครศึกษาพระไตรปิฎกแล้วสงสัยว่า
การบำเพ็ญบารมีแห่งมหาโพธิสัตว์
ผู้ควรแก่การบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ในอนาคตกาลเป็นอย่างไร
ให้มาดูมหาทานแห่งองค์รัชกาลที่ ๙ นี้ แล้วจะเข้าใจ
และจะเชื่อว่าพระโพธิสัตว์มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขาน
แต่มีจริง และพวกเราก็เกิดทันยุคของพระองค์ท่าน!
รากอันเป็นที่สุดของกษัตริย์คือ
เมตตาการุณยจิตอันปราศจากประมาณ
พูดให้ง่ายคือชอบช่วยคนไม่เลือกหน้า
โลกจึงมีตำแหน่งกษัตริย์เป็นฐานหนุนให้ได้ทำตามปรารถนา
และปัจจุบันระบอบการปกครองของไทย
ก็เอื้ออำนวยให้กษัตริย์ออกโปรดราษฎรได้เต็มที่
เนื่องจากมีรัฐบาลและข้าราชการดูแลบริหารบ้านเมือง
ตัดสินคดีความต่างๆให้ โดยพระองค์ไม่ต้องลำบากพระวรกาย
ไม่ต้องลำบากพระทัยเหมือนกษัตริย์ยุคโบราณ
จึงกล่าวได้ว่าประเทศเราในกาลนี้เปิดโอกาสให้ผู้มีบุญญาธิการสูงสุด
ได้แสดงกำลังพระทัยว่ายิ่งใหญ่สมพระเกียรติยศเพียงใด

หากคุณเคยเห็นคนอนาถาวัยเด็กวัยชรา
เรือนร้อย เรือนพัน หรือเรือนหมื่นกับตา
คุณรู้ คุณเข้าใจ คุณเวทนา คุณปรารถนาจะช่วยเหลือพวกเขา
และคุณลงมือช่วยเหลือพวกเขาได้ระดับหนึ่ง
ความสุขความอบอุ่นจะเอ่อล้นอก
ตามระดับกำลังใจขนาดนั้นๆของคุณ
แต่ยากนักที่คุณจะเห็น เข้าใจ
และประมาณถูก ว่าคนเรือนล้านมีขนาดไหน
กับทั้งยากกว่านั้น ที่จะมีกำลังใจใหญ่หลวงขนาดคิดอุทิศทั้งชีวิต
เพื่อช่วยคนเรือนล้านทั้งหมดนั้น ให้ได้อยู่ดีกินดี มีความเห็นชอบ
มีกรรมขาวเป็นที่พึ่งแก่ตนอย่างถาวร
พระจิตแห่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านรู้เห็น
ว่าประมาณคนเรือนล้านคืออะไรแค่ไหน
และพระจิตแห่งองค์ท่านก็ใหญ่พอ
ที่จะทรงปรารถนาช่วยคนลำบากยากจนหลายสิบล้าน
ในพระราชอาณาจักรของท่านให้หมด
โดยปราศจากเงื่อนไขแลกเปลี่ยนหรือปรารถนาสิ่งตอบแทนอื่นใด
นั่นมิใช่สิ่งที่คนธรรมดา หรือแม้ราชามหากษัตริย์ทั่วไปจะเข้าใจได้
คนดีๆตามท้องถนนธรรมดา อาจให้อภัยใครต่อใครไม่เลือกหน้า
น้ำใจเช่นนั้น คือเมตตาระดับที่ทำให้คนสัมผัสแล้วพลอยสงบตาม
สะกดความคิดร้ายจองเวรของศัตรูได้
คนแสนดีตามสถานสงเคราะห์
อาจค้อมหลังก้มหน้าช่วยเหลือผู้ตกยากมากมาย
น้ำใจเช่นนั้นคือเมตตาระดับที่เหนี่ยวนำคนใกล้ชิดให้เลื่อมใสศรัทธา
และอาจเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรได้
ประมุขหรือผู้ปกครองบ้านเมือง
อาจมีใจผูกพันกับการคิดแต่จะช่วยคนทั้งประเทศให้กินดีมีสุขและรอดพ้นจากหายนภัย
น้ำใจเช่นนั้นคือเมตตาระดับที่ก่อให้เกิดแรงปีติมากพอจะยอมตายแทน
และอาจเป็นแม้ที่รักของศัตรูได้
เมตตาที่ก่อผลกระทบกับผู้พบเจอได้นั้น
ต้องเป็นเมตตาที่ออกมาจากใจจริง
คือคิดดีกับคนอื่นจริง คิดให้คนอื่นจริง
ตลอดจนพูดและทำเพื่อคนอื่นจริง
หาไม่แล้ว แม้สร้างฉากพ่อพระแม่พระให้แนบเนียนอย่างไร
รัศมีเมตตาก็ไม่บริสุทธิ์ ไร้อิทธิพลพอจะจูงให้ใจผู้อื่นพลอยสงบตาม
อย่าว่าแต่จะให้เลื่อมใสศิโรราบหรือยอมตายแทน
นอกจากพระอรหันต์ผู้สงเคราะห์สัตว์โลกด้วยน้ำจิตบริสุทธิ์หมดจด
ก็เหลือแต่พระมหาโพธิสัตว์เจ้า
ที่ทรงมีน้ำพระทัยครุวนาดั่งมหาสมุทรใหญ่เท่านั้นที่ปานกัน
เมื่อทรงยอมอุทิศชีวิตให้ปวงชน
ประกายเมตตาก็ย่อมเหนี่ยวนำใครต่อใคร
ให้พร้อมพลีชีพเพื่อพระองค์ท่านเช่นกัน
การที่พระราชาไทยองค์ปัจจุบันทรงเป็นกษัตริย์โดยปัจจุบันกรรม
มิใช่เพียงกษัตริย์เพราะอดีตกรรมส่งมากำเนิด
เช่นนี้เท่ากับพระองค์ท่านทรงช่วยให้เราตอบลูกหลานได้ง่ายขึ้น
ว่าทำไมไทยเราจึงยังควรเทิดทูนระบบกษัตริย์
แตกต่างจากราชวงศ์อื่นในบางประเทศ
ที่อาจถูกล้อเลียนหรือกล่าวพาดพิงถึงอย่างไม่ต้องเกรงใจ
หาใครลุกฮือขึ้นประท้วงเอาเรื่องไม่ได้
นั่นก็เพราะคนยุคนี้ ดื้อเกินกว่าจะเทิดทูนบุคคลที่ปราศจากคุณงามความดี
คนยุคนี้ไม่แยแสยศถาบรรดาศักดิ์เพียงเพราะเกิดในวังอีกต่อไป
ใครจะอยู่ในหัวใจคนยุคนี้ได้
ก็ต้องดูแบบอย่างจากกษัตริย์ไทยพระองค์นี้แหละ
.....................................................................
▫️ภาพเดียวแทนพันคำ
ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านเป็นกษัตริย์ให้ดู
ว่ากษัตริย์เขาเป็นกันอย่างนี้
แค่ให้เด็กๆของเราเห็นจากโทรทัศน์
ว่าพระองค์ทรงทำอะไรให้อะไรกับพสกนิกรบ้าง
เด็กๆก็จะเงียบเสียงแห่งความสงสัย
และหันหน้าไปบอกต่อกันรุ่นต่อรุ่นว่า
พระมหากษัตริย์คือใครในแผ่นดิน
และเหตุใดจึงไม่น่าแปลกใจ
หากทั้งโลกจะไม่ลืมพระองค์ไปจนสิ้นกาลนาน
เป็นหนึ่งในโลกไม่ใช่เพราะชนะสิบทิศ
ด้วยแสนยานุภาพเกรียงไกร
แต่ด้วยหนึ่งใจและสองมือ
ของผู้สมควรเป็นกษัตริย์โดยธรรม
***คัดลอกจากบทประพันธ์ "ประกายเมตตาแห่งราชาไทย" โดย ดังตฤณ

