ความต้องการ
ความติดข้อง
ความชอบใจ พอใจ เพลิดเพลิน
เยื่อใยในอารมณ์ 6 เพื่อตัว
ความกลัวที่จะไม่ได้อันนู้นอันนี้ เพื่อตน
ตัณหานี่เป็นนามธรรม
เวลาเรียน สภาวะไหนไม่เข้าใจ
ให้แยกก่อนว่าเป็นรูป หรือนาม
พอแยกได้ก็จะค่อยๆ ทำความเข้าใจได้มากขึ้น
เวลานำไปปฏิบัติ เวลาใส่ใจจะได้ถูกตัว
กามตัณหานี่ไม่เกี่ยวกับตัววัตถุ
ความติดที่หนักที่สุดนี่คือ ติดแม้แต่ในเรื่องที่ไม่ชอบ
พูดอีกอย่างคือ ชอบที่จะไม่มีเรื่องนี้
อันนี้เป็นความติดที่หยาบที่สุด เรียก วิภวตัณหา
ก็ตัณหา 6 นี่แหละ แต่แยกออกมาเป็น 3 ให้เห็นว่าอันไหนหยาบสุด
เหมือนอุปาทาน หยาบสุดคือยึดแม้ในเรื่องที่รู้ๆ อยู่ว่าไม่มีประโยชน์
ตัณหานี่มีลักษณะอาการเป็น
ความชอบ ความรักตัวเอง ความพอใจ
ทีนี้ต้องเข้าใจความพอใจแบบตัณหา
ความอยากแบบตัณหา
ความอยากนี่อาจไม่ได้เป็นตัณหาเสมอไป
บางทีความอยากนี่เป็น ความอยากจะทำอะไรบางอย่าง อันนี้เป็น ฉันทะ
หรือความอยากจะได้อะไรที่ประเสริฐ อันนี้เป็นสติปัญญา
ส่วนความอยากแบบตัณหานี่เป็นความอยากแบบเยื่อใยเพื่อตัวตน
หาเอาผลมาให้ตน ให้ตนได้เสวยผล
ให้ตนได้อยู่นาน ให้ตนได้นั่นได้นี่ ให้ตนได้เจอ/ไม่ได้เจอภาวะแบบนั้นแบบนี้
กามตัณหา
ให้ตนได้เสวยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ภวตัณหา
ให้ตนได้อยู่ในภาวะนี้นานๆ
นิ่งๆ อยู่อย่างนั้น ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
วิภวตัณหา
ให้ตนเพลิดเพลินพอใจ ชอบที่จะไม่มีภาวะแบบนั้น
อันนี้จะหนักกว่าเขา จะแสดงอาการในทำนอง "ผลักทิ้ง" ปฏิเสธ ไม่ชอบมัน ไม่พอใจมัน
ซึ่งจริงๆ อาการปฏิเสธนี้เป็นอาการแสดงของอาการ "รักตัว" นั่นเอง
"ความไม่ชอบมัน" เป็นอาการปรากฏของ ความ "รักตัว"
พอเจอสภาพที่มันไม่อยากได้มันจึงผลัก จริงๆ มันคืออาการรักตัว
เหมือนเราไม่ชอบเจอหน้าไอ้หมอนี่
ก็แสดงว่าไอ้หมอนี่มันจะมีอิทธิพลอะไรที่ไม่น่าพอใจกับตัว
ทำให้ตัวเครียด ทำให้ตัวไม่สบายบ้างอะไรบ้าง
ตัวพื้นฐานของการปฏิเสธผลักไส ก็คือตัณหานั่นเอง
ตัณหา ถ้าขยายความตามอารมณ์ของมัน ก็ตาม 6 ช่องทาง
ถ้าขยายความตามภาวะลักษณะของมัน ก็แยกเป็น 3
เวลาท่านแยกละเอียดๆ จึงได้เป็น 108
ตัณหา 3 ในอารมณ์ 6 ทั้งภายใน-ภายนอก ใน 3 กาล
ตัณหาในปฏิจจฯ นี้จะกล่าวในแบบอารมณ์
เนื่องจากว่าต้องการที่จะเอาไปมองในแบบอริยสัจด้วย
คือจะให้มองให้เป็นทุกข์ได้ด้วย
ถ้าพูดแบบตัณหา 3 อันนี้ถูกจัดเป็นทุกขสมุทัย อยู่แล้ว
แต่ตัณหาในปฏิจจฯ นี้จะมองเป็นทุกข์ก็ได้ มองเป็นทุกขสมุทัยก็ได้
คือมองได้ทั้งเหตุและผลในตัว
===
ความหยาบของตัณหา
ความรักตัวที่หยาบที่สุดก็คือ วิภวตัณหา
เบื้องต้นจึงต้องละตัวนี้ก่อน
รักตนจนกลัวความจริง
