สังขาร
มี 3 ประการ
กายสงฺขาโร
ตัวปรุงแต่งกาย
วจีสงฺขาโร
ตัวปรุงแต่งให้เกิดคำพูด
จิตฺตสงฺขาโร
ตัวปรุงแต่งให้เกิดจิต
สังขารในตัวปฏิจจฯ
พูดถึงสิ่งที่รักษาผลของของเก่าเอาไว้ (ผลมาจากของเก่า สังขารเป็นตัวรักษาไว้)
(รูปนาม ขันธ์ 5 วิญญาณ และอายตนะ)
สังขาร 3 แบบนี้เรียก สังขารปัจจุบัน
สังขาร 3 นี้ เป็นตัวรักษาผลจากกรรมเก่านี้ไว้ ออกหน้าออกตามายังไง
สิ่งปัจจุบันมันรักษาผลของของเก่าอย่างไร
ถ้าพูดถึงตัวกรรมตรงๆ จะใช้คำว่า "อภิสังขาร" (ปุญญา, อปุญญา, อเนญชา)
ถ้าอภิสังขารนี้จะพูดถึงตัวเหตุในอดีต
ที่สร้างผลให้มา
กายสังขาร คือลมหายใจเข้าออก
มีลมหายใจเข้าออก ก็รักษาร่างกายไว้ได้
วจีสังขาร คือวิตกและวิจารณ์
เสียงพูดในหัว เจอนั่นก็พูดนี่ เจอนี่ก็พูดนั่น
เป็นนิสัยเก่าๆ
ถ้าไม่มีวิตกวิจารณ์นี่ อยู่ไม่ได้โดยธรรมชาติ
แต่อาจอยู่ได้โดยผิดธรรมชาติ 5555 คือทำฌาน
ถ้าไม่มีความคิดความนึก จิตก็ทำงานไม่ได้ มันจะเพี้ยน
วิตกวิจารณ์นี่ทำให้จิตทำงาน
จิตตสังขาร คือเวทนาและสัญญา
เหล่านี้เป็นตัวรักษาขันธ์ปัจจุบัน
ถ้าไม่มีเวทนา สัญญา จิตก็เกิดไม่ได้เหมือนกัน
เวทนา สัญญาทำให้จิตเกิด
เพื่อให้อายตนะมันทำงานได้ เพื่อให้มีผัสสะ เพื่อให้มีเวทนา
อันนี้เป็นของเก่าที่รักษาไว้
แต่ถ้าเราทำกรรมใหม่ อาจจะไม่ต้องพึ่งของเก่าโดยประการทั้งปวง
เช่น ทำสัญญาเวทยิตนิโรธ
พูดแบบบ้านๆ คือ
ยังมีลมหายใจอยู่ ตาจึงใช้การได้ หูจึงใช้การได้
===
ปฏิจจฯ นั้นไม่มีเงื่อนต้น
มีแต่ปัจจัยเชื่อมโยงกันและกันตามชื่อ
อวิชชาตั้งต้นก็จริง แต่ไม่ได้ตั้งต้นแบบ "เป็นตัวต้น"
มันแค่เชื่อมกับอืันอื่นอยู่เฉยๆ
จึงเริ่มต้นด้วยชื่อ "อวิชชา ปัจจยา..."
ไม่ได้ขึ้นต้นว่าอวิชชาเฉยๆ
มันเชื่อมกับอะไรบ้าง เชื่อมกับสังขารบ้าง วิญญาณบ้าง ... โสกะปริเทวะ
ฉะนั้นถ้าเราร้องไห้อยู่ รู้สึกว่าเราทุกข์
อวิชชาก็อยู่ตรงนั้นเหมือนกัน
ทำกรรมอยู่ ทำบุญอยู่
แล้วรู้สึกว่าเราเป็นผู้ทำบุญ
อวิชชาก็อยู่ตรงนั้นเหมือนกัน
เวทนาเกิดขึ้น
แล้วไปหลงผิดว่าเราเป็นผู้สุข เราเป็นผู้ทุกข์
อวิชชาก็อยู่ตรงนั้นเหมือนกัน
ปฏิจจฯ จึงไม่มีเงื่อนต้น
ทุกอันก็เชื่อมโยงไปสู่อวิชชาได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น