ขันธ์
ความธรรมดาที่ได้สะสมมาเป็นอย่างนั้น
เป็นไปตามความเคยชิน
กิเลส
มาเป็นครั้งๆ แล้วก็มาจับยึดขันธ์ว่าเป็นตัวเราของเรา
จะทำอะไร ก็ใช้ขันธ์ไปทำ
ทำเสร็จก็จากไป
คนรับเคราะห์คือ ขันธ์
ขันธ์ เวลามันติด
มันก็คิดเอนเอียงไปทางนั้น
อย่างเคยอยู่ที่นี่แล้วสบายใจ ก็จะมาที่นี่
ขันธ์มันคุ้นเคย
เหมือนพระอรหันต์ โดยทั่วไปก็มักกลับไปถิ่นที่ท่านเคยอยู่
พวกเรื่องอากาศ เรื่องอาหาร
เรื่องพื้นฐานการกินอยู่ ที่นอน กิริยาท่าทาง
ทำไปนานๆ จนติด ไม่ได้มีกิเลสก็ทำ
ไม่ได้ทำเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
จะเป็นขันธ์
หรือติดบุหรี่
ตอนแรกๆ จะอยากโก้ อยากเท่ อันนี้เป็นกิเลส
แต่ทำไปนานๆ ก็ไม่ได้อยากจะเท่อะไร แต่ติดแล้ว
มันจะอยู่ไม่ได้ มันต้องมีธาตุตัวนี้ใส่เข้าไป
หรือกินกาแฟ
กินใหม่ๆ ก็อร่อย
ไปๆ มาๆ จริงๆ จะไม่กินก็ได้ แต่ก็เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
หรือบางคนพูดแต่เรื่องเมตตาอยู่เสมอ
บ่อยๆ ก็จะติด
ใจก็จะเอียงไปทางนี้ ความคิดความนึกก็จะเอียงไปทางนี้
ความคิดความนึกอันนี้ไม่ได้เป็นความต้องการ แต่เป็นขันธ์ไปแล้ว
หรือต้องดูข่าวตอนเช้า
ตัวติดจริงๆ
ที่ติดจรงๆ เป็นขันธ์ คือ เป็นผล เป็นอุปาทานขันธ์
แต่ตัวที่อยาก ตัวที่ต้องการเพื่อสนองความอยากนี่ เป็นตัวกิเลส
ซึ่งเกิดไม่นาน แป๊บเดียวก็ดับ
เมื่อกิเลสยังมีอยู่
และเมื่อขันธ์เป็นอย่างนี้
กิเลสก็ไปยึดครองขันธ์ว่า "นี่เป็นเราติด" "เป็นการติดของเรา"
ทั้งที่จริงไม่ต้องมีตัวเรามันก็ติดแบบนั้นเหมือนกัน
เอาหมามาเลี้ยงตอนแรกเพราะชอบ
ต่อมาแม้ไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ ก็ยังเลี้ยงอยู่
ไปกอด ไปจูงมันเล่น
เป็นนิสัยอันใหม่ เป็นขันธ์ไป กิเลสมันไปตั้งนานแล้ว
ทีนี้นิสัยบางอันมันเสียเวลา
แม้จะไม่เป็นกิเลส
แต่เป็นเหตุให้เกิดกิเลส
ดังนั้น ขันธ์ จะมีทั้งที่แบบเป็นเหตุให้เกิดกิเลส และทั้งที่เป็นวิบากเฉยๆ
จึงต้องมาดูว่าการติดแบบไหนที่มันเป็นเหตุให้เสียเวลาเยอะ
บางอย่างเป็นโทษ
หรือเป็นเหตุให้กิเลสก็ต้องลดละ หรือให้มันไปติดอีกอย่าง เช่น ไปติดฟังธรรม
"ถึงแม้จะไม่ใช่กิเลส ก็ต้องลดเช่นกัน"
ขันธ์มันทำงานเองของมันได้
กิเลสมันก็จะมายึดครองว่า "เราเป็นผู้..." นั่นนี่อะไรต่างๆ
