วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

การบ้าน 30/4/57

30/4/57

สองวันนี้สังเกตว่าใจจะมี background noise เหมือนคิดอะไรเบาๆ ไม่เป็นคำไม่เป็นภาษาตลอดเวลา ไม่รุนแรงแต่ไม่หยุด จะบริกรรมก็ไม่ติด แต่เวลาจะทำการทำงานก็ใช้การได้ดี ราคะที่รบกวนเมื่อสัปดาห์ก่อนก็ไม่ออกมาสำแดงฤทธิ์เดชอะไรแต่ยังรู้สึกว่าเป็นคลื่นใต้น้ำชอบกล

เมื่อวานมีโอกาสให้ใช้ความคิดทำงานกลุ่ม ก็เห็นมันเครียด เข้าไปแบกไปรับ สักพักก็สอนตัวเองว่าอย่าไปมองอย่างคนในมองอย่างคนนอก แล้วมันก็สนุกสนานกับกิจกรรม พอต้องขึ้นไปพรีเซนต์ ปกติเวลาต้องพูดต่อหน้าคนมากๆ ใจจะเต้นโคร้มๆ แต่เมื่อวานมันเปิดทางเลือกให้ตัวเองว่าจะเอาไงอยากให้ใจตื่นเต้นแบบที่เคยฉันก็จัดให้ได้นะ หรือจะลองเฉยๆ แบบนี้ออกไปพูดดู

ก่อนนอนสวดอิติปิโส 108 เป็นการสวดที่เฉยๆ แต่เหมือนมีแรงเสียดทานหน่อยๆ ไม่ง่วง ไม่ขี้เกียจ

จบการบ้านค่ะ

การบ้าน 29/4/57

29/4/57
ระหว่างวันหลงเยอะค่ะ
ก่อนนอนสวดอิติปิโส 108 วันนี้สวดคนเดียว สัพพะกำลังแอบหนีไปนอนหมด เกือบไม่รอด

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

การบ้าน 28/4/57

28/4/57

ตื่นเช้ามานั่งสมาธิได้ประมาณ 20 นาที

ระหว่างวันเจอผัสสะก็เฉยๆ แต่มีเสียงบอกเล็กๆ ว่ารีบๆ ออกมาอย่าต่อความเดี๋ยวงานเข้า

ก่อนเลิกงานมีช่วงที่ต้องรอเวลา 5-6 นาที ระหว่างนั่งเอ๋อ ก็มีเสียงเตือนบอกอย่ากระนั้นเลยอิติปิโสไปด้วยละกันดีกว่าปล่อยให้ใจลอยไป

หลังเลิกงานไปวิ่งออกกำลัง ท่องสวดมนต์ไปด้วย วิ่งไปสามรอบพอหยุดวิ่งความรับรู้ก็มาอยู่ที่กาย รู้สึกเหมือนได้พักผ่อนใจหยุดลอยเสียบ้าง ระหว่างทางพบว่าการไปหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ น้ำพุ รับรู้ถึงเสียงน้ำตกและไอเย็นเป็นอะไรที่เยียวยามาก

พอกลับบ้านไปพบว่าร่างกายเพลียมาก (อะไรมันจะขนาดนั้น) วิ่งสามรอบหลับไปเกือบสามชั่วโมง เปิดฟังเสียงเทศน์ไปด้วยแต่จำอะไรไม่ได้เลย 5555

ก่อนนอนสวดอิติปิโส 108 เมื่อคืนนั่งหลับตาสวด คราวนี้จิตจับบทพุทธคุณได้ดีกว่าบทอื่น บทที่หายมากที่สุดคือธรรมคุณ สวดๆ ไปอยู่คุณนายก็ร้องเพลงขึ้นมาซะงั้น เป็นการช่วยเรียกสติได้ดีค่ะ สติไม่อยู่จะหลงไปกับเพลงคุณนาย (แต่ในใจคิดอย่าร้องนานกว่านี้นะ 555)

ตอนสวดกายค่อนข้างนิ่งขยับแค่ 3 ที แต่ใจก็ยังไหลไปไหลมาเหมือนเดิม สักประมาณรอบที่ 90 กว่ามีอยู่ช็อตนึงที่รู้สึกเหมือนใจนิ่ง ไม่กระเพื่อมตามบทสวด แต่อยู่ได้ไม่นานมันก็กลับมากระเพื่อมตามบทสวดเหมือนฝนตกลงในหนองน้ำแล้วเกิดคลื่นเล็กๆ พอสวดจบรู้สึกยังมีแรงเลยแถมไปอีกนิดหน่อย นั่งสมาธิอีกประมาณ 20 นาที

จบการบ้านค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

การบ้าน 27/4/57

27/4/57

ตื่นเช้ามานั่งสมาธิได้ครึ่งชั่วโมง

ระหว่างวันมัวแต่ร้อนรู้สึกง่วงนอนและหมดแรง สังเกตุว่าช่วงที่ราคะรบกวนนี่ ระบบฮอร์โมนกับร่างกายก็เปลี่ยนแปลง (จริงๆ ไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นเหตุเป็นผล) ดูระบบประสาทบางส่วนมันทำงานมากกว่าปกติ ที่ชัดเจนคือความรู้สึกที่มือ ที่แขน ที่ก้นกบมากขึ้น รู้สึกปวดอึ๊เกือบทั้งวัน 5555

ก่อนนอนสวดอิติปิโส 108 เมื่อคืนเปลี่ยนสวดแบบไม่ใช้หนังสือสวดมนต์ เพราะเห็นมันสวดตาลอยมา 2 วัน แต่ก็เอาไว้ใกล้มือเผื่อฉุกเฉิน พอไม่มีบทสวดให้จดจ้อง สติก็มาอยู่กับกาย แต่ก็ยังหลงไปหลายตลบ รอบไหนไม่แน่ใจว่าข้ามพุทธคุณ ธรรมคุณมารึป่าว ก็สวดซ่อม นั่งนิ่งสวดไปได้รอบที่ 70 กว่า ระหว่างทางคุณพี่จิตผู้ขี้เบื่อก็จัดสรรนวัตกรรมใหม่ขึ้นมา สวดด้วยเสียงหล่อแบบจอร์จกะซาร่า สวดไปก็ขำไป ดีว่าหันหลังให้แม่ไม่งั้นคงโดนหาว่าเพี้ยน แถมมีการแย็บนิดๆ ว่าถ้าคุณแน่อย่าแพ้พญามาร แล้วมันก็จินตนาการเป็นเด็กสองคนแข่งสวดมนต์กัน ซึ่งก็ดีค่ะเมื่อคืนเริ่มสวดเที่ยงคืนกว่าก่อนสวดหวั่นๆ ว่าจะไม่รอบ มีกำลังใจมาแบบนี้สู้ตาย

