9 เม.ย.57
มาวัดวันแรกมานะเยอะมากๆ ค่ะในหัวมีแต่คำว่าทำไมๆๆ ทำไมต้องสไบ ทำไมต้องผ้าถุง ทำไมต้องสีขาว ฟังอธิบายไม่รู้เรื่องเลย แถมโดนอี๊บ่นไม่เรียบร้อยอย่างนู้นอย่างนี้ ขัดกับจริตทุกอย่างเลยค่ะ อยู่ๆ ไปเลยเห็นว่าใจไม่มีความอ่อนโยนเลย แข็งแบบนี้จะไปทำอะไรกิน
สวดมนต์ยาวและเร็วแบบนี้ครั้งแรก ทึ่งในความสามารถของพระองค์ที่นำสวดค่ะ สวดเสร็จนั่งสมาธิต่ออีกครู่หนึ่งก็ไปนอนค่ะ
ข้อสังเกตคือ สวดเร็วขนาดนี้ก็ยังคิดได้ สวดจบแล้วไม่ว่างเหมือนทุกที ปกติสวดอะไรนานขนาดนี้แทบไม่มีความคิดแล้ว สวดเสร็จก็ยังขยะเต็มหัวเหมือนเดิมอาจจะเป็นเพราะง่วง
10 เม.ย.57
ขึ้นกราบหลวงพ่อ ท่านให้ฝึกความนิ่งให้มาก ปัญญาจึงจะเกิด แล้วก็ให้คาถา เกศา โลมาฯ มาท่อง ไปขอคำแนะนำอ.เจี๊ยบ ท่านก็แนะให้เราเดินก่อนแล้วค่อยไปนั่ง อาจจะได้รู้จักกับสมาธิที่เป็นสมาธิ แล้วก็กรรมฐานที่แนะนำคือขัดส้วม ก็ไปค่ะ ขัดไปบริกรรมไป สักพักก็ลืมคำบริกรรม ได้แต่ขัดๆๆ นึกคำบริกรรมได้เป็นพักๆ แต่ส่วนใหญ่ดันหลงไปคิดว่า เดี๋ยวขัดตรงไหนต่อดี ใช้อะไรขัดดี กรรมฐานขัดส้วมเลยได้ทำและได้เมื่อยกลับมาค่ะ
หลังจากขัดส้วม ขัดพื้น ก็ไปแบกดินใช้แรงงาน เหนื่อยและเลอะสุดๆ ดี (แต่ก็ยังไม่ว่าง ยังคิดสะระตะอยู่)
หลังทำวัตรเย็น ก็อยู่เดินจงกรมต่อ เดินไปก็โลภไป อยากรู้ธรรม แต่ไม่อยากขอธรรม ซึ่งจริงๆ นัดขอให้อ.เจี๊ยบช่วยชี้แนะอี๊ให้ตอนทำวัตรเสร็จ แต่ดันผิดจังหวะสักอย่าง พอจะให้เดินไปหาอีกทีใจมันก็แข็งขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองทำอย่างนั้น (ขอขมาอ.เจี๊ยบอีกรอบนะคะ)
ข้อสังเกต คือ หลังจากทำอะไรทุกคนจะเตือนให้ไปกรวดน้ำโดยทันที ซึ่งตอนแรกหนูไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม ถ้าบุญมันมีใครอยากได้ก็เอาไปสิ กรวดทำไมนักหนา มาเห็นในวันก่อนกลับว่าไอ้ใจที่คิดอย่างนั้นมันหยาบ ต่อให้ไม่หวงของที่ให้ แต่การให้อะไรใครแบบโยนทิ้งๆ ส่งๆ ให้มันคนละเรื่องกันกับใจที่ให้แบบ "ตั้งใจมอบให้ด้วยยินดี" หรือใจแบบ "น้อมถวาย" เลยรู้เลยว่าอ่อนทานบารมีมากมาย
11 เม.ย.57
เดินไปขอขมาอ.เจี๊ยบเรื่องนัดแล้วไม่มา ไปด้วยรู้สึกว่ามันเป็นภาระที่จะแบกต่อไป หาได้สำนึกผิดใดๆ ไม่ (ถ้าสำนึกผิดจริงมันน่าจะไปขอโทษอี๊ เพราะเราเหมือนไปขวางโอกาสเขา แต่เนื่องจากเขาไม่รู้เรื่องเลยไม่ได้พูดขอโทษออกไป)
ระหว่างวันหาเรื่องปัด กวาด เช็ด ถู ขนดินขนทรายไปเรื่อย แยกกิจกรรมกับอี๊ ไม่ใส่วัตถุดิบให้มันคิดมากกว่าที่มันเป็นอยู่แล้ว พระอาจารย์ให้เกศา โลมาฯ แต่หูได้ยินแต่พาหุง เลยตีกันกลับไปกลับมา นึกลังเลเป็นพักๆ ว่าจะฝืนกระแสเสียงท่องเกศา โลมา หรือจะตามกระแสเสียงท่องพาหุงดี แล้วก็มีส่วนนึงที่นึกในใจว่ามัวคิดอะไรไม่เป็นเรื่อง
ข้อสังเกต คือระหว่างอยู่วัด เรื่องขัดใจมากแต่ไม่ค่อยต่อเป็นพยาบาท คือ มีความคิดแรกที่ขัดใจ แต่ความคิดลูก ความคิดหลานไม่มีหรือมีน้อย
ระหว่างอยู่วัด มีปรามาสพระอาจารย์ในใจอยู่หลายครั้ง ขอขมาตามในใจทุกครั้ง ครั้งสองครั้งยังไม่รู้สึกอะไรเพราะเคยอ่านเรื่องทำนองนี้มาบ้าง แต่ถี่เข้าชักหวาด ระหว่างเดินจงกรมเลยนึกดูว่ามันทำอะไร มันเป็นประมาณเป็นคำคล้องกับเรื่องที่คิด แล้วเสียงไปพ้องกับคำหยาบ แต่ดันไปผูกเข้ากับพระอาจารย์ พอคิดว่าเสียงมันพ้องกัน เลยคิดใหม่ทำใหม่ ถ้าติดเสียงพ้องนัก ก็เอาที่เสียงพ้องกันแต่ความหมายไม่หยาบ เป็นกุศล หรือเป็นกลางๆ ใส่ให้มันจำใหม่แทนที่ของเก่า
ตอนเย็น เดินจงกรม สลับกับนั่งสมาธิ
ระหว่างนั่งสมาธิ เห็นคอตัวเองค่อยๆ ตกลงไป มันก็ดูตัวเองว่า เออง่วงนะ แล้วก็แทรกขึ้นมาเองว่า "แล้วไงต่อ" นั่นสