ธรรมชาติของจิตเนี่ย มันต้องมีที่ยึดเกาะ ปกติแล้วที่ใดมีรูป ที่นั่นย่อมมีนาม จิตวิญญาณมากมายล้วนต้องการที่อยู่ เพราะมันอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ เหมือนจิตเราน่ะ ถ้าไม่ปฏิบัติดีพอ ก็อยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องวิ่งไปจับสิ่งนั้นยึดสิ่งนี้ หาที่อยู่กันตลอดเวลา โชคดีที่เรามีที่อยู่ตั้งแต่เกิด คือกายของเรา แต่ขนาดว่ามีกายแล้วจิตวิญญาณเรายังอยู่ไม่สุก วิ่งไปยึดคนโน้น เกาะสิ่งนั้น กันอยู่ตลอดเวลา แล้วที่เราปฏิบัติกันก็เพื่อให้จิตมันเลิกยึดเกาะ และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นอิสระ ที่สุดแล้ว จึงเรียกว่า "จิตอิสระ" ไม่ต้องเกาะต้องอาศัยยึดอะไรอีกต่อไป
จิตวิญญาณก็เหมือนกัน หลุดจากกายไปแล้วก็ต้องหาที่ไป ถ้ามีที่ไปแน่นอนก็ง่าย จิตมีกำลังกุศล ไปสวรรค์ ไปเกาะภพสวรรค์ จิตมีฌาน ไปเป็นพรหม จิตมีวิบากมีความห่วงใยพอดี ก็มาเกิดเป็นคนใหม่ จิตมีอกุศลมากก็ลงอบาย อันนี้แบบชัดๆ
มีพวกไม่ชัดประเภทความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏ ไม่หือไม่อือ จะไปข้างไหนก็กำลังไม่พอ พวกนี้คือสัมภเวสี ก็จะล่องลอยหาที่เกาะไปเรื่อย บางทีก็ไปเกาะในสถานที่ ตามต้นไม้ ตามวัตถุสิ่งของ แล้วก็ไปเจริญเติบโตในโลกของวิญญาณ จนมันมีกำลังพอ ก็จะค่อยเกิดเป็นอะไรก็ว่าไป อย่างสมมติเราตายในบ้าน จิตเกาะอยู่ในบ้าน อยู่ไปอยู่มานานๆ สะสมกำลัง จนติดที่ก็เป็นผีบ้านผีเรือนไง
สัมภเวสี เขาอยู่ภพใดกันแน่ครับเนี่ย เปรต อสุรกาย เทวดา ?
ก็เป็นพวกรอเกิดไง นึกออกมั้ย สมมติว่าคุณเป่าลูกโป่งสวรรค์ แล้วลมไม่พอ มันยังไม่ลอยขึ้นเต็มที่ แต่มันก็ลอยขึ้นๆ ลงๆ ผลุบๆ โผล่ๆ ไงคุณ รอเวลาวิบากมาสมทบแล้วค่อยดูอีกทีว่าไปทางไหน บางทีติดภพนี้นาน เราเข้าใจเองจากจิตนะ ว่าเป็นภพคั่น
จิตวิญญานมันมีเยอะมาก ที่สามารถจะรวมกำลังขึ้นมาเป็นผีเป็นตัวๆ นี่ก็เป็นส่วนน้อย ที่ล่องลอยเหมือนเชื้อโรค เป็นรูปพลังงานก็รวมเป็นตัวไม่ได้ก็มี ก็อยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ เป็นกลุ่มพลังงาน พวกเราลองทดสอบได้ ถ้ากายสะอาดใจสะอาดระดับหนึ่งแล้ว ไปในบางพื้้นที่ จะรู้สึกเหมือนฝุ่นเกาะตัว เกาะขาเกาะตัวจนรู้สึกได้เลย อย่างนี้เรียกว่าพลังงานน้อย แต่เยอะ..