อันที่่จริงมันเป็นการเป็นไปของกองทุกข์ล้วนๆ เลย
แม้กระทั่ง การไปยึดขันธ์ว่าเป็นเรา ที่ว่าเป็นกิเลสเนี่ย
ก็เป็นความเคยชินที่เกิดขึ้น
เนื่องจากไม่มีตัวตัดความเคยชินมา (สตินั่นเอง)
เขาถึงให้ฝึกสติบ่อยๆ ให้คอยตัดความเคยชิน
เอาจริงๆ แม้กิเลสก็เป็นความเคยชิน
คิดไปบางทีก็คิดไม่ออก มีความซํบซ้อนอยู่เหมือนกัน
สรุปเป็นว่า
อันไหนเสียเวลา เกิดกิเลสเยอะ อย่าไปทำ
เราก็มาฝึกสติ สมาธิ ปัญญา
บ่อยเข้าก็แยกออกอันไหนเป็นกิเลส อันไหนเป็นขันธ์
ก็ปล่อยวางขันธ์ ให้ขันธ์มันทำงานเอง
เหมือนปวดเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องมีกิเลสก็เข้าได้
โดยส่วนใหญ่แล้วขันธ์ทำงานเองด้วยซ้ำ
หายใจเข้าออก ขันธ์ก็ทำงานเอง
ย่อยอาหารที่กินเข้าไป ขันธ์ก็ทำงานเอง
สนใจเรียนธรรมะ ขันธ์มันก็ทำงานเองของมันได้
แต่กิเลสดันมารวบรัด
ตัณหาโผล่มาเอาหน้าว่า "เราทำ"
เช่น เราขยันเรียน (จริงๆ ขยันเรียนโดยไม่ต้องมีเราก็ได้นะ)
จริงๆ ตัวขยันเรียนจริงๆ น่ะเป็นขันธ์
ส่วนตัวที่มารวบ มาถือขันธ์ว่าเป็นเรา เป็นของเรา อันนี้คือ...กิเลส
ข้อสังเกต
โดยส่วนใหญ่ เป็นขันธ์ที่ทำงาน
ส่วนกิเลส โผล่มาจับขันธ์ว่าเป็นเรา เป็นของเรา
ลองถ่ายวีดีโอตัวเอง
กิริยาแสดงออกมาเอง มันจะเยอะกว่าที่ เรานึกว่าจะทำ
ไอ้เรานึกเนี่ย เป็นการไปถือครองว่า "เราทำ" จริงๆ ขันธ์มันทำเอง
ดังนั้นที่จะให้เอาออกเนี่ยคือ ไอ้ยึดว่าเราทำ วางลง ให้ขันธ์มันทำ
อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์
ตัวสติมันก็จะไปรับรู้
เออ มันคิดอย่างนี้ มันก็ไปทำอย่างนี้ๆ
โดยไม่ต้องมีเราไปทำเลยสักกะคนนึง
ดูไปก็จะเห็นว่า อ่อ ตอนกิเลสเป็นตอนนึง ตอนขันธ์เป็นอีกตอนนึง
กิเลสคือตรงที่ยึดขันธ์ว่าเป็นตัวเรานี่แหละ
เห็นผิดว่าขันธ์เป็นตัวเรานี้คือ สักกายทิฏฐิ
พอยึดว่าเป็นตัวเราแล้วก็อยากให้เราอยู่รอดปลอดภัย อันนี้ก็คือตัณหา
แล้วก็ไปทำให้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เป็น อุปาทาน
ระวังให้ดี
ความเคยชิน ไม่เท่ากับ กิเลส
พระอรหันต์อาจจะพูดเสียงดังโดยที่ไม่ได้โกรธ
ฉะนั้น อย่าไปว่าใคร...ดีที่สุด
ว่าเจอพระอริยะ ก็ตัว who ตัว it
-473-
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น