โคลงเตือนสติ Chachapon Jayaphorn

มีสติเพื่อยับยั้ง                                ใจครวญ เถิดรา
มีเมตตาต่อมวล                               มนุษย์พ้อง
มีกรุณกรุ่นกระบวน                           คิดเถิด
มีมุทิตาต่อต้อง                                จิตปลื้ม พระคุณเสมอ
ยามเจอสิ่งขัดแค้น                           เคืองตา ตนนอ
ยามสดับสิ่งเคืองพา                         โสตขึ้ง
มีจิตอุเบกขาวางสงบ                        เถิดเพื่อน
มีพรหมวิหารซึ้ง                               ซ่านซ้อน  ใจเสถียร
จงเพียรชำระล้าง                              ความเบียน เบียดเทอญ
จงอย่าคิดปราบเตียน                        ติแค้น
จงกอปรกิจโดยเพียร                        เพื่อก่อ
จงอวิหิงสาแม้น                               พ่อเจ้า วางพระองค์
ทรงเคยรับสั่งไว้                              เราลืม แล้วฤๅ
รู้รักปรองดองดื่ม                             มิตรแท้
สามัคคีแหละทรงปลื้ม                     พระทัยยิ่ง นักเฮย
รักประมุขพึงปลุกแก้                        จิตฟุ้งเราเขา
ปราศเงาพระพ่อพ้น                         พึงเห็น แล้วนา
ยังมิทันไรเป็น                                 เรื่องแล้ว
เห็นต่างห่างรักเร้น                           รังวิวาท ต่อนา
ลืมพระทูลกระหม่อมแก้ว                 จากห้วงใจหรือ?
ใดคือความสงบพร้อม                      จงกระทำ ด่วนเทอญ
ใดมุ่งบดขยี้ยำ                                 หยุดเน้อ
ใดหยาบบาปเวรกรรม                       จงหยุด เทอญเพื่อน
ใดต่างจากคิดเพ้อ                            เพ่งเค้าตายเสมือน
จงเตือนสติพ้อง                               โดยตน ก่อนแล
ประโยชน์สุขย่อมเกิดผล                   เพิ่มได้
นั่นแหละพระจอมกมล                      คงโปรด นักนอ
คือแบบคำนับไหว้                             กราบด้วยใจจริง

รำลึกพ่อหลวง

อยู่ในแผ่นดินท่านมา 30 ปี ไม่เคยได้รับรู้ถึงบารมีที่ชัดเจนของท่าน

จนเมื่อสิ้นท่าน กลับพบว่าจิตใจสัมผัสบารมีท่านได้ชัดเจนมาก
และไม่ใช่ข้อมูลมือสองที่ถูกคนนู้นนี้นั้นบอกเล่าว่าท่านดีอย่างนั้นอย่างนี้

ทั้งหมดนี้มาในรูปของมโนผัสสะ
การสังเกตจิตใจมาตั้งแต่วันที่ 12 ตุลา จิตพะวงถึงท่านเนืองๆ
กลับบ้านรู้สึกเป็นหน้าที่ที่จะต้องสวดมนต์ถวายท่าน

13 ตุลาคม เช้ามารู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ในการเปิดเน็ต ด้วย "กลัวเจอข่าวร้าย"
แต่ก็ยังไม่เจอ จนผ่านไประหว่างวัน จิตใจสงบราบเรียบจริง
จึงได้รับ "ข่าวร้าย" ที่ว่า
และจึงมีคลื่นให้สัมผัสตามการเปลี่ยนแปลงของจิตใจ
เบื้องแรกที่ได้รับข่าว พบว่าจิตเฉยๆ จะบิ้วท์ให้เศร้าก็เศร้าไม่ออก
อาการภายนอกดูสลด น้ำตาซึม แต่ภายในกลับรู้สึกมีบางสิ่งช่วยประคองอยู่
และเป็นอาการขึ้นๆ ลงๆ ไม่นานก็กลับมาสงบราบเรียบ
ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะมั่นใจว่าเราได้ทำงานถวายท่านด้วยจิตที่ตั้งดีแล้ว
ช่วงเวลาเดินกลับบ้านสัมผัสถึงความสงบแห่งกลางคืน ที่ไม่ได้สัมผัสมานาน

14  ตุลาคม ตั้งใจไปทำงาน อยู่ๆ ประกาศหยุด
พี่นพก็เป็นใจให้เราไปร่วมงานได้เต็มที่
คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบจากคลื่นอารมณ์มหาชน
แต่กลับพบว่าตัวเองก็ยังนิ่งได้อย่างประหลาด อย่างไรก็ตามก็รู้สึก
ว่าไม่ใช่ไม่เศร้าหรอก แต่ว่าสมาธิคุ้มครองอยู่
ตอนรถท่านผ่านไป น้ำตาก็ไหลอาบ 2 แก้ม แล้วก็หยุดเพียงนั้น
ยังคงสัมผัสบรรยากาศเสียงนก เสียงอะไร รอบๆ ได้ต่อไป
มาน้ำตาแตกเอาตรงได้อ่านในเฟสบุคนิดๆ หน่อยๆ

15 ตุลาคม
นั่งดูอาการ พบว่ามันเศร้าแบบไม่กระทบอัตตา
คือ เป็นความสลดระดับอณู
คงเนื่องด้วยท่านเป็นผัสสะที่ไม่ใช่ "ของเรา" โดยตรง จึงอาจไม่กระตุ้นอัตตาให้ขึ้นตะครุบแล้วยึดตามด้วยแปลงร่างเป็นสารพัดรูปแบบ คือ อันนี้เหมือนกัน ไม่มีเหตุผลให้เศร้านะ แต่เศร้า เพียงแค่เศร้าเท่านั้น

ออกจากบ้านมองสีไม่เป็นสี (แต่วันนี้ก็ดีขึ้นกว่าวันที่ 14)
ความสลดนิดๆ นี้พอดีแก่การภาวนา
การได้รับรู้กรณียกิจของท่านทำให้ กระแสแห่งการทำหน้าที่ราวกะว่าจะตื่นขึ้นมา
เรียกว่าเป็นพลังให้เกิดสติอย่างบอกไม่ถูก มีข้อสังเกตนึงที่ใช้คำได้ตรงมาก
"เป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นในชั่วข้ามคืน"
"ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยิ่งใหญ่ สิ่งที่ท่านทำไว้ไม่สูญเปล่า ท่านได้เพาะเมล็ดพันธ์แห่งความดีงามโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย โครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการเป็นบุคคลต้นแบบ เสียสละในแง่มุมต่างๆ เพื่อให้เราเลือกเดินตามในแบบของเรา
"ตอนเด็กเพียงรับรู้แล้วผ่าน แต่สิ่งเหล่านี้กลับซึมซับเข้ามาโดยไม่รู้ตัว"

The power of routine

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ชมโฉมนางมณโฑ

เดชะพระเวทสิทธิศักดิ์            พระวิษณุรักษ์รังสรรค์
เกิดเป็นกัลยาวิลาวัณย์                            งามวิจิตรพิศพรรณขวัญตา
                                      งามพักตร์ยิ่งชั้นมหาราช          งามวิลาสล้ำนางในดึงสา
งามเนตรยิ่งเนตรในยามา                        งามนาสิกล้ำในดุษฎี
                                       งามโอษฐ์งามกรรณงามปราง   ยิ่งนางในนิมาราศี
งามเกศยิ่งเกศกัลยาณี                               อันมีในชั้นนิรมิต
                                      ทั้งหกห้องฟ้าหาไม่ได้               ด้วยทรงวิไลลักษณ์ไพจิตร
ใครเห็นเป็นที่เพ่งพิศ                                ทั้งไตรภพจบทิศไม่เทียมทัน

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

งานของพระ

หมั่นรู้ - ละ
ยอมรับ
ขออภัย
เมตตา
เป็นพระมีงานอยู่แค่นี้
ถ้าไม่รู้สักทีจะมีงานงอกเนืองๆ

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

ความกล้า

การหลงรักในสิ่งที่ไม่รู้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ being in love osho

เมื่อความเงียบเริ่มบรรเลง จงครื้นเครงไปกับมัน

การรับรู้ที่บริบูรณ์จะไม่ปฏิเสธสิ่งใดทั้งสิ้น

วันนี้กฤษณะมูรติกล่าวได้น่าสนใจ
การรับรู้ที่บริบูรณ์จะไม่ปฏิเสธสิ่งใดทั้งสิ้น

พึงระมัดระวังสิ่งที่ตรรกะ และความนิ่งปฏิเสธ การใส่ผ้าม่านคลุมบางๆ
การโฟกัสเฉพาะจุด นั่นทำให้...เรื่องราวไม่จบ เพราะเหลือสิ่งที่ละไว้


วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

บันทึกคำพูดทางเลือก

“How dare you talk to me that way” 
ลองใช้เป็น
“Do you have a different way you want to say that to me?” 

28 ก.ย.59

เมื่อเช้าตรู่ บังเอิญได้พบเด็กหญิงคนหนึ่ง
เราไม่ได้เจอกันมา 25 ปีแล้ว
เธอยังคงร่าเริงเหมือนเดิม
ยอดเยี่ยมจริงๆ 

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

22 ก.ย.59

เรื่องกรรมนี่นะ เท่าที่สัมผัสได้ในขอบเขตรับผิดชอบ คือ รับรู้ได้ว่าใครให้มาเท่าไร ตอบคืนเท่านั้น มากกว่านี้ก็ไม่ได้ น้อยกว่านี้ก็ไม่ได้ ถ้าไม่พอดีรู้สึกไม่จบ

20 ก.ย.59

เหตุปัจจะโย
ธาตุปัจจะโย

สังขารผสมกันออกมาให้ ไม่รู้จากไหน

บุคคลลงกันด้วยธาตุ

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2559

เที่ยวดมไปตอไม้เก่าเปล่าเปลืองแรง

กระต่ายเต้นตามทางอันเก่าแก่
อินทรีแลเห็นขวับจับตัวได้้
หมาล่าขาดเฉลียวอันฉับไว
เที่ยวดมไปตอไม้เก่าเปล่าเปลืองแรง
~ หานต้าป๋อ กวีจีน ยุคราชวงศ์ซ่ง
จากหนังสือ "เกี้ยมแขะ มือกระบี่ กวีเซน" โดยโชติช่วง นาดอน

17 ก.ย.59

ถ้าไม่มีความสุข จะเริ่มอยากได้อะไรที่มันปัญญาอ่อน 5555

สังเกตความระแวง
สังเกตความอิจฉา

17 ก.ย.59

ถ้าไม่มีความสุข จะเริ่มอยากได้อะไรที่มันปัญญาอ่อน 5555

สังเกตความระแวง
สังเกตความอิจฉา

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559

10 ก.ย.59

ผลของขาดสติคือการตอบสนองที่ไม่พอดี และความพยายามที่จะแก้ไขความไม่พอดีแบบไม่สิ้นสุด
อย่าติดฉลากความชั่วร้ายแก่บุคคล

อกุศลไม่อาจแทรกทันที
แต่เรื่องราวที่แตกต่างทำให้เกิดการกลับมาเคี้ยวกินในภายหลัง
แม้นั้นเป็นผัสสะใหม่ สติพึงตั้งขึ้นเพื่อต้อนรับผัสสะภายในนั้น

ความสุดโต่ง 2 ข้าง คือ
การเพิกเฉย หรือการปฏิญาณว่าจะไม่ยุ่ง
การตอบสนองไปโดยสัญญาเดิม

ทางสายกลาง คือ ตอบสนองด้วยสติ

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

9 ก.ย.59

เมื่อจักรวาลหลงรักตัวมันเอง ความรักก็เกิดขึ้น
เมื่อจักรวาลสงสัยตัวมันเอง ความจริงจึงกลายเป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์
ไม่มีเมฆใดใหญ่ไปกว่าท้องฟ้า
สิ่งนั้นผุดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
ไม่มีอะไร ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559

ถลำ

1 ก.ย.59

เป็นเข็มปักอยู่อย่างนั้น
พยายามจะดูให้ละเอียด
ร่างกายนิ่ง ไม่เห็นว่ากำลังเพ่งลงเป็นจุด

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

นิมิตแห่งความดับ

1.       Drugs, Alcohol abusing
2.       Borrow money and make it pressured
3.       History of cheating, stealing even a little thing - cheat is cheat everywhere
4.       Shady business, half-illegal – shady life, lack of integrity
5.       History of short relationships
6.       Too few, too much relations
7.       Avoid topic of past relationships – hiding something
8.       Evasive in general
9.       Cannot hold on to a job – not dependable, not consistent, she won’t be happy
10.   Your partner is losing friends, or no friend at all
11.   Expecting gifts kind of bargaining
12.   Showing up late all the time – irresponsible
13.   Possessive, jealous try to control you
14.   Be there all the time, clingy, always on call for you – insecurity
15.   Need to see you more than 3 times a week – insecurity
16.   To busy to see you less than once a week, excuses – priority
17.   Unwilling to learn better communication skill
18.   Lies to others – good way to judge character
19.   Lies by omission, tell the truth but not all – manipulative personality
20.   Always in an emergency situation – unstable, don’t know how to steer their own lives
21.   Perfectionism, criticize everything but you – never gonna be satisfy always looking for something better out there if find it will go
22.   Is this person cut throat in business, biting everybody
23.   Overly driven by money, power, fame – you’ll be sacrified for these things
24.   Oblivious about everybody – never care about anybody he should be open to feed back
25.   Hot tempered at others
26.   Threaten to leave
27.   Blaming you for everything
28.   Psychic medication for quite a while – they looking for shortcuts and won’t fix problems

29.   Long distance and no plan about closing that gap – don’t want to move closer, it won’t last 

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

อะไรควรสงสัย อะไรไม่ควรสงสัย


Things you should doubt about yourself to grow: 1. Ego / Defense mechanisms / Self-biases or double-standards 2. Beliefs / Ideologies 3. Emotions 4. Criticisms of other people 5. Cultural preferences 6. Moralizations 7. Motivations based on obligation or duty 8. When you beat yourself up 9. Web of beliefs 10. Identity / Existential nature / Who you think you are Things you should trust about yourself as you grow: 1. Intuition / Higher self 2. Drive for truth 3. Drive for love, compassion, gratitude, beauty, and contribution 4. Silence and solitude 5. Deeper, higher emotions* (*after a few year of personal development) 6. Creative muses 7. Awareness and direct experience 8. Natural powers as a human being (i.e. capacities to live, survive, and thrive)