ส่วนพวกที่เป็นตัวๆ เลย พวกนี้ก็มีฤทธิ์มีกำลังตามวาสนา ตามเหตุปัจจัย พวกนี้ ผู้มีวิชาเขาสามารถเหนี่ยวนำไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นต้นว่าเรียกวิญญาณผี ให้มาอยู่ในตุ๊กตา ก็กลายเป็นกุมารไง เขามีวิชาผูกวิญญาณ ให้สิงสู่อยู่ในกุมาร แล้วก็ขายกุมารนั้นให้เราซื้อมาเลี้ยงได้ โดยบอกว่า เป็นเทพ ส่วนใหญ่กุมารเขาว่าเขาเป็นเทพ
ถามว่าเป็นไปได้มั้ย ก็เป็นไปได้ อย่างศาลพระภูมิ เขาเชิญเทวดามาสถิต คือทำศาลให้ท่านอยู่ แต่ครูอาจารย์ที่ท่านเล่าๆมา ท่านก็ว่าเทวดามีวิมานของตัวเอง แต่ถ้าคนตั้งแท่นบูชา เขาก็มารับการบูชาได้ แล้วมันไวไง แค่นึกถึงเขา เขาก็มา แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะมาอยู่ในศาลนั้นตลอด เขาก็อยู่วิมาน(บ้านทิพย์)ของเขา สมมตินะว่ามีวิญญาณระดับเทวดา ถูกเชิญมาอยู่ในตุ๊กตาเด็ก ก็เป็นได้ว่าเขาอาจจะมา แต่ตามหลัก เขาก็ต้องมาเพื่อประโยชน์บางอย่างของเขา เช่นมาช่วยญาติสร้างบารมี ให้พร หรือดลบันดาลให้เป็นไปในนทางที่ดี
แต่ถามว่าถ้าเราเป็นเทวดา เราจะมาอยู่ในกุมารมั้ย ? ลองถามตัวเองดู อุตส่าห์มีบุญได้เป็นเทวดาแล้ว ตามปกติก็ต้องเสวยบุญของตัวเอง จะมารอคนเลี้ยงน้ำแดง มันใช่ที่อยู่หรือเล่า ?
ตรงข้ามกับพวกผี ที่มีลักษณะจิตตรงข้ามกับเทวดา ผีหิวโหยตลอด และขาดแคลน มันขาดจากจิต ผีจะต้องการพลังงานบุญมาเติมเต็มให้กับตัวเองตลอด สมมติเราเป็นผีนะ จะไปเกิดที่ไหนก็ไม่ได้เพราะบุญไม่พอ ก็คือไม่มีที่ไป ถ้ามีคนที่มีความสามารถ มาบอกเรา มาสื่อกับเราได้เราก็ย่อมดีใจ ย่อมเชื่อเขา ถ้าเขาบอกให้ไปอยู่ในกุมาร แล้วจะมีคนเลี้ยง ให้เราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าอ.เจี๊ยบเป็นผี ก็คงจะทำตาม เพราะไม่มีทางเลือก แม้ผีก็ต้องการชีวิตที่ดีกว่า แต่ถ้าอ.เจี๊ยบเป็นเทวดา คือ ถ้ามาให้กูไปช่วย ก็คงได้ แต่จะมาให้กูไปเป็นกุมารให้เขาเลี้ยงนี่ มันก็แปลกเหตุแปลกผล คือแปลกจากตรระกะของเทวดาอยู่นะ
ด้วยเหตุนี้ อ.เจี๊ยบจึงมีความเชื่อพื้นฐานว่า ส่วนใหญ่วิญญาณที่อยู่ในกุมาร เป็นผี หรือสัมภเวสี หรืออาจเป็นโอปปาติกะ เกิดแล้วในรูปใดรูปหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นเทวดา
พื้นฐานของพวกเขาคือต้องการผลประโยชน์บางอย่างจากมนุษย์ และสามารถให้ประโยชน์บางอย่างแก่มนุษย์ได้ ฟังดูจะเข้ากับคำว่า "เลี้ยงกุมาร" ถ้าเลี้ยงดีๆ จะให้คุณประโยชน์ ถ้าเลี้ยงไม่ดี ก็มีโทษได้ ลักษณะจิตของเขา ย่อมขาดกุศล จึงต้องพึ่งพิงคนเลี้ยง ยิ่งคนเลี้ยงยึดว่าเป็นเด็ก เป็นลูกเป็นหลาน เขาก็ชอบสิคะ เพราะเราคุยเขาได้ยิน รับกระแสใจได้ ติดตามเราไปไหนมาไหนได้ รับกุศลได้ รับความรู้สึก หรือเสพวัตถุธาตุในลักษณะที่เป็นพลังงานได้ (เลยกินน้ำแดงได้) ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงเลี้ยงกุมารได้จริง
เรื่องมนุษย์เลี้ยงผีนี้มีทุกชาติ ทุกศาสนา มีมาตั้งแต่ก่อตั้งโลก ทั้งมนุษย์วิทยา ทั้งสังคมวิทยา ไปจนศาสนศาสตร์ก็มีคำอธิบายให้ แล้วก็มีกลุ่มคนที่สามารถสื่อสารกับผีได้ สามารถใช้ผีทำงานได้ 555 อันนี้มันมีอยู่จริง
แต่ถามว่าผลที่ได้รับคืออะไร ?