ไม่อยากเจอนั่นเจอนี่ มันปฏิเสธ
อันนี้หยาบสุด
ปฏิเสธครอบครัว ปฏิเสธหน้าที่
แล้วก็ไปฝึกสมาธิอะไรต่ออะไร
สมาธิที่ทำก็ไม่ใช่ของจริง มันกลายเป็นมิจฉาอาชีวะไปแล้ว เพราะสัมมาทิฏฐิมันไม่มี
ไม่รู้จักว่านี่เป็นแค่การบริหารให้เป็นไปได้
ไม่ใช่ไม่ให้ทำสมาธิ แต่ต้องมีสัมมาทิฏฐิ
ว่าโลกมันทุกข์มันยากอย่างนี้ เราจึงต้องบริหารไป
ตอนนี้อยู่ตรงนี้แล้วฝึกสติไม่ได้
ทำแล้วกิเลสมาก เลยต้องออกไปฝึกข้างนอกเป็นต้น
การปฏิเสธนี่เป็นการทำตามตัณหา
ไม่อยากอยู่ก็เลยไป
แทนที่จะทำตามปัญญา
การปฏิบัติองค์มรรคนี่ต้องทำตามปัญญา
การทำตามตัณหามันเป็นทุกขสมุทัย
มันจึงไม่พ้นทุกข์
ตัณหาหยาบๆ เมืือรักตนก็จะ "กลัว" ตนถูกกระทบกระทั่ง
กลัวตัวเองจะเจ็บปวด กลัวตัวเองจะเป็นนู่นเป็นนี่
กลัวตัวเองจะถูกว่าจากผู้อืืน
กลัวตัวเองจะถูกล้วงความลับอันนี้อันนี้
จึงหาวิธีปกปิด หาวิธีหลายๆ อย่างเพื่อรักษาภาวะที่ไม่มีอะไรทิ่มแทง
ไม่มีอะไรมาทำร้ายตนได้
ทีนี้ความไม่เที่ยงมันก็แสดงอาการมาให้เห็นอยู่เรื่อง
ตัณหาจึงแสดงอาการออกมาในลักษณะ ความกลัว หรือหวาดหวั่น
กลัวว่าจะเป็นอย่างนั้น กลัวจะเสียอย่างนี้ - อันนี้วิภวตัณหา ยังหยาบอยู่
ความคิดที่จะเอามาให้ตัวนี่ เป็นอาการของการคิดที่มีตัณหา
เป็นลักษณะพิเศษของตัณหาเลยคือ จะเอาผลประโยชน์บางอย่างมาให้ตน
วิภวตัณหา พระโสดาบันละได้
กามตัณหา พระอนาคามีละได้
ภวตัณหา พระอรหันต์ละได้
ไม่ต้องไปคิดมากเรื่องละกิเลส
เพราะทางเดินคือ การเจริญมรรค
เพียงแต่ถ้าเข้าใจในเรื่องกิเลสให้มากขึ้น
ก็จะช่วยให้เราไม่ต้องไปออกแรงในเรื่องที่ไม่จำเป็น 5555
สู้เก็บแรงมาใช้กับเรื่องที่ควรจะจัดการจะดีกว่า
ยังละหยาบๆ ไม่ได้ ไม่ต้องไปกังวลเรื่องตัณหาละเอียด ทำนองนั้น
ความเพียรมีน้อย ใช้สอยให้ถูกเรื่อง 5555
ถ้าความเพียรมีน้อย ดันจะไปละกามตัณหา ไปดูอสุภะ ดูขี้ ดูอะไรก็แล้ว
เจออาหารอร่อยมันก็น้ำลายไหลอยู่นั่น
กำลังไม่ถึง มันจะเครียดเอาได้ ถอดใจเอาได้
มารู้จักความหยาบ ละเอียดของกิเลสมันก็มีประโยชน์ตรงนี้
===
ตัณหา 3 เป็นสมุทัย อย่างเดียวล้วน (แสดงในอริยสัจ)
ยายัง ตัณหา โปโนพภวิกา ก่อให้เกิดภพได้ด้วย (บางตัณหาไม่เป็นเหตุก่อภพ)
ตัณหา 6 เป็นทั้งทุกข์ทั้งสมุทัย (แสดงในปฏิจจ)
ตัณหาที่ทำให้เกิดภพชาติได้ อันนั้นเป็นตัณหาที่เป็นสมุทัย
ตัณหาบางอย่างเป็นแค่ทุกข์เฉยๆ
เป็นความพอใจในรูป อยากได้นั่นนี่เฉยๆ
อันนี้เป็นทุกข์ แต่ไม่พอให้เป็นอุปาทาน ไปเกิดกรรม
ถ้าแรงจึงจะเป็นสมุทัย
อาการที่ออกมาจากความรักตนก็คือ ยินดียินร้าย
สรุปคือมันรักตน
อยากให้ตนได้อันนึง
อีกอันนึงเห็นว่าจะเป็นอันตรายก็เอาออกไป
ซาบซ่าน ชอบใจ ลึกซึ้ง มีประโยชน์