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คู่ควบให้สังเกต

ไม่ควรเจริญอะไร - ควรเจริญอะไร
ไม่เจริญอะไร - อะไรเจริญ
เจริญอะไร - อะไรไม่เจริญ
เจริญอะไร - อะไรเจริญ
ไม่เจริญอะไร - อะไรไม่เจริญ

สัมปชัญญะฐานที่ 13

อานนท์ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ จิตน้อมไปในการพูด

ธอก็ตั้งจิตว่า "เราจักไม่พูดเรื่องเลวทราม เรื่องของชาวบ้าน เรื่องของปุถุชน ไม่ใช่เรื่องของพระอริยเจ้า ไม่ใช่เรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อดับ ไม่เป็นไปเพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อรู้พร้อม เพื่อนิพพาน เห็นปานนั้น เช่นเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรืองมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องของน่ากลัว เรื่องการรบพุ่ง เรื่องข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน ระเบียบดอกไม้ ของหอม ญาติ ยานพาหนะ หมู่บ้าน จังหวัด เมืองหลวง บ้านนอก เรื่องหญิงชาย เรื่องคนกล้า เรื่องตรอกทางเดิน เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ตายไปแล้ว เรื่องต่างๆ นานา เรื่องโลก เรื่องมหาสมุทร เรื่องความรุ่งเรือง เรื่องความทรุดโทรม ดังนี้

ในกรณีอย่างนี้ ภิกษุนั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในกรณีแห่งเรื่องไม่ควรพูดนั้น

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สภาวะงงๆ 5555

14 ก.ค.59

มีผัสสะที่สามารถเป็นเหตุให้โทสะ
ตอนโต้ตอบมีเสียงดัง แต่ใจไม่ได้โทสะ ไม่ได้ปฏิฆะ แต่ก็มีสังขาร ไม่ได้ว่าง
แต่มือสั่น

เอ...ตกลงโกรธรึไม่ได้โกรธ น้อ

สภาวะงงๆ

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

黄帝内经

ระบบที่ซับซ้อน ไม่สามารถใช้ และอย่าใช้มาตรวัดอันเดียวไปวัด

ฝั่งซ้าย - ขาดอะไรก็เติมลงไป
ฝั่งขวา - ขาดอะไร หาทางกระตุ้นให้สร้างอันนั้น

万物都是有形生于无形
无形生到有形有这么一个过程
这个过程是

有太易 = 未见气 (气还没有呢)
有太初 = 气之始也
有太始 = 形之始也 (有气了气聚成形了)

有太素 = 质之始也 (本质)e

----
หวงตี้เน่ยจิง

ความน่าสนใจคือ การเรียกอวัยวะ ไม่ได้เรียกตาม “รูปธรรม” ซะทีเดียว

เปรียบเทียบกับแพทย์สายตะวันตก เวลาเรียนอวัยวะ ก็ง่ายมาก..ผ่าดูเอา มีโครงสร้างให้เห็น ชี้ได้ จับต้องได้ เรียกชื่อแล้วสื่อตรงกันว่านี่คือสิ่งที่หน้าตาอย่างงี้ๆ มันทำงานอย่างงี้ๆ

ขณะที่การเรียกอวัยวะในตำราหวงตี้เน่ยจิงนั้น บางอย่างเทียบเป็นชิ้นเป็นอันกับตะวันตกได้ คือมีอวัยวะชัดเจน แต่บางอย่าง กลับเป็นลักษณะของ “ความสามารถ” หรือ “คุณลักษณะ” ในการทำงานอย่างนั้นๆ มากกว่า คือ ไปผ่าดูเนี่ย ไม่เจอหรอกอวัยวะที่ว่าเนี้ย แต่เมื่อมองจากองค์รวม ดูจากภายนอก ราวกับว่ามีอวัยวะที่ว่านี้อยู่

ตัวอย่างเช่น “ใจ” ในหวงตี้เน่ยจิง ไม่ได้หมายถึง อวัยวะสูบฉีดเลือดเท่านั้น แต่หมายถึงถึง สภาวะจิตใจ อารมณ์ ความมีชีวิตชีวา (เสิน) ที่เป็นนามธรรมด้วย

เวลาบอกว่ามีเสิน สื่อคือ มีชีวิตชีวา ผิวพรรณมีน้ำมีนวล อากัปกิริยาคล่องแคล่ว มีเรี่ยวมีแรง แววตามีประกาย กินง่าย ถ่ายคล่อง หลับดี

สุขภาพดีของแพทย์แผนจีน จะมองที่ความสัมพันธ์ของกายและใจ (จิตวิญญาณ) ที่สอดคล้อง 形神相俱 ประสานการทำงานได้ดี ขณะที่แพทย์ฝั่งตะวันตกนั้น หากร่างกายเจ็บป่วยจึงถือว่ามีความเจ็บป่วย แต่ถ้าร่างกายปกติดี ก็ถือว่าคนนั้นไม่มีความเจ็บป่วยใดๆ

ตำราเน่ยจิงนี้จะเปรียบร่างกายเหมือนกับเมืองๆ หนึ่ง โดยมี “ใจ” เป็นฮ่องเต้ หรือเป็นหัวหน้า


30/5/59 วรรคทองวันนี้

คุณไม่มีวันจะบัญญัติกฎหมายขึ้นมาเพื่อคุ้มครองคนจากความโง่เง่าของพวกเขาเองได้หรอก

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ทานบารมี

สุดท้ายแล้วทานจะปิดวิจิกิจฉา

ถ้ารู้สึกแต่ว่าภยันตรายอยู่รอบตัวไปหมด

ชาติที่ดีที่สุด คือชาติที่เราเข้าใจเหตุผลของการเจอดีเจอร้าย
ไม่ใช่ชาติที่เจอร้ายแล้วร้ายตาม

ถ้ารู้สึกแต่ว่าภยันตรายอยู่รอบตัวไปหมด
ให้เชื่อมั่น และตั้งมั่นว่า

"เรานี่แหละ จะเป็นเขตปลอดภัยให้เอง"

เริ่มต้นด้วยการรักษาศีล เพื่อจำกัดอันตรายจากตัวเองที่จะแพร่ถึงคนอื่น

แล้วต่อยอดขยายเขตปลอดภัยด้วยการให้ทาน

เพื่อลดความทุกข์ร้อน อันเป็นเหตุให้คิดชั่ว

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เดิน เปลี่ยน ที่ใดมีรูปที่นั่นมีนาม

ธรรมชาติของจิตเนี่ย มันต้องมีที่ยึดเกาะ ปกติแล้วที่ใดมีรูป ที่นั่นย่อมมีนาม จิตวิญญาณมากมายล้วนต้องการที่อยู่ เพราะมันอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ เหมือนจิตเราน่ะ ถ้าไม่ปฏิบัติดีพอ ก็อยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องวิ่งไปจับสิ่งนั้นยึดสิ่งนี้ หาที่อยู่กันตลอดเวลา โชคดีที่เรามีที่อยู่ตั้งแต่เกิด คือกายของเรา แต่ขนาดว่ามีกายแล้วจิตวิญญาณเรายังอยู่ไม่สุก วิ่งไปยึดคนโน้น เกาะสิ่งนั้น กันอยู่ตลอดเวลา แล้วที่เราปฏิบัติกันก็เพื่อให้จิตมันเลิกยึดเกาะ และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นอิสระ ที่สุดแล้ว จึงเรียกว่า "จิตอิสระ" ไม่ต้องเกาะต้องอาศัยยึดอะไรอีกต่อไป
จิตวิญญาณก็เหมือนกัน หลุดจากกายไปแล้วก็ต้องหาที่ไป ถ้ามีที่ไปแน่นอนก็ง่าย จิตมีกำลังกุศล ไปสวรรค์ ไปเกาะภพสวรรค์ จิตมีฌาน ไปเป็นพรหม จิตมีวิบากมีความห่วงใยพอดี ก็มาเกิดเป็นคนใหม่ จิตมีอกุศลมากก็ลงอบาย อันนี้แบบชัดๆ
มีพวกไม่ชัดประเภทความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏ ไม่หือไม่อือ จะไปข้างไหนก็กำลังไม่พอ พวกนี้คือสัมภเวสี ก็จะล่องลอยหาที่เกาะไปเรื่อย บางทีก็ไปเกาะในสถานที่ ตามต้นไม้ ตามวัตถุสิ่งของ แล้วก็ไปเจริญเติบโตในโลกของวิญญาณ จนมันมีกำลังพอ ก็จะค่อยเกิดเป็นอะไรก็ว่าไป อย่างสมมติเราตายในบ้าน จิตเกาะอยู่ในบ้าน อยู่ไปอยู่มานานๆ สะสมกำลัง จนติดที่ก็เป็นผีบ้านผีเรือนไง
สัมภเวสี เขาอยู่ภพใดกันแน่ครับเนี่ย เปรต อสุรกาย เทวดา ?
ก็เป็นพวกรอเกิดไง นึกออกมั้ย สมมติว่าคุณเป่าลูกโป่งสวรรค์ แล้วลมไม่พอ มันยังไม่ลอยขึ้นเต็มที่ แต่มันก็ลอยขึ้นๆ ลงๆ ผลุบๆ โผล่ๆ ไงคุณ รอเวลาวิบากมาสมทบแล้วค่อยดูอีกทีว่าไปทางไหน บางทีติดภพนี้นาน เราเข้าใจเองจากจิตนะ ว่าเป็นภพคั่น