อ.เจี๊ยบอยากถูกหวย จะเอาเงินมาปิดหนี้บ้าน ยังไม่ถูกเลย ขนาดมีหลักการว่าเข้าฌานได้ ออกจากฌานอธิษฐานได้ มีหลวงพ่อใหญ่เก่งสุดๆ เป็นอาจารย์ บางทีหลวงพ่อฮา ให้เลขด้วย ก็ไม่เคยถูก เพราะไม่มีกรรมสัมพันธ์ในเรื่องนี้ ไม่มีโชคลาภลอยอะไรก็ว่าไป ต่อให้เลี้ยงกุมารเป็นพันองค์/ตัว ก็คงไม่ถูกหวย เพราะเราไม่มีวาสนาในด้านนี้
แต่บางคนที่เขามีวาสนาในด้านนี้ เขาก็ถูกหวย กุมารอาจจะช่วยได้ ในแง่มาดลใจ มาสื่อสาร เพราะกุมารบางองค์ก็อาจจะไปดูเลขหวยได้จริง 555 แต่จริงๆ แล้ว มันก็ได้แค่เพิ่มกำลังให้
แม้แต่เทพทั้งหลายก็ยังบอกว่า "ช่วยได้ไม่เกินกรรม" ดังนั้นถ้าจะเอาจริงๆ ผลดีที่ได้รับในแง่ลาภยศเกียรติสรรเสริญ มันก็มาจากกรรมของเราทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่เทพให้ได้ หรือกุมารให้ได้ มันตอบสนองในแง่จิตใจมากกว่า คือ ให้กำลังใจ มีความรู้สึกว่ามีผู้คุ้มครอง มีผู้คอยบอกสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ มีอะไรที่พิเศษไปกว่ามนุษย์คนอื่น เพราะมันมีอีกจิตนึงสนับสนุนเราอยู่นั่นเอง คนที่จิตใจอ่อนแอ หากว่ามีกำลังใจสนับสนุนอย่างเป็นทางการ เป็นรูปธรรม ในรูปขององค์เทพองค์กุมาร (แบบส่วนตัว) ก็จะรู้สึกมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น มีกำลังใจขึ้น ก็ไอ้กำลังใจตัวนี้แหละ ที่สร้าง "ความเปลี่ยนแปลง" ให้กับชีวิตคุณได้
ในทางกลับกัน สิ่งที่คุณจะต้องสูญเสีย ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่คิด และไม่ตั้งคำถาม เพราะคนเรามักจะเอาแต่ได้ เห็นแต่ข้างที่จะได้ แต่ไม่ระวังถึงสิ่งที่จะเสีย
จิตอื่นมาอยู่กับเรา เราก็ต้องเลี้ยง การเลี้ยงนี้เราก็ต้องมอบกำลังจิต (มาจากบุญกุศล) ให้กับเขา เพราะเขาไม่มีพลังงานในตัวเอง ถ้ามี เขาจะมาให้เราเลี้ยงทำไม (อันนี้ไม่นับกรณีเทวดามาช่วย เพราะผูกพันกันมานะ เอาเฉพาะหมวดวิญญาณทั่วไป หรือผี)
คือพูดง่ายๆ เรากินอะไรเขาก็รู้สึกว่ากินด้วย ทำอะไรก็ทำด้วยกัน แรกๆมันคงดี แต่อยู่ๆ ไป ถ้าเราเกิดอด เขาก็อด สองจิตอด มันก็มีแต่คนเราที่มีความสามารถจะหากินได้เอง ก็เหมือนมีลูก หรือเพื่อนซี้ ที่เราต้องคอยดูแลตลอด พอเวลาที่เราลืม หรือเบื่อ เขาก็ย่อมไม่โอเคสิ เพราะว่าเคยได้แล้วไม่ได้ หากว่าเขามีกำลังจิตแกร่งกล้ากว่าเรา หรือมีฤทธิ์ขึ้นมา เขาก็สามารถดลบันดาลในทางตรงกันข้าม กับที่เขาให้ มันก็จะเกิดอะไรได้มากมายจากเหตุอันนี้ โปรดจินตนาการต่อเอาเอง
นอกจากนี้เราก็ต้องจำกฏของพลังงานเอาไว้ มนุษย์มีพลังงานสองส่วน คือพลังงานจิต และพลังงงานกาย หากว่าจิตดี กายก็ดี กายไม่ดี จิตก็ไม่ดีไปด้วย กายเดียว จิตเดียวก็ยังแบกกันไม่ไหวเลยบางที แต่ถ้ากายเดียวแต่สองจิต หรือหลายจิต มันจะเป็นยังไงล่ะ 555 ลองจินตนาการดูทีรึ..
กฏของพลังงาน พลังงานที่มีศักย์สูงจะไหลไปหาจุดที่มีศักย์ต่ำกว่า มนุษย์มีพลังงานมากกว่า ก็ไหลไปสู่จิตวิญญาณที่มีพลังงานน้อยกว่า เขาอยู่กับเราจึงมี "ส่วนได้" ได้ตั้งแต่ระบบพลังงานตามธรรมชาติเลย เรามีกายด้วย เขามีแต่จิต พลังงานจิตเราต้องแบ่งไปรักษากาย ส่วนเขาไม่ต้อง เกาะอยู่กับกายเราได้ ดึงพลังงานของเราไปเติมเต็มจิตเขาได้
อยู่ไปนานๆ กลายเป็นว่าวิญญาณที่กระแสจิตอ่อน ก็เกิดมีความเข้มแข็งขึ้นมาได้ ส่วนมนุษย์ที่ว่าจิตเคยสูงกว่า แต่ไม่รู้ตัว ก็ถูกดึงพลังงานไป ทำให้จิตใจอ่อนแอ จะคิดจะทำอะไรเองก็ไม่ได้ เพราะชินกับการที่จะต้องมีที่ปรึกษา จิตที่มีพลังงานมากกว่า ก็สามารถ เทคโอเว่อร์ กายซึ่งเป็นเรือนร้างได้
ในที่สุดก็ต้องมาบวช 9 วัน แสดงอาการประหลาดๆ เหมือนไม่ใช่ตัวเรา เพราะว่ากายถูกแฮคไปใช้แล้ว โดยจิตที่เขาเหนือกว่าเรา โดยเฉพาะเมื่อเราขาดสติ หรือเจ็บป่วยจนจิตอ่อนแอ
ที่ปูพื้นฐานว่า ที่ใดมีรูป ที่นั่นมีนาม คือหมายความว่าเราเอาอะไรมาตั้งไว้ มันก็มีพลังงานไหลเข้าไปได้ไง
ตุ๊กตาเอย รูปภาพแขวนผนัง มีได้หมดเลยนะ ต้นไม้ แม้กระทั่งบ้านเราเนี่ย ชั้นบนไม่ได้อยู่ ไม่ได้ขึ้นไป วิญญาณเต็ม 55
อันนี้ขนาดไม่ได้อัญเชิญน่ะ เขาก็มาเอ้งงง คือไหลมาเอง
ขนาดยังไม่ได้เชิญก็มา แต่ถ้าเชิญก็มาอยู่เลย แบบได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการให้อยู่ได้ไงคะ
เหมือนกัน คนเราไปไหน มีพลังงานชีวิต มันก็ดูดเอาสิ่งแวดล้อมรอบตัวเข้ามา แล้วก็คายออก เป็นหลักธรรมชาติ จิตเป็นพลังงาน หายใจทีนึงเข้ามาไม่รู้เท่าไหร่ แล้วก็หายใจออกไป แต่มันจะมีพลังงานบางอัน จิตบางดวงที่มีวิบากสัมพันธ์กัน มีกำลังพอจะเกาะได้ เกาะแล้วเกาะเลย เอาเป็นว่าปกติก็มีวิญญาณตามหรือเกาะกันทุกคนเป็นปกติ พอถึงจุดนึงก็หลุดไป หรือที่ไม่หลุดก็สะสมอยู่ในกายของเรา
อันนี้คือไม่ได้เชิญ มาเอง ก็ยังมีใช่ป่ะ
แล้วกรณีที่เชิญมา หรือรับขันธ์มา หรือรับของมา
อันนี้เรียกว่า "ยินยอมอย่างเป็นทางการ" มันก็ไม่ออกซีคะ ก็อยู่กับเราไปเรื่อยๆ จะดีจะร้ายก็แล้วแต่วิบากของเราและของเขา