การบ้าน 26/4/57

26/4/57

วันเสาร์ตื่นเช้ามานั่งสมาธิได้ประมาณครึ่งชั่วโมง วันนี้ไม่ต้องไปทำงานโอกาสเจอผัสสะมีน้อย ดูมันดี๊ด๊าร่าเริงได้เต็มที่ แต่ลึกๆ ไม่อยากให้ถึงวันจันทร์ ยังป๊อดที่จะเจอผัสสะอยู่

ระหว่างวันสังเกตุตัวเองจากการอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ รู้สึกการรับรู้ยังไม่รอบ ยังไม่ฉับไว เวลาตั้งใจจะทำอะไรจะถลำไปทำ เวลาถูกถามจะถลำไปคิด ไปโฟกัสความหมายของคำถามจนเกินพอดี (ประมาณโดนหลอกถาม แล้วไม่ว่าจะตอบอะไรก็ไม่ใช่คำตอบอยู่ดี) แล้วสิ่งแวดล้อมจะถูกหรี่ไฟลงชั่วคราว

ก่อนนอนสวดอิติปิโส 108 ง่วงมากหลังจากที่คิดว่าสามารถสร้างภูมิคุ้มกันความง่วงขณะสวดมนต์ได้แล้ว เมื่อคืนก็แสดงความไม่เที่ยงให้เห็นเลย สวดถึงรอบที่ 90 กว่าพี่จิตบอกพอเห๊อะอีกสิบกว่าจบไปต่อเอาพรุงนี้เช้าก็ได้ไม่ใช่ไม่เคยทำ น่าน แอบสังเกตว่าความง่วงมักเล่นงานในคืนวันศุกร์กับเสาร์ ทู่ซี้สวดต่อถึงรอบ 105 มันยังงอแงว่าไม่เอาแล้วไม่ไหวแล้วขาดสามจบเอง ก็หลับหูหลับตาสวดจนจบค่ะ

ว่าแต่ ธัมวิจัยที่อ.เจี๊ยบว่านี่ทำยังไงอ่ะคะ 5555


วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

การบ้าน 25/4/57

25/4/57

วันนี้ไม่ตื่น ไม่ได้ยินนาฬิกาปลุก อดนั่งสมาธิเช้า ตื่นมาสวดอิติปิโส 9 จบ สติก็ยังไม่ได้เรื่อง ลุกไปอาบน้ำ ก็นึกถึงคำว่า "หนอ" มันก็ "ถูๆๆๆๆ หนอ" "ล้างๆๆๆ หนอ" เป็นจังหวะแร็พมาเลย เป็นการอาบน้ำที่ฮามาก

ตอนอาบน้ำความคิดไปพิจารณาถึงเครื่องมือว่า บางครั้งการใช้เครื่องมือที่เกินความควบคุมมันจะกลายเป็นว่าถูกเครื่องมือใช้เอาแทนได้และเกิดความกลัวที่จะใช้ แต่เมื่อวานที่เจอภาวะเงียบนั้นมันรู้สึกว่าทุกอย่างมันลงตัวมีอะไรก็ใช้ไปดูมันปรับอะไรๆ เอาเอง

ตอนเดินมาทำงานตอนเช้า มันก็ท่องคำบริกรรมของมันไป อยู่ๆ พี่จิต A ก็ปั้นน้ำเป็นตัว แปลงร่างเล่นบทบาทสมมติอะไรก็ไม่รู้ในความคิดเป็นตุเป็นตะ พี่จิต B เห็นแล้วก็แซวว่า "เมื่อกี้ทำอะไรน่ะ" แล้วก็ฮา วันนี้ตลอดวันหงุดหงิดและฟุ้งซ่านหลายช็อต แล้วพี่ A กับพี่ B เขาก็สวมบทบาทผู้แสดงกับผู้ชมที่คอยแซวสลับกัน วันนี้เลยขำตัวเองทั้งวัน

ก่อนนอนสวดอิติปิโส 108

วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

การบ้าน 24/4/57

24/4/57

ตื่นเช้าได้ด้วยเสียงนกร้อง ลุกขึ้นมาได้โดยไม่อิดออด แต่รู้สึกเหมือนมีกายหนักๆ อารมณ์เฉยๆ เป็นอุเบกขาซื่อบื้ออยู่ข้างใน ลุกขึ้นมานั่งสมาธิ จะเรียกว่าสติดีก็ไม่ใช่ แต่นิ่ง ขณะนั่งรู้สึกเหมือนมีเงาดำนั่งทับ มันไม่ได้นิ่งแบบสบายแต่นิ่งแบบขี้เกียจขยับ ขี้เกียจคิดด้วย ขนาดเรื่องที่เมื่อวานออกมาเพ่นพ่านตอนสวดมนต์มากมายพอลองแหย่มันคิดดูมันยังไม่ถือสาหาความด้วย ประหลาดดี

ระหว่างวันช่วงเช้าคุมสติได้ดี แต่พอผ่านไปกลับหลุด พูดจาไม่มีเมตตาออกไป เกิดเป็นแรงดีดกลับให้ต้องรับวิบากใจไม่ปล่อยวางจึงโทรไปขอโทษและตั้งใจว่าจะไม่พูดอย่างลักษณะนั้นอีก

หลังจากนั้นมาในช่วงบ่ายใจเขาเหมือนจะเห็นโทษของวาจาที่ควบคุมไม่ได้ เขาก็หุบปากเงียบเงียบไปถึงข้างใน แม้แต่ความคิดไม่จำเป็นก็ไม่มี เกิดเป็นสภาวะที่เหมือนไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวแล้วพูดภาษาเขาไม่ได้ คุยกับใครไม่ได้ เวลาต้องใช้ปากคุยกับลูกค้าก็คุยด้วยท่วงทำนองที่ช้ากว่าปกติ ใจเย็นตอบคำถาม ค่อยๆ อธิบาย รู้สึกถึงเมตตาที่มันผุดขึ้นมาให้กายให้ใจเย็น เป็นแบบนี้ไปจนถึงค่ำ

ตอนเดินกลับบ้าน หลังจากที่รู้สึกว่าดีจัง วันนี้เงียบสงบไปถึงข้างใน อยู่ดีๆ คุณพี่(จิต)พูดมากก็เสนอหน้ามาจากไหนไม่รู้ เห็นแล้วก็ขำ