จิตวิญญานมันมีเยอะมาก ที่สามารถจะรวมกำลังขึ้นมาเป็นผีเป็นตัวๆ นี่ก็เป็นส่วนน้อย ที่ล่องลอยเหมือนเชื้อโรค เป็นรูปพลังงานก็รวมเป็นตัวไม่ได้ก็มี ก็อยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ เป็นกลุ่มพลังงาน พวกเราลองทดสอบได้ ถ้ากายสะอาดใจสะอาดระดับหนึ่งแล้ว ไปในบางพื้้นที่ จะรู้สึกเหมือนฝุ่นเกาะตัว เกาะขาเกาะตัวจนรู้สึกได้เลย อย่างนี้เรียกว่าพลังงานน้อย แต่เยอะ..
ส่วนพวกที่เป็นตัวๆ เลย พวกนี้ก็มีฤทธิ์มีกำลังตามวาสนา ตามเหตุปัจจัย พวกนี้ ผู้มีวิชาเขาสามารถเหนี่ยวนำไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นต้นว่าเรียกวิญญาณผี ให้มาอยู่ในตุ๊กตา ก็กลายเป็นกุมารไง เขามีวิชาผูกวิญญาณ ให้สิงสู่อยู่ในกุมาร แล้วก็ขายกุมารนั้นให้เราซื้อมาเลี้ยงได้ โดยบอกว่า เป็นเทพ ส่วนใหญ่กุมารเขาว่าเขาเป็นเทพ
ถามว่าเป็นไปได้มั้ย ก็เป็นไปได้ อย่างศาลพระภูมิ เขาเชิญเทวดามาสถิต คือทำศาลให้ท่านอยู่ แต่ครูอาจารย์ที่ท่านเล่าๆมา ท่านก็ว่าเทวดามีวิมานของตัวเอง แต่ถ้าคนตั้งแท่นบูชา เขาก็มารับการบูชาได้ แล้วมันไวไง แค่นึกถึงเขา เขาก็มา แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะมาอยู่ในศาลนั้นตลอด เขาก็อยู่วิมาน(บ้านทิพย์)ของเขา สมมตินะว่ามีวิญญาณระดับเทวดา ถูกเชิญมาอยู่ในตุ๊กตาเด็ก ก็เป็นได้ว่าเขาอาจจะมา แต่ตามหลัก เขาก็ต้องมาเพื่อประโยชน์บางอย่างของเขา เช่นมาช่วยญาติสร้างบารมี ให้พร หรือดลบันดาลให้เป็นไปในนทางที่ดี
แต่ถามว่าถ้าเราเป็นเทวดา เราจะมาอยู่ในกุมารมั้ย ? ลองถามตัวเองดู อุตส่าห์มีบุญได้เป็นเทวดาแล้ว ตามปกติก็ต้องเสวยบุญของตัวเอง จะมารอคนเลี้ยงน้ำแดง มันใช่ที่อยู่หรือเล่า ?
ตรงข้ามกับพวกผี ที่มีลักษณะจิตตรงข้ามกับเทวดา ผีหิวโหยตลอด และขาดแคลน มันขาดจากจิต ผีจะต้องการพลังงานบุญมาเติมเต็มให้กับตัวเองตลอด สมมติเราเป็นผีนะ จะไปเกิดที่ไหนก็ไม่ได้เพราะบุญไม่พอ ก็คือไม่มีที่ไป ถ้ามีคนที่มีความสามารถ มาบอกเรา มาสื่อกับเราได้เราก็ย่อมดีใจ ย่อมเชื่อเขา ถ้าเขาบอกให้ไปอยู่ในกุมาร แล้วจะมีคนเลี้ยง ให้เราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าอ.เจี๊ยบเป็นผี ก็คงจะทำตาม เพราะไม่มีทางเลือก แม้ผีก็ต้องการชีวิตที่ดีกว่า แต่ถ้าอ.เจี๊ยบเป็นเทวดา คือ ถ้ามาให้กูไปช่วย ก็คงได้ แต่จะมาให้กูไปเป็นกุมารให้เขาเลี้ยงนี่ มันก็แปลกเหตุแปลกผล คือแปลกจากตรระกะของเทวดาอยู่นะ
ด้วยเหตุนี้ อ.เจี๊ยบจึงมีความเชื่อพื้นฐานว่า ส่วนใหญ่วิญญาณที่อยู่ในกุมาร เป็นผี หรือสัมภเวสี หรืออาจเป็นโอปปาติกะ เกิดแล้วในรูปใดรูปหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นเทวดา
พื้นฐานของพวกเขาคือต้องการผลประโยชน์บางอย่างจากมนุษย์ และสามารถให้ประโยชน์บางอย่างแก่มนุษย์ได้ ฟังดูจะเข้ากับคำว่า "เลี้ยงกุมาร" ถ้าเลี้ยงดีๆ จะให้คุณประโยชน์ ถ้าเลี้ยงไม่ดี ก็มีโทษได้ ลักษณะจิตของเขา ย่อมขาดกุศล จึงต้องพึ่งพิงคนเลี้ยง ยิ่งคนเลี้ยงยึดว่าเป็นเด็ก เป็นลูกเป็นหลาน เขาก็ชอบสิคะ เพราะเราคุยเขาได้ยิน รับกระแสใจได้ ติดตามเราไปไหนมาไหนได้ รับกุศลได้ รับความรู้สึก หรือเสพวัตถุธาตุในลักษณะที่เป็นพลังงานได้ (เลยกินน้ำแดงได้) ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงเลี้ยงกุมารได้จริง
เรื่องมนุษย์เลี้ยงผีนี้มีทุกชาติ ทุกศาสนา มีมาตั้งแต่ก่อตั้งโลก ทั้งมนุษย์วิทยา ทั้งสังคมวิทยา ไปจนศาสนศาสตร์ก็มีคำอธิบายให้ แล้วก็มีกลุ่มคนที่สามารถสื่อสารกับผีได้ สามารถใช้ผีทำงานได้ 555 อันนี้มันมีอยู่จริง
แต่ถามว่าผลที่ได้รับคืออะไร ?
อ.เจี๊ยบอยากถูกหวย จะเอาเงินมาปิดหนี้บ้าน ยังไม่ถูกเลย ขนาดมีหลักการว่าเข้าฌานได้ ออกจากฌานอธิษฐานได้ มีหลวงพ่อใหญ่เก่งสุดๆ เป็นอาจารย์ บางทีหลวงพ่อฮา ให้เลขด้วย ก็ไม่เคยถูก เพราะไม่มีกรรมสัมพันธ์ในเรื่องนี้ ไม่มีโชคลาภลอยอะไรก็ว่าไป ต่อให้เลี้ยงกุมารเป็นพันองค์/ตัว ก็คงไม่ถูกหวย เพราะเราไม่มีวาสนาในด้านนี้
แต่บางคนที่เขามีวาสนาในด้านนี้ เขาก็ถูกหวย กุมารอาจจะช่วยได้ ในแง่มาดลใจ มาสื่อสาร เพราะกุมารบางองค์ก็อาจจะไปดูเลขหวยได้จริง 555 แต่จริงๆ แล้ว มันก็ได้แค่เพิ่มกำลังให้
แม้แต่เทพทั้งหลายก็ยังบอกว่า "ช่วยได้ไม่เกินกรรม" ดังนั้นถ้าจะเอาจริงๆ ผลดีที่ได้รับในแง่ลาภยศเกียรติสรรเสริญ มันก็มาจากกรรมของเราทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่เทพให้ได้ หรือกุมารให้ได้ มันตอบสนองในแง่จิตใจมากกว่า คือ ให้กำลังใจ มีความรู้สึกว่ามีผู้คุ้มครอง มีผู้คอยบอกสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ มีอะไรที่พิเศษไปกว่ามนุษย์คนอื่น เพราะมันมีอีกจิตนึงสนับสนุนเราอยู่นั่นเอง คนที่จิตใจอ่อนแอ หากว่ามีกำลังใจสนับสนุนอย่างเป็นทางการ เป็นรูปธรรม ในรูปขององค์เทพองค์กุมาร (แบบส่วนตัว) ก็จะรู้สึกมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น มีกำลังใจขึ้น ก็ไอ้กำลังใจตัวนี้แหละ ที่สร้าง "ความเปลี่ยนแปลง" ให้กับชีวิตคุณได้
ในทางกลับกัน สิ่งที่คุณจะต้องสูญเสีย ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่คิด และไม่ตั้งคำถาม เพราะคนเรามักจะเอาแต่ได้ เห็นแต่ข้างที่จะได้ แต่ไม่ระวังถึงสิ่งที่จะเสีย
จิตอื่นมาอยู่กับเรา เราก็ต้องเลี้ยง การเลี้ยงนี้เราก็ต้องมอบกำลังจิต (มาจากบุญกุศล) ให้กับเขา เพราะเขาไม่มีพลังงานในตัวเอง ถ้ามี เขาจะมาให้เราเลี้ยงทำไม (อันนี้ไม่นับกรณีเทวดามาช่วย เพราะผูกพันกันมานะ เอาเฉพาะหมวดวิญญาณทั่วไป หรือผี)
คือพูดง่ายๆ เรากินอะไรเขาก็รู้สึกว่ากินด้วย ทำอะไรก็ทำด้วยกัน แรกๆมันคงดี แต่อยู่ๆ ไป ถ้าเราเกิดอด เขาก็อด สองจิตอด มันก็มีแต่คนเราที่มีความสามารถจะหากินได้เอง ก็เหมือนมีลูก หรือเพื่อนซี้ ที่เราต้องคอยดูแลตลอด พอเวลาที่เราลืม หรือเบื่อ เขาก็ย่อมไม่โอเคสิ เพราะว่าเคยได้แล้วไม่ได้ หากว่าเขามีกำลังจิตแกร่งกล้ากว่าเรา หรือมีฤทธิ์ขึ้นมา เขาก็สามารถดลบันดาลในทางตรงกันข้าม กับที่เขาให้ มันก็จะเกิดอะไรได้มากมายจากเหตุอันนี้ โปรดจินตนาการต่อเอาเอง
นอกจากนี้เราก็ต้องจำกฏของพลังงานเอาไว้ มนุษย์มีพลังงานสองส่วน คือพลังงานจิต และพลังงงานกาย หากว่าจิตดี กายก็ดี กายไม่ดี จิตก็ไม่ดีไปด้วย กายเดียว จิตเดียวก็ยังแบกกันไม่ไหวเลยบางที แต่ถ้ากายเดียวแต่สองจิต หรือหลายจิต มันจะเป็นยังไงล่ะ 555 ลองจินตนาการดูทีรึ..
กฏของพลังงาน พลังงานที่มีศักย์สูงจะไหลไปหาจุดที่มีศักย์ต่ำกว่า มนุษย์มีพลังงานมากกว่า ก็ไหลไปสู่จิตวิญญาณที่มีพลังงานน้อยกว่า เขาอยู่กับเราจึงมี "ส่วนได้" ได้ตั้งแต่ระบบพลังงานตามธรรมชาติเลย เรามีกายด้วย เขามีแต่จิต พลังงานจิตเราต้องแบ่งไปรักษากาย ส่วนเขาไม่ต้อง เกาะอยู่กับกายเราได้ ดึงพลังงานของเราไปเติมเต็มจิตเขาได้
อยู่ไปนานๆ กลายเป็นว่าวิญญาณที่กระแสจิตอ่อน ก็เกิดมีความเข้มแข็งขึ้นมาได้ ส่วนมนุษย์ที่ว่าจิตเคยสูงกว่า แต่ไม่รู้ตัว ก็ถูกดึงพลังงานไป ทำให้จิตใจอ่อนแอ จะคิดจะทำอะไรเองก็ไม่ได้ เพราะชินกับการที่จะต้องมีที่ปรึกษา จิตที่มีพลังงานมากกว่า ก็สามารถ เทคโอเว่อร์ กายซึ่งเป็นเรือนร้างได้
ในที่สุดก็ต้องมาบวช 9 วัน แสดงอาการประหลาดๆ เหมือนไม่ใช่ตัวเรา เพราะว่ากายถูกแฮคไปใช้แล้ว โดยจิตที่เขาเหนือกว่าเรา โดยเฉพาะเมื่อเราขาดสติ หรือเจ็บป่วยจนจิตอ่อนแอ

ที่ปูพื้นฐานว่า ที่ใดมีรูป ที่นั่นมีนาม คือหมายความว่าเราเอาอะไรมาตั้งไว้ มันก็มีพลังงานไหลเข้าไปได้ไง

ตุ๊กตาเอย รูปภาพแขวนผนัง มีได้หมดเลยนะ ต้นไม้ แม้กระทั่งบ้านเราเนี่ย ชั้นบนไม่ได้อยู่ ไม่ได้ขึ้นไป วิญญาณเต็ม 55 


อันนี้ขนาดไม่ได้อัญเชิญน่ะ เขาก็มาเอ้งงง คือไหลมาเอง
ขนาดยังไม่ได้เชิญก็มา แต่ถ้าเชิญก็มาอยู่เลย แบบได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการให้อยู่ได้ไงคะ