เคยสัมภาษณ์ผี ผีมันว่าล่องลอยอยู่ เห็นใครสว่างก็ตามเขาไป ได้จังหวะเกาะ ก็เกาะ มันไม่ใช่ว่าจะเกาะได้เลย ต้องตามก่อน แล้วสบช่อง ก็เกาะ ดังนั้นจะเกาะได้ ก็ต้องมีกรรมสัมพันธ์กันอีก ก็อยู่ที่ว่าดีหรือร้าย
แต่ถ้าเราเป็นผู้มีบุญ เป็นศิษย์มีครู มันก็ดีสำหรับพวกเขา คือเกาะมาแล้วได้รับกุศลจากเรา ก็อิ่มเต็ม บ้างก็หลุดไป บ้างก็เปลี่ยนภพ
จากมึนๆ เป็นผีอยู่ มาอยู่กับเราได้กำลัง ก็สว่างขึ้น เกิดจำได้ขึ้นมา ก็ไปตามสัญญากรรมได้
ที่เล่ามานี่ก็สรุปว่า ถึงไม่ต้องไปอัญเชิญมา ก็มีอยู่แล้ว แล้วจะอัญเชิญมาทำไมให้เหนื่อย ก็เอาที่มีอยู่รอบตัวเรานี่แหละ แผ่เมตตาอุทิศกุศลบ่อยๆ เค้าก็สว่าง ก็เป็นญาติเรา เกื้อกูลกันเองแหละ
ถามเรื่องเปิดเสียงสวดมนต์ ก็อธิบายหลักการพื้นฐานตามหลักวิทยาศาสตร์
เสียงสวดมนต์มีพลังงานบวก กระแสมีกำลังหนาแน่น ถ้าเอาไปเปิดตรงไหน คลื่นที่แผ่ออกไป ก็จะไปเกื้อหนุนในบริเวณที่มีพลังงานน้อยกว่า ไหลไปเอง (แต่ไม่เหนือยเพราะเป็นเครื่่อง) เราก็ปั่นพลังงานไปให้ระบบ เปรียบได้ว่า พลังงานบวกนี้ก็ไปเพิ่มพลังให้กับบริเวณที่เป็นกลาง และไปทำให้บริเวณที่เป็นพลังงานลบ กลายเป็นกลาง แล้วถ้ากำลังมากพอ ก็จะกลายเป็นบวกตามมา
ถ้าเปิดเสียงสวดมนต์ เทวดาแห่กันมาฟัง (หาฟังยากนะสมัยนี้) เทวดาเป็นเทวดาได้ เพราะมีจิตกุศล ก็จัดเป็นพลังงานบวก กรูกันมา ก็ทำให้บริเวณนั้นเป็นบวกเข้าไปใหญ่
ถามว่าถ้ามีพลังงานลบ(ผี) อยู่ตรงนั้น มันเจอบวกเข้าไป ถ้ามันไม่ละลายลบให้เป็นกลาง แล้วก็ได้รับพลังงานบวกไปด้วย แปรสภาพไปเป็นบวกได้ (ผีสัมมาทิฐิ)
แต่ถ้ามันเป้นพวกมิจฉา มันก็ต้องกระเด็นออกไปอยู่ที่อื่น เพราะกระแสมันทนพลังงานบวกจำนวนมากไม่ได้
ถ้าขี้เกียจสวด ก็เปิดเสียงสวดมันเข้าไป เหมือนเปิดเครื่องฟอกอากาศ พระท่านก็ไม่เหนื่อย เทวดาก็ชอบ ผีดีๆ ก็ชอบ ผีไม่ดีก็อยู่ไม่ได้ เพราะมันแสลงใจ ถ้ามันไม่เอาธรรม มันก็ต้องไปอยู่ที่อื่น
มันไม่ใช่ -กันผี- หรือ -ไล่ผี- แบบในหนัง โปรดเข้าใจด้วยค่ะ
มันกันได้ ถ้าผีมันทนไม่ไหวมันก็ไป หรือเทวดาเยอะจริง ผีก็เข้าไม่ได้ ก็เหมือนไฮโซ ยืนกันตรึม โลโซจะกล้าเข้าไปรึ
คิดง่ายๆ เลย ผีก็คือคนที่ตายไปแล้ว คนเป็นยังไง ผีก็เป็นอย่างนั้นแหละ