กลับบ้านเปิดเสียงสวดธัมจักรฯ เปิดไปเจอของธรรมกายลองฟังดูรู้สึกเขาสวดเพราะแฮะ ฟังๆ ไปใจมันระแวง(คิดไปเอง 555) เลยเปลี่ยนเป็นของที่อื่นนั่งฟังไปด้วยนั่งสมาธิไปด้วย

ก่อนนอนสวดอิติปิโส 108 รู้สึกถึงกำลังแต่เหมือนไม่มีสติเลย ไม่ได้ไหลไปกับเรื่องอื่นไหลไปกับบทสวดนี่แหละ ไปถึงรอบที่ 60 กว่า นึกถึงที่อ.เจี๊ยบแนะนำเรื่องหนอ ก็เลยลองเติม "หนอ" หลังบทสวดทั้งสามห้อง มันก็เรียกสติกลับมาได้ แต่ทำไปรู้สึกเหมือนเปลี่ยนพุทธพจน์ยังไงไม่รู้เลยเลิกทำ ก็เลยปล่อยมันจะไหลก็ไหล นานๆ รู้ที ทู่ซี้นั่งสวดอยู่จนถึง 108 จบ มันอยากนั่งสมาธิต่อ แล้วก็เข้ากรรมฐานคอหัก (หลับ 555)

จบการบ้านค่ะ

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

การบ้าน 22/4/57

เช้านี้รู้สึกตัวก่อนตี 5 พร้อมกับความคิดเชี่ยวกราก เห็นมันเยอะขนาดนั้นก็นอนอิติปิโสไป  นานประมาณนึงก็นึกว่านาฬิกาเสียรึป่าวไม่เห็นดังสักที ปรากฏไม่เสีย ก็นอนต่อพอมันปลุกก็ลุกขึ้นมา เช้านี้นั่งสมาธิได้ 23 นาที แกล้งเอาเครื่องนับมากดนับจำนวนครั้งที่มันหลงไปนับได้ 36 ครั้ง

ระหว่างวันสติอย่างนั้นๆ จะโอนเงินทำบุญก็ไม่สำเร็จ จะไปหาซื้อของก็ไม่สำเร็จ เป็นเหตุให้เดินผ่านโซนขายหนังสือเห็นหนังสือคิดถึงหลวงตาวางขายอยู่ แอบไปยืนอ่าน ขณะอ่านก็รู้สึกเหมือนได้ทำสมาธิไปด้วย รู้สึกถ้อยคำสอนของครูบาอาจารย์ล้วนมีกำลัง มีประโยคหนึ่งชอบมากท่านว่า "ให้ทำดีบอกไม่ว่าง คือข้ออ้างของกิเลส"

กลับมาบ้านง่วงมากนั่งหลับคาเก้าอี้ไปแล้ววูบนึง ก่อนนอนนึกว่าจะสวดอิติปิโสไม่รอดแต่ปรากฏว่าก็ผ่านไปด้วยดี พอเริ่มสวดก็เหมือนมีพลังงานค้ำยันเอาไว้ ความง่วงไม่รบกวน มีความสุขขณะสวด วันนี้สติเกิดในห้องพุทธคุณ และธรรมคุณมากขึ้น ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจหรือทำอะไรมากกว่าปกติ เหมือนว่าความระมัดระวังมันเพิ่มขึ้นกว่าเดิม

การบ้าน 21/4/57

21/4/57

ตอนเช้าลองตั้งนาฬิกาตอนตี 5 (ปกติตื่น 6 โมงครึ่ง) ดูว่ามันจะทำไง คิดว่าถ้ายอมลุกจะมานั่งสมาธิ มันก็ยอมลุกค่ะแต่อิดๆ ออดๆ นั่งได้สิบนาทีงอแงจะนอนต่อ อ่ะช่างมันจะนอนก็นอน เป้าหมายเช้านี้คือยอมลุกก็โอเคร ซึ่งจริงๆ ก็รู้ว่ามันขี้เกียจเพราะนอนตี 1 ตื่นตี 5 อยู่วัดทำได้ทำไมอยู่บ้านทำไม่ได้ (ฮา) แต่ยังไม่อยากจะไปเคี่ยวเข็ญให้หนักเดี๋ยวไก่ตื่น เราหวังผลยาวๆ อิอิ (บางทีเวลาคิดอะไรแบบนี้ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นกุศโลบายของบารมี หรือสันดานฝ่ายอาสวะกันแน่ ก๊ากก) 

ระหว่างวันมีเรื่องเกี่ยวกับความสุขมาให้คิด พอดีดูรายการแล้วเขาถามว่า "What makes you happy" เออแฮะ ใจตอบไม่ได้ เหมือนหนูคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่มีคำตอบ หาไม่เจอ พอตอบไม่ได้ก็รู้สึกเคว้งคว้างสุดประมาณ จนบางทีก็สงสัยว่าคำถามมันตั้งถูกรึป่าว จนป่านนี้ก็ยังตอบไม่ได้ ช่างมันเถอะ

ก่อนนอนสวดอิติปิโส 108 จบ ก่อนสวดมักจะมีแรงเสียดทาน แต่พอเริ่มสวดปั๊บก็สวดต่อไปได้เรื่อยๆ สังเกตมาหลายวันว่าครึ่งแรกส่วนมากจะราบรื่น ใจกายมักจะออกอาการกระสับกระส่ายประมาณช่วงรอบที่หกสิบขึ้นไปพลิกไปพลิกมา ซะจนพอเห็นตัวเลขเครื่องนับว่าถึงใกล้ 60 มันจะกระสับกระส่าย เฮ้ย ยังกับหมาได้ยินเสียงกระดิ่งจะน้ำลายไหล 5555
เมื่อวานสังเกตุว่าตอนสวดสติดีที่สุดตอนสังฆคุณ อาจเพราะมีส่วน "...สาวกสังโฆ" เป็นจังหวะซ้ำหลายท่อนเลยเหมือนกับการตบให้กลับเข้าที่เข้าทางเวลาไหลไปไหน
และหลุดมากที่สุดช่วงพุทธคุณเพราะเอื้อมมือไปกดเครื่องนับ พอมือกลับมา อ่าว จบแล้วขึ้นธรรมคุณ รอบไหนลอยไป อ่าว ธรรมคุณจบไปแล้ว
สังเกตุว่าตำแหน่งของสายตาที่บังเอิญเมื่อวานตั้งพอดีมีส่วนช่วยให้เกิดสติมากขึ้น ใกล้ไปไกลไปไม่โฟกัสจะหลุดง่ายกว่า
ทำไปทำมาสวดมนต์สนุกดีค่ะ 

วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

การบ้าน 20 เม.ย.57

20/4/57
ระหว่างวันก็บริกรรมไป วันนี้ใจค่อนข้างอยู่กับบทสวดได้พอสมควร มีบางช็อตที่กลัวจะติดเป็นโมหะเพราะเหมือนมันหนักๆ ก็ปลอบตัวไปว่าถ้ารู้ก็ไม่เป็นไรหรอกอย่าไปกลัว
ช่วงนี้มักเกิดการชักเย่อในใจบ่อยๆ พบว่าจริงๆ มันก็มีหลายช็อตที่ว่างพอจะบริกรรมได้ แต่ก่อนเอาช่วงเวลาที่ว่าไปเล่นเฟสบุค,ไปนอน หรือไปทำอะไรตามสันดานขี้เกียจๆ ของมัน หลังๆ นี่ก็เปลี่ยนเป็นทำอะไรไปบริกรรมไป ใจกระหวัดกลับไปหาความเคยชินเดิมๆ ของมันบ่อยครั้ง

ตอนเย็นไปทำวัตรเย็นที่วัดปทุม เดินจงกรมครึ่งชั่วโมง สวดมนต์ก่อนนอนค่ะ

การบ้าน 19 เม.ย.57


19/4/57
วันนี้ระหว่างวันจิตมักจะมาคลอเคลียกับบทสวดมนต์ ประเมินตัวเองในภาพรวมว่าผลจากการสวดมนต์ทำให้สติระหว่างวันดีขึ้นเล็กน้อย มีบางช็อตที่พอใจในการที่มันไม่วิ่งออกไปวุ่นวายข้างนอกเป็นความเย็นเล็กๆ ในใจ แต่อยู่ได้ไม่นาน
ระหว่างวันสังเกตการพูดคุยกับผู้อื่น พบว่าสมาธิไม่อยู่ตลอดสาย เดี๋ยวอยู่เดี๋ยวดับ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง 5555 และสังเกตในการฟังบางเรื่องเราสามารถเชื่อมโยงอย่างมีชีวิตชีวา วิเคราะห์ สังเคราห์ ยุบแยกแตกรวมอย่างสนุกสนาน แต่บางเรื่องฟังแล้วก็เป็นวัตถุตั้งนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่เกิดการเชื่อมโยง ตั้งไว้เฉยๆ อย่างนั้นเลย ชวนให้สงสัยว่าอะไรทำให้มันต่างกันอย่างนั้น
ก่อนนอนสวดมนต์อิติปิโส วันนี้ไม่รู้เป็นอย่างไรใจมันอยากสวดช้า ก็ให้มันสวดช้าไปแต่ผลคือได้แค่ 80 จบก็ไปต่อไม่ได้ เลยนอนแล้วตื่นมาสวดต่อให้ครบตอนเช้า
จบการบ้านค่ะ
ก่อนนอนสวดอิติปิโส 108 เหมือนเดิม


(บางทีงี่เง่ามากก็อยากทำอะไรเหมือนรูปข้างล่าง)

การบ้าน 18 เม.ย.57

18/4/57
บทสวดมนต์ที่ใจคลอเคลียอยู่ได้ทั้งวันเมื่อวานวันนี้ก็ไม่อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนความคิดจะจางลง ระหว่างวันก็นึกบริกรรมเท่าที่นึกได้
ตอนเย็นไปทำวัตรที่วัดปทุม เดินจงกรมรอบพระธาตุพร้อมทั้งฟังธรรมไปด้วย ใจสงบมีความสุขโชยๆ ความคิดมีประปรายไม่รุนแรง
กลับมาบ้านเจอคนที่บ้านไม่มีความสุขเท่าไรเลยโดนลูกหลงเป็นโยโย่เอฟเฟ็กต์หงุดหงิดกว่าปกติ ปิดปากไม่พูดเต็มที่ยังถูกยั่ว จริงๆ ก็รู้สึกว่าการเงียบมันไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเท่าไรแต่ปัญญามันดับอยู่คิดอะไรดีๆ ไม่ออก จึงหุบปากแล้วสังเกตไป เวลาใจหงุดหงิดมันคับแคบเข้ามา ความรับรู้รอบข้างแบบกว้างๆ มันหายไป ก็เลยหันไปรับรู้ภายนอกกว้างๆ มากขึ้น ตอนหลังคนที่บ้านเห็นเราไม่มีความสุข (แปลกที่เขากลับดูมีความสุขซะงั้น) เขาเลยกลับมาคุยเล่นเหมือนเดิมแหย่ต่อ "ไปสวดมนต์ออกบ่อยยังจะหงุดหงิดง่าย" เราก็คิดในใจ "อาบน้ำสะอาดแค่ไหนโดนโคลนสาดซ้ำมันก็ยังเปื้อนฮ่ะ"
ก่อนนอนสวดอิติปิโส 108 เหมือนเดิม

(บางทีงี่เง่ามากก็อยากทำอะไรเหมือนรูปข้างล่าง)

การบ้าน 17 เม.ย.57

17/4/57
ระหว่างวันจิตคลอเคลียกับบทสวดอิติปิโสอย่างน่าแปลกใจ พอว่างมันก็สวดของมันเอง พอเปิดเข้ามาอ่านห้องส่งการบ้าน เห็นอ.มาคอมเม้นต์ตอบรู้สึกดีใจ (ยังเป็นเหยื่อคำชมค่ะ 5555)
กลับบ้านไปเจอรายการดีๆ ตั้งใจมาชวนคุณนาย(แม่) ดูนั่งดูไปสักพักคุณนายก็บอกว่า "ก็น่าสนใจนะแต่จะจบรึยัง" ก็เห็นความน้อยใจออกมาเฉลิมฉลองกลางถนนจิตตนครกันใหญ่ แล้วก็นึกกับตัวเองว่าแพ้ทางแม่ตัวเองเสมอเลยนะ เพราะกับคนอื่นไม่เป็น สงสารตัวเองที่ตกเป็นเหยื่อวงจรดราม่าครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าแล้วก็ลุกไปสวดมนต์
ก่อนนอนสวดอิติปิโสแบบได้ 108 จบ
ข้อสังเกตุระหว่างสวดคือ พบว่าของหนูการสวดให้รอด ต้องอาศัยการล็อคอายตนะไม่ให้เพ่นพ่าน เช่น
  • - เอาหนังสือสวดมนต์มากางดูแม้จะท่องบทสวดได้เพื่อไม่ให้สายตาหลุดไปจับภาพอื่นที่จะเป็นเหตุให้ใจหลงไป
  • - ออกเสียงเบาๆ ไม่ให้หูเพ่นพ่านไปจับสิ่งอื่น
  • - พนมมือ รู้สึกว่าเป็นท่าที่รวบความตั้งใจได้ดี มีบางช่วงสวดแบบไม่พนมมือรู้สึกฟุ้งซ่านมากกว่า
  • - สวดเร็วๆ เพื่อให้โอกาสความคิดเพ่นพ่านสอดแทรกได้น้อยลง แต่มันก็ยังโผล่มาได้อยู่ ซึ่งตลกมากเพราะมีบางรอบปากสวดไปถึงเชียงใหม่แล้ว (สังฆคุณ) แต่ตายังหยุดอยู่ที่กรุงเทพอยู่เลย (พุทธคุณ) สักพักตาก็วิ่งตามปากไป 5555
  • - พบว่าจากการสวดมาหลายวันความง่วงมักจะโจมตีช่วงครึ่งทาง
  • - พอสมาธิหลุดจากบทสวดมนต์มากขึ้นก็พบว่ามันเพ่นพ่านไปทางกาย รู้สึกอยากขยับโน่นนี่นั่นโน่น แต่ถ้าสมาธิดีมันจะไม่รู้สึกถึงความดิ้นรนอยากจะขยับอะไร
  • - ช่วงจังหวะที่ยื่นมือไปกดนับรอบ บทสวดมันจะหายไปช่วงนึงพอเอามือกลับมาพนมใหม่มันก็จะกลับมาที่บทสวดใหม่
  • จบการบ้านค่ะ

การบ้าน 16 เม.ย.57

16/4/57

ก่อนนอนสวดอิติปิโสครบ 108 จบ แบบเร็วพบว่าทำให้ความง่วงไม่รบกวนเท่าที่ควร แต่ก็ยังมีจังหวะที่ลอยไปบ้าง

การบ้าน 13-15 เม.ย.57

13/4/57
คืนวันที่ 12 ทดสอบสวดอิติปิโส 3 ห้อง พบว่าสวดได้แค่ 9 จบ ก็สลบ ตื่นเช้ามาก็สวดต่อได้อีก 22 จบ
ระหว่างวันบริกรรมสลับกับหลงแล้วรู้

ก่อนนอนสวดอิติปิโสได้ 68 จบ สวดลืมตาสวดไปสวดมาตาปิด เห็นความง่วงวิ่งไปวิ่งมา ก็ลืมตาขยับเปลี่ยนอิริยาบถ รอบสุดท้ายสวดวนไม่ถึงสังฆคุณสักที ดับกลางอากาศไปสามรอบจึงพอแล้วก็นอน

14/4/57
ระหว่างวันนั่งสมาธิบนรถเพราะรถติดมาก ก่อนนอนกลับมาสวดอิติปิโสวันนี้ได้ 72 จบ

15/4/57
ระหว่างวันมีเวลาว่างนั่งสวดอิติปิโสได้สิบกว่าจบ ก่อนนอนทดสอบสวดโดยไม่เปิดไฟผลคือกำลังสู้กับความง่วงถดถอยมาก ได้สิบกว่าจบค่ะ

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2557

9-12 เม.ย ไปวัด กิเลสถ้วนหน้ามหาสงกรานต์

9 เม.ย.57

มาวัดวันแรกมานะเยอะมากๆ ค่ะในหัวมีแต่คำว่าทำไมๆๆ ทำไมต้องสไบ ทำไมต้องผ้าถุง ทำไมต้องสีขาว ฟังอธิบายไม่รู้เรื่องเลย แถมโดนอี๊บ่นไม่เรียบร้อยอย่างนู้นอย่างนี้ ขัดกับจริตทุกอย่างเลยค่ะ อยู่ๆ ไปเลยเห็นว่าใจไม่มีความอ่อนโยนเลย แข็งแบบนี้จะไปทำอะไรกิน

สวดมนต์ยาวและเร็วแบบนี้ครั้งแรก ทึ่งในความสามารถของพระองค์ที่นำสวดค่ะ สวดเสร็จนั่งสมาธิต่ออีกครู่หนึ่งก็ไปนอนค่ะ

ข้อสังเกตคือ สวดเร็วขนาดนี้ก็ยังคิดได้ สวดจบแล้วไม่ว่างเหมือนทุกที ปกติสวดอะไรนานขนาดนี้แทบไม่มีความคิดแล้ว สวดเสร็จก็ยังขยะเต็มหัวเหมือนเดิมอาจจะเป็นเพราะง่วง

10 เม.ย.57

ขึ้นกราบหลวงพ่อ ท่านให้ฝึกความนิ่งให้มาก ปัญญาจึงจะเกิด แล้วก็ให้คาถา เกศา โลมาฯ มาท่อง ไปขอคำแนะนำอ.เจี๊ยบ ท่านก็แนะให้เราเดินก่อนแล้วค่อยไปนั่ง อาจจะได้รู้จักกับสมาธิที่เป็นสมาธิ แล้วก็กรรมฐานที่แนะนำคือขัดส้วม ก็ไปค่ะ ขัดไปบริกรรมไป สักพักก็ลืมคำบริกรรม ได้แต่ขัดๆๆ นึกคำบริกรรมได้เป็นพักๆ แต่ส่วนใหญ่ดันหลงไปคิดว่า เดี๋ยวขัดตรงไหนต่อดี ใช้อะไรขัดดี กรรมฐานขัดส้วมเลยได้ทำและได้เมื่อยกลับมาค่ะ

หลังจากขัดส้วม ขัดพื้น ก็ไปแบกดินใช้แรงงาน เหนื่อยและเลอะสุดๆ ดี (แต่ก็ยังไม่ว่าง ยังคิดสะระตะอยู่)

หลังทำวัตรเย็น ก็อยู่เดินจงกรมต่อ เดินไปก็โลภไป อยากรู้ธรรม แต่ไม่อยากขอธรรม ซึ่งจริงๆ นัดขอให้อ.เจี๊ยบช่วยชี้แนะอี๊ให้ตอนทำวัตรเสร็จ แต่ดันผิดจังหวะสักอย่าง พอจะให้เดินไปหาอีกทีใจมันก็แข็งขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองทำอย่างนั้น (ขอขมาอ.เจี๊ยบอีกรอบนะคะ)

ข้อสังเกต คือ หลังจากทำอะไรทุกคนจะเตือนให้ไปกรวดน้ำโดยทันที ซึ่งตอนแรกหนูไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม ถ้าบุญมันมีใครอยากได้ก็เอาไปสิ กรวดทำไมนักหนา มาเห็นในวันก่อนกลับว่าไอ้ใจที่คิดอย่างนั้นมันหยาบ ต่อให้ไม่หวงของที่ให้ แต่การให้อะไรใครแบบโยนทิ้งๆ ส่งๆ ให้มันคนละเรื่องกันกับใจที่ให้แบบ "ตั้งใจมอบให้ด้วยยินดี" หรือใจแบบ "น้อมถวาย" เลยรู้เลยว่าอ่อนทานบารมีมากมาย

11 เม.ย.57

เดินไปขอขมาอ.เจี๊ยบเรื่องนัดแล้วไม่มา ไปด้วยรู้สึกว่ามันเป็นภาระที่จะแบกต่อไป หาได้สำนึกผิดใดๆ ไม่ (ถ้าสำนึกผิดจริงมันน่าจะไปขอโทษอี๊ เพราะเราเหมือนไปขวางโอกาสเขา แต่เนื่องจากเขาไม่รู้เรื่องเลยไม่ได้พูดขอโทษออกไป)

ระหว่างวันหาเรื่องปัด กวาด เช็ด ถู ขนดินขนทรายไปเรื่อย แยกกิจกรรมกับอี๊ ไม่ใส่วัตถุดิบให้มันคิดมากกว่าที่มันเป็นอยู่แล้ว พระอาจารย์ให้เกศา โลมาฯ แต่หูได้ยินแต่พาหุง เลยตีกันกลับไปกลับมา นึกลังเลเป็นพักๆ ว่าจะฝืนกระแสเสียงท่องเกศา โลมา หรือจะตามกระแสเสียงท่องพาหุงดี แล้วก็มีส่วนนึงที่นึกในใจว่ามัวคิดอะไรไม่เป็นเรื่อง

ข้อสังเกต คือระหว่างอยู่วัด เรื่องขัดใจมากแต่ไม่ค่อยต่อเป็นพยาบาท คือ มีความคิดแรกที่ขัดใจ แต่ความคิดลูก ความคิดหลานไม่มีหรือมีน้อย

ระหว่างอยู่วัด มีปรามาสพระอาจารย์ในใจอยู่หลายครั้ง ขอขมาตามในใจทุกครั้ง ครั้งสองครั้งยังไม่รู้สึกอะไรเพราะเคยอ่านเรื่องทำนองนี้มาบ้าง แต่ถี่เข้าชักหวาด ระหว่างเดินจงกรมเลยนึกดูว่ามันทำอะไร มันเป็นประมาณเป็นคำคล้องกับเรื่องที่คิด แล้วเสียงไปพ้องกับคำหยาบ แต่ดันไปผูกเข้ากับพระอาจารย์ พอคิดว่าเสียงมันพ้องกัน เลยคิดใหม่ทำใหม่ ถ้าติดเสียงพ้องนัก ก็เอาที่เสียงพ้องกันแต่ความหมายไม่หยาบ เป็นกุศล หรือเป็นกลางๆ ใส่ให้มันจำใหม่แทนที่ของเก่า

ตอนเย็น เดินจงกรม สลับกับนั่งสมาธิ
ระหว่างนั่งสมาธิ เห็นคอตัวเองค่อยๆ ตกลงไป มันก็ดูตัวเองว่า เออง่วงนะ แล้วก็แทรกขึ้นมาเองว่า "แล้วไงต่อ" นั่นสิ แล้วไงต่อ ...(เงียบ ไม่มีเสียงตอบจากปลายทางที่ท่านเรียก)..ความง่วงหลุดฉับพลัน นั่งต่อได้อีกพักใหญ่เลยค่ะ

พอลืมตาขึ้นมาความรู้สึกตอนนั้นคือ จะอยู่ถึงเช้าก็ได้นะ แต่มัน..อยากกลับไปซุกที่นอน (การนอนพื้นไม่ได้ช่วยอะไร ณ จุดนี้) มันต่อรองว่า "น่านะ ชั่วโมงเดียวเอง ไม่เสียหายอะไรหรอก นอนภาวนาเอาก็ได้" แล้วก็เชื่อมันค่ะ ข้าน้อยสมควรตาย -_-

12 เม.ย.57
ก่อนกลับอธิษฐานท่านด้วยพวงมาลัย รู้สึกใจสงบและมีกำลังอยู่พักใหญ่ พอขึ้นกราบขอให้ท่านแนะนำส่ิ่งที่จะนำมาปฏิบัติต่อที่บ้าน ฝึกดับความปรุงแต่งให้บ่อยๆ ดับเป็นบ่อยเข้าเดี๋ยวอีกหน่อยมันก็ดับหมด เอง ศีลก็ต้องถือให้พร้อม ขยันทำความดีจนให้มันเป็นนิสัยนะ สันดานมันก็คือนิสัยอย่างนึงเอามาแก้กัน

ตอนจะกลับเห็นข้างในมันดี๊ด๊าด้วยจะได้กลับมาหาสิ่งที่มันเคยชิน ความสบายต่างๆ นานา พอกลับมาถึงกรุงเทพเห็นความแออัดก็ละเหี่ยใจว่านี่น่ะเหรอสิ่งที่ดี๊ด๊าอยากกลับมาหาเมื่อตะกี้

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

ด้วงแมงแสดงธรรมกลับตาลปัตร

มีนางฟ้าอยู่ 3 ตนมีนิสัยขี้หงุดหงิด ขี้แกล้ง วันหนึ่งเห็นมนุษย์มีความสุขอยู่ นางฟ้าทั้ง 3 จึงอยากจะแกล้งมนุษย์โดยเอาความสุขไปซ่อน

ตนแรกเสนอว่า นำไปซ่อนบนยอดเขาสูงดีกว่า รับรองหาไม่เจอ แต่อีกสองตนแย้งว่า เดี๋ยวนี้มนุษย์มีเครื่องบิน ยอดเขาสูงแค่ไหนก็ไปถึง หาเจอง่ายจะตาย

ตนที่สองจึงเสนอว่า อย่างนั้นเอาไปซ่อนใต้ทะเลลึกดีกว่า รับรองหาไม่เจอ อีกสองตนก็แย้งว่า เดี๋ยวนี้ประสิทธิภาพเรือดำน้ำสูงมาก ลึกแค่ไหนก็หาเจอ

ตนที่สามจึงเสนอว่า ถ้าอย่างนั้นเอาความสุขเนี่ย ไปซ่อนในใจมนุษย์ก็แล้วกัน

ตั้งแต่นั้นมามนุษย์ก็หาความสุขไม่เจออีกเลย

การบ้าน

7/4/57

ตื่นมาสวดอิติปิโส 9 จบ

ระหว่างวันโอลันล้าไปกับงานวัด มีดีใจสลับกับขัดใจแล้วแต่สิ่งกระทบ แต่ในไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์เท่าไรคงเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า เลยไม่อยากเสียเวลาไม่มีความสุข 

ตอนเย็นได้มีโอกาสเล่นกับเด็กคนนึง สอนเขาเรื่องอาสวะกับบารมีไปด้วย พบว่าพอกลับบ้านจิตคิดไปถึงเด็กคนนั้นบ่อยทีเดียว

ตอนค่ำสวดบททำวัตรเช้า นั่งหลับตาไปแป๊บนึง (สติดันหายจริง) ตื่นขึ้นมาก่อนนอนสวดอิติปิโส 108 พอเริ่มสวดมันกลับไม่งอแง (ผิดคาด) สวดต่อด้วยจังหวะปกติ ไม่เร่งเร็วเพราะง่วง (ผิดคาดอีก) ความง่วงก็ไม่ค่อยเล่นงาน (ผิดคาดมาก) แต่ยังไม่มีสติในคำสวดเท่าใดนัก มีแต่รู้ว่าเป็นจังหวะเลื่อนไหลของมันไป

จบการบ้านค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2557

การบ้าน 6/4/57

6/4/57

ตื่นมาสวดอิติปิโสต่อจากเมื่อคืนที่หลับกลางอากาศจนครบ และสวดต่อไปได้อีกนิดหน่อย

ระหว่างวันจิตใจร่าเริงเบิกบาน แต่ไม่มีสติเท่าใดนัก

ช่วงเย็นไปทำวัตรเย็นในงานวัดลอยฟ้า สวดมนต์เสียงดังๆ รู้สึกดีมาก

ก่อนนอนกลับมาสวดอิติปิโส 108 จบ สวดได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องเร่งจังหวะความง่วงไม่เล่นงาน แต่พอเลย 108 ไปไม่เท่าไรเริ่มออกอาการ ตั้งใจนั่งสมาธิต่อครึ่งชั่วโมงแต่ได้แค่ 20 นาที

จบการบ้านค่ะ

การบ้าน 5/4/57

5/4/57

ก่อนนอนตั้งใจสวดอิติปิโส 108 จบ โดนความง่วงยิงถล่มเป็นพักๆ แล้วก็ถูกสอยร่วงในรอบที่ 60 กว่าร่างตกลงบนพื้นเสื่อ

ตื่นเช้ามาสวดต่อจนครบค่ะ T_T

การบ้าน 4/4/57

4/4/57
ตื่นมาสวดอิติปิโส 9 จบ
ระหว่างวันหลงมาก
ตอนเย็นตั้งใจไปงานวัดลอยฟ้าดีใจ
พอเพื่อนโทรมาบอกให้ไปด้วยกันก็เปลี่ยนเป็นหนักใจ
ตอนสวดมนต์รู้สึกชอบใจ
ตอนชมการแสดงรู้สึกขัดใจ
พอได้ไปเล่นเกมก็ดีใจ
เจอเพื่อนโดยบังเอิญก็ดีใจ
เห็นพระอาจารย์เดินมาพอดีรู้สึกดีใจ
พอพระอาจารย์เทศน์เย็นใจ
พอเปล่ียนเป็นเพลงรู้สึกง่วง เบื่อ ขัดใจ
พอเดินออกจากบรรยากาศรู้สึกสบายใจ
กลับบ้านช้ารู้สึกกังวลใจ
กลับมาถึงบ้าน บ้านหมุนหน่อยๆ สวดมนต์อิติปิโส 108 จบ สวดๆ ไปง่วงบทสวดทั้งบทรู้ตัวแต่ อิติปิโส กับ ภควาติ พอถึง 90 กว่าอยู่ดีๆ จิตแว่บไปคิดเรื่องเด็กแล้วก็แปลงบทสวดเฉยเลย ตื่นเลย
จบการบ้านค่ะ
(นึกเพิ่มเติมได้จึงแก้ไข)

การบ้าน 3/4/57

3/4/57

ตื่นเช้ามาสวดอิติปิโส 9 จบ ความงัวเงียไม่ยอมลุกยังมีอยู่ ลุกเร็วขึ้น10 นาที เดินไปเดินมาสะบัดแข้งขาให้มันตื่น

ระหว่างวันเห็นความขี้เกียจไปมา ใจไม่ติดกับบริกรรม

หลังเลิกงานไปเดินงานวัดลอยฟ้า เห็นใจมันดี๊ด๊าเหมือนอดอยากมานาน บังเอิญเจอห้องที่กำลังทำวัดเย็นกันอยู่ เข้าไปนั่งสวดด้วยรู้สึกดีมากๆ เลยค่ะ แล้วก็ออกมาชมส่วนนิทรรศการที่เป็นห้องสีขาวโล่งมีอาสวะกับคู่บารมี debate กันอยู่ แล้วก็เล่นกับแสงไฟเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ เหมือนเปลี่ยนสภาพอารมณ์ มีช่วงหนึ่งไฟดับวูบ จิตก็วูบตามไฟ เห็นแล้วขำตัวเองค่ะ ไม่ตั้งมั่น ไหลสุดๆ

พอกลับมาตอนแรกว่าจะไม่เล่าให้แม่ฟัง อยากให้เขาไปดูเอง แต่นึกไปนึกมาปกติเขาไม่ค่อยชอบไปดูอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ก็เลยเล่าแบบจัดเต็มให้เห็นภาพเหมือนเขาไปดูเองเลยละกัน เผื่อขายของสำเร็จแม่อยากไปดูเองบ้างเป็นแรงบันดาลใจในธรรมให้ท่าน

ก่อนนอนสวดอิติปิโส 108 จบค่ะ ได้แรงบันดาลใจมาจากงานวัดในเรื่องถีนมิทธะ vs อาโลกสัญญา กลับไปเลยเปิดไฟสว่างโล่เลยค่ะ สักประมาณจบที่ 50 กว่า ความง่วงเริ่มลอยผ่านตา ก็กำหนดให้รู้ว่ามันเริ่มเอาแล้วนะ ตั้งสติให้ดีขึ้น ขยับก๊อกแก๊กนิดหน่อยให้พอตื่น ปากสวดไปเรื่อยๆ มันมาเยือน 2-3 รอบค่ะ พอจบจริงๆ ก็ยังรู้สึกว่าสวดได้ต่อ แต่กลัวนอนไม่ตื่น (ตายตอนจบแบบนี้แหละ 5555)

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557

การบ้าน 2/4/57 แรงดิ้น

2/4/57

เมื่อวานตื่นเช้าสวดอิติปิโส 9 จบ

ระหว่างวันเวลาทำงานมีแรงทำงานปกติ แต่พอพักปุ๊บร่างกายหมดแรงแบบแทบปิดสวิตช์กลางอากาศ จิตมีการดีดดิ้นว่าเนี่ยเพราะนอนไม่พอ นอนไม่มี่คุณภาพเลยเป็นอย่างนี้ ฟังมันตัดพ้อทั้งวันยิ่งเหนื่อยหนัก 

ตอนเย็นไปเล่นโยคะ เหมือนได้พักบ้าง พอถึงท่าศพสบายจนหลับไปกว่าครึ่งแล้วโดนเรียกให้นอนต่อไม่ได้ คราวนี้จิตบ่นหนักเลย บอกเนี่ยแบบนี้อีกแล้วพอสภาวะที่จะพักได้ก็ดันพักไม่ได้ กาลเทศะไม่อำนวย

ก่อนกลับบ้านไปงานหนังสือต่อ ด้วยความที่ไม่มีแรง ซื้อสิ่งที่ต้องการเสร็จก็รีบกลับ ระหว่างทางเจอคนรู้จักก็ทักทายกันปกติ (ทีอย่างนี้ทำไมมีแรงคุย -_-)

ระหว่างเดินทางกลับบ้าน จิตมีข้อเสนอ เนี่ยเหนื่อยขนาดนี้กลับไปรีบนอนเลยนะ จะได้นอนมากๆ พรุ่งนี้จะได้มีแรง เหนื่อยขนาดนี้ไม่ต้องสวดมนต์หรอกทำอะไรต้องรู้จักความพอดี เราก็เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกะมันเป็นพักๆ พอถึงบ้านตัดสินใจว่าอาบน้ำแล้วค่อยว่ากัน

พออาบน้ำแล้วก็มีแรงขึ้นมาหน่อยสวดอิติปิโส บอกตัวเองว่าแค่ไหนก็แค่นั้น ได้อย่างเป็นทางการ 33 จบค่ะ

การบ้าน 1/4/57

1/4/57
ก่อนลุกจากที่นอนปรับท่าเป็นนอนหงายราบกับพื้นที่ทำให้กายผ่อนคลายและจิตสงบได้เมื่อหลายวันก่อน แต่ทำต่อเนื่องมาหลายวันก็ไม่มีวันไหนเป็นเหมือนวันนั้น คงจะเพราะอยาก อันที่จริงคือไม่มีวันไหนเหมือนกันเลย แต่ถ้าเหมาๆ รวมๆ ก็จะมีแค่สภาวะที่เราอยากได้ กับสภาวะที่เราไม่อยากได้ พอถึงเวลาก็ลุกมาสวดนโมตัสสะ + อิติปิโส 9 จบ
ระหว่างเดินไปทำงานใส่หูฟังเสียงสวดมนต์ แต่พอไปถึงที่ทำงาน เจอเรื่องที่ไม่น่าขัดใจแต่กลับเกิดโทสะน้อยๆ ระหว่างสวดมนต์จิตคงจะถูกโมหะครอบไปตอนไหนเลยเหวี่ยงกลับมากกว่าปกติ พอคิดแบบนี้ก็เลยปล่อยใจให้สบายๆ มากขึ้น
ระหว่างวันก็บริกรรมไปหลวมๆ รู้บ้างหลงบ้าง (ยังหลงมากกว่า) เหมือนวันนี้จะรู้ได้ดีกว่าเมื่อวาน ไม่ก็อีกทีเพราะวันนี้ความคิดไม่เป็นแบบเชี่ยวกรากเหมือนเมื่อวาน 5555
ตอนเย็นกลับบ้านมานั่งสวดมนต์ไปเรื่อยๆ พอง่วงไม่ไหวก็ลุกไปแปรงฟัน แล้วกลับมาสวดต่อแบบเดิน คราวนี้เปลี่ยนเป็นสวดอิติปิโสได้ 43 รอบ
จบการบ้านเท่านี้ค่ะ

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

การบ้าน 31/3/57

31/3/57
ระยะนี้ดูใจ(กิเลส)มันคึกค่ะ ขยันไหล มีแรงไหล แต่ไม่ขยันดู + ดูไม่ทัน เยอะจัด เช้าพอรู้สึกตัวขึ้นมาจะรู้สึกถึงกระแสความคิดที่เชี่ยวมาก ก่อนลุกจากที่นอนสวดอิติปิโส 9 จบ ช่วงสวดใจก็มีความตั้งใจขึ้นมา มันยอมสวดแบบไม่ดื้อ ไม่เหลวไหล (อาจจะเป็นเพราะบอกมันว่าจะสวดแค่ 9 จบรึป่าว) พอกราบพระปุ๊บ กระแสเชี่ยวกรากมาต่อเลย
ระหว่างวันก็เป๋ๆ ค่ะ เห็นอะไรบ้างแต่ไม่ชัด รู้แค่ว่าไปเรียบร้อยแล้ว บริกรรมระหว่างวันไม่แข็งแรง
เมื่อวานได้กลับบ้านเร็วกว่าปกติ ก็สวดมนต์ไป 50 นาที ง่วงมาก เปลี่ยนอิริยาบถ กลับมาพอจะขึ้นธัมจักฯต่อไปไม่ไหวตาปิดเลยค่ะลืมไม่ขึ้น 
เมื่อวานตอนคุยกับเพื่อน คุยไปหลายเรื่อง ก็พบว่าบางเรื่องที่คุยถ้าคนฟังไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องใหญ่สำหรับเขา การฟังจะเป็นไปแบบหลบไปหลบมา ป้องกันตัว แต่พอคุยถึงประเด็นที่เขาให้ความสำคัญก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดีน้ำหูน้ำตาไหลกันเลย เลยได้เป็นข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าการทำอะไรใจที่เปิดรับนี่สำคัญจริงๆ ค่ะ
จบการบ้านค่ะ