เหมือนกัน คนเราไปไหน มีพลังงานชีวิต มันก็ดูดเอาสิ่งแวดล้อมรอบตัวเข้ามา แล้วก็คายออก เป็นหลักธรรมชาติ จิตเป็นพลังงาน หายใจทีนึงเข้ามาไม่รู้เท่าไหร่ แล้วก็หายใจออกไป แต่มันจะมีพลังงานบางอัน จิตบางดวงที่มีวิบากสัมพันธ์กัน มีกำลังพอจะเกาะได้ เกาะแล้วเกาะเลย เอาเป็นว่าปกติก็มีวิญญาณตามหรือเกาะกันทุกคนเป็นปกติ พอถึงจุดนึงก็หลุดไป หรือที่ไม่หลุดก็สะสมอยู่ในกายของเรา

อันนี้คือไม่ได้เชิญ มาเอง ก็ยังมีใช่ป่ะ

แล้วกรณีที่เชิญมา หรือรับขันธ์มา หรือรับของมา

อันนี้เรียกว่า "ยินยอมอย่างเป็นทางการ" มันก็ไม่ออกซีคะ ก็อยู่กับเราไปเรื่อยๆ จะดีจะร้ายก็แล้วแต่วิบากของเราและของเขา

เคยสัมภาษณ์ผี ผีมันว่าล่องลอยอยู่ เห็นใครสว่างก็ตามเขาไป ได้จังหวะเกาะ ก็เกาะ มันไม่ใช่ว่าจะเกาะได้เลย ต้องตามก่อน แล้วสบช่อง ก็เกาะ ดังนั้นจะเกาะได้ ก็ต้องมีกรรมสัมพันธ์กันอีก ก็อยู่ที่ว่าดีหรือร้าย

แต่ถ้าเราเป็นผู้มีบุญ เป็นศิษย์มีครู มันก็ดีสำห
รับพวกเขา คือเกาะมาแล้วได้รับกุศลจากเรา ก็อิ่มเต็ม บ้างก็หลุดไป บ้างก็เปลี่ยนภพ

จากมึนๆ เป็นผีอยู่ มาอยู่กับเราได้กำลัง ก็สว่างขึ้น เกิดจำได้ขึ้นมา ก็ไปตามสัญญากรรมได้

ที่เล่ามานี่ก็สรุปว่า ถึงไม่ต้องไปอัญเชิญมา ก็มีอยู่แล้ว แล้วจะอัญเชิญมาทำไมให้เหนื่อย ก็เอาที่มีอยู่รอบตัวเรานี่แหละ แผ่เมตตาอุทิศกุศลบ่อยๆ เค้าก็สว่าง ก็เป็นญาติเรา เกื้อกูลกันเองแหละ
ถามเรื่องเปิดเสียงสวดมนต์ ก็อธิบายหลักการพื้นฐานตามหลักวิทยาศาสตร์ 

เสียงสวดมนต์มีพลังงานบวก กระแสมีกำลังหนาแน่น ถ้าเอาไปเปิดตรงไหน คลื่นที่แผ่ออกไป ก็จะไปเกื้อหนุนในบริเวณที่มีพลังงานน้อยกว่า ไหลไปเอง (แต่ไม่เหนือยเพราะเป็นเครื่่อง) เราก็ปั่นพลังงานไปให้ระบบ เปรียบได้ว่า พลังงานบวกนี้ก็ไปเพิ่มพลังให้กับบริเวณที่เป็นกลาง และไปทำให้บริเวณที่เป็นพลังงานลบ กลายเป็นกลาง แล้วถ้ากำลังมากพอ ก็จะกลายเป็นบวกตามมา

ถ้าเปิดเสียงสวดมนต์ เทวดาแห่กันมาฟัง (หาฟังยากนะสมัยนี้) เทวดาเป็นเทวดาได้ เพราะมีจิตกุศล ก็จัดเป็นพลังงานบวก กรูกันมา ก็ทำให้บริเวณนั้นเป็นบวกเข้าไปใหญ่

ถามว่าถ้ามีพลังงานลบ(ผี) อยู่ตรงนั้น มันเจอบวกเข้าไป ถ้ามันไม่ละลายลบให้เป็นกลาง แล้วก็ได้รับพลังงานบวกไปด้วย แปรสภาพไปเป็นบวกได้ (ผีสัมมาทิฐิ) 


แต่ถ้ามันเป้นพวกมิจฉา มันก็ต้องกระเด็นออกไปอยู่ที่อื่น เพราะกระแสมันทนพลังงานบวกจำนวนมากไม่ได้

 ถ้าขี้เกียจสวด ก็เปิดเสียงสวดมันเข้าไป เหมือนเปิดเครื่องฟอกอากาศ พระท่านก็ไม่เหนื่อย เทวดาก็ชอบ ผีดีๆ ก็ชอบ ผีไม่ดีก็อยู่ไม่ได้ เพราะมันแสลงใจ ถ้ามันไม่เอาธรรม มันก็ต้องไปอยู่ที่อื่น

มันไม่ใช่ -กันผี- หรือ -ไล่ผี- แบบในหนัง โปรดเข้าใจด้วยค่ะ

มันกันได้ ถ้าผีมันทนไม่ไหวมันก็ไป หรือเทวดาเยอะจริง ผีก็เข้าไม่ได้ ก็เหมือนไฮโซ ยืนกันตรึม โลโซจะกล้าเข้าไปรึ

คิดง่ายๆ เลย ผีก็คือคนที่ตายไปแล้ว คนเป็นยังไง ผีก็เป็นอย่างนั้นแหละ

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

พูด

๑.  เป็นนักพูดที่ดีและฟังเป็น  คือ  ไม่ใช่ฝึกพูดอย่างเดียวนะคะ  ต้องฝึกฟังด้วยต้องรู้ว่าเมื่อไรควรพูด เมื่อไรควรฟัง  การฟังผู้อื่นพูดทำให้เราได้รับความรู้เพิ่มขึ้น  หรือเป็นการทบทวนความรู้เดิมที่เรามีอยู่
๒.  ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอไม่หยุดยั้ง   นอกจากจะได้จากการฟังการสนทนากับผู้รู้ต่าง ๆ  การฟังข่าววิทยุ โทรทัศน์แล้ว  ความรู้ที่ได้จากการอ่านสำคัญที่สุด  เพราะเสนอวิธีตักตวงความรู้ที่รวดเร็วและรวบรัดที่สุด  นักพูดต้องรักการอ่าน  มิฉะนั้น  การพูดจะวนเวียนอยู่ที่เดิมจะไม่ไปไหน
๓.  ยอมรับฟังคำวิจารณ์  นักพูดต้องยอมรับฟังคำวิจารณ์จากผู้อื่น  ต้องต้อนรับทั้งคำติและชม  ไม่ใช่หลงใหลอยู่กับคำชมคำสรรเสริญเยินยอแต่ฝ่ายเดียว  ที่ไม่ให้อะไรมากไปกว่ายาหอมชะโลม  มีความสุขชั่วครู่ ชั่วยามเดี๋ยวก็ลืม  แต่คำติให้ข้อคิดกับเราไม่ว่าจะเป็นคำติเพื่อก่อ หรือทำลาย  เพื่อตั้งสติให้มั่นคง  นำมาพิจารณหา ข้อเท็จจริง  ให้รีบนำมาปรับปรุงแก้ไขตัวเองใหม่ ถ้าเขาไม่ติเรา แล้วเราจะรู้สึกถึงสัญญาภัยเหล่านี้ได้อย่างไร
๔.  เป็นตัวของตัวเอง  นักพูดต้องเป็นตัวของตัวเองอย่าเลียนแบบใคร  เพราะไม่สร้างสรรค์  ไม่ทำความเจริญให้แก่โลก  และไม่ทำความความภาคภูมิใจให้แก่ตัวเอง  เราจะเป็นยอดในสิ่งนั้นไม่ได้  เพราะในที่สุดของที่สุดเราจะพ่ายแพ้  คน ๆ หนึ่ง  คือ คนที่เราเลียนแบบเขานั่นเอง  ให้จับเอาตัวอย่างที่ดี  คำพูด  ข้อคิดที่ดีมาใช้  และต้องเอ่ยนามเขาด้วย  เพราะถือว่าเป็นมารยาทอันงดงาม  และยังสามารถถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ  เหล่านั้นได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่เคอะเขินอีกด้วย
๕.  มีความสุขในการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้อื่น  คนที่หลงความรู้นอกจากทำให้โลกไม่เจริญแล้ว  ตัวเองก็ยังทำให้เจริญไม่ได้ด้วยเพราะถ้าเราปิดบังไม่ยอมถ่ายทอดหรือถ่ายทอดไม่หมด  เก็บไว้หากินวันหลังบ้างทำนองนี้  เราก็จะไม่ขวยขวายค้นคว้าหาความรู้ใหม่ในที่สุดความรู้ก็เท่าเดิมไม่พัฒนาขึ้น แต่ให้ถือว่าการพูดทุกครั้งเป็นโอกาสดี ที่เราจะได้ทำประโยชน์  เป็นเกียรติยศที่ผู้ฟังหยิบยื่นให้แก่เรา  ความคิดเช่นนี้เป็นความสุขที่มองไม่เห็น เป็นความภาคภูมิใจที่ซ่อนเร้น  ซึ่งจะบันดาลให้การพูดเป็นประกอยเฉิดฉาย  มีพลังมีศรัทธและมีหัวใจที่ทุ่มเทให้กับการพูดทุกครั้ง


http://7meditation.blogspot.com/2012/01/43.html

1.เป็นคำพูดที่แสดงถูกกาล กล่าวคือ เป็นคำพูดที่พูดถูกจังหวะ ถูกเวลา ถูกสถานที่ 
1.1.การพูดถูกจังหวะ คนมักชอบ ดังคำที่เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า “ พูดมากก็มากเรื่อง พูดน้อยก็พลอยเคียง ไม่พูดก็ไม่รู้เรื่อง แต่การพูดผิดจังหวะคนมักชัง ตัวอย่าง ในการสนทนากัน  บางคน พูดไม่ถูกจังหวะ เขาพูดยังไม่จบรีบพูดแทรกในขณะที่คนอื่นพูดไม่จบ การพูดที่ผิดจังหวะนี้เมื่อทำบ่อยๆ คนที่สนทนาด้วยก็มักจะไม่ชอบ แต่เขามักจะชัง
1.2.การพูดถูกเวลา คนมักชอบ แต่การพูดผิดเวลาคนมักชัง ดังนั้น ในบางกรณี ก่อนที่เราจะพูด เราควรถามอีกฝ่ายหนึ่งก่อนว่า  “ ขอโทษครับ ผมขอเวลาปรึกษาเรื่อง...ไม่ทราบว่าคุณจะพอมีเวลาว่างให้ผมไหมครับ ”
1.3.การพูดถูกสถานที่ การพูดเรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรนำไปพูดในบางสถานที่ เช่น เขากำลังทำพิธีสวดศพอยู่ เราดันไปพูดเรื่องตลก หัวเราะชอบใจในงานศพ เมื่อเจ้าภาพเห็นเขาอาจ ไม่รู้สึกสนุกเหมือนเราสนุกก็เป็นได้
2.น้ำเสียงสอดคล้องกับเรื่องที่พูด  น้ำเสียงมีความสำคัญต่อเรื่องที่พูด มีคนเคยกล่าวว่า “ ภาษาสื่อถึงความหมาย
แต่น้ำเสียงก่อให้เกิดความหวั่นไหวในใจ ” คำพูดดังกล่าวมีความเป็นจริงมากอยู่ทีเดียว เช่น เรากล่าวแสดงความเสียใจในการจากไปของบิดาของเพื่อนสนิท แต่เรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น ดีใจ ชอบใจ เพื่อนจะมีความรู้สึกเช่นไร ถึงแม้เราจะใช้ภาษาที่บอกว่าเราเสียใจนะ แต่น้ำเสียงเราไม่สอดคล้องกัน อาจทำให้เพื่อนเรา ชังเราได้
                3.มีอารมณ์ขันบ้าง การพูดที่ทำให้คนชื่นชอบ มักเป็นคำพูดที่ทำให้คนหัวเราะ ดังนั้น หากผู้พูดท่านใดเป็นนักสะสมอารมณ์ขัน หรือ เรื่องราวที่สนุกๆ คนมักจะชื่นชอบ อีกทั้งทำให้มีเพื่อนมาก คนอยากรู้จัก แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ ผู้พูดควรต้องรู้จักวิเคราะห์ เนื้อหาในข้อที่ 1 เพิ่มด้วย คือ ควรใช้อารมณ์ขันให้ถูกกาล (ถูกจังหวะ ถูกเวลาและถูกสถานที่)ด้วย
                4. พูดให้เนื้อหามีความชัดเจน ชวนติดตาม ผู้พูดที่ผู้ฟังชื่นชอบ มักพูดเนื้อหาให้มีความชัดเจน อีกทั้งยังทำให้เกิดการติดตาม มีการจัดลำดับในการพูดเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ผู้ฟังไม่สับสน มีการพูดเรื่องที่ใกล้ตัวผู้ฟัง ผู้ฟังจึงสนใจที่อยากจะฟัง
                5.ภาษาที่มีความเหมาะสมกับเรื่องและผู้ฟัง  ไม่ใช้ภาษาต่างประเทศมากจนเกินไปหากพูดกับผู้ฟังที่เขาไม่มีความรู้ในภาษานั้น หรือ คำศัพท์ในวงการนั้นๆ  ไม่ควรมีคำฟุ่มเฟือย คำแสลง มากจนเกินไป  หลีกเลี่ยงการระบุชื่อ หากสื่อถึงผู้นั้นในทางที่เสียหาย เพราะอาจทำให้เกิดโทษมากกว่า ประโยชน์ บางครั้ง ผู้พูด ใช้คำพูดที่ระบุถึง ความเสียหายของบุคคลโดยระบุชื่อ ก็อาจจะถึงกับขึ้นโรง ขึ้นศาลไปเลยก็มีมาแล้ว เพราะอาจโดนผู้ที่เสียหายฟ้องหมิ่นประมาทได้
                6.การให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม การพูดโดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน หากผู้พูดเปิดโอกาสให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมก็จะทำให้ผู้ฟัง มีความสุขที่ได้แสดงความคิดเห็นของตนเอง ดังนั้น ผู้พูด เมื่อพูดไป ก็ควรตั้งคำถามให้ผู้ฟังตอบหรือขอให้ผู้ฟังแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าวที่ผู้พูดพูด เพราะผู้ฟังอาจจะไม่สนใจในสิ่งที่ผู้พูด พูดเลย หากผู้พูดไม่ให้ความใส่ใจในตัวผู้ฟัง
                การพูดที่พูดถูกกาล , การใช้น้ำเสียง ,การใช้อารมณ์ขัน , การพูดให้เกิดความชัดเจน , การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมและการให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม ในการพูด จึงเป็นสิ่งที่ผู้พูดที่ฉลาดควรกระทำกัน

http://www.oknation.net/blog/markandtony/2012/01/16/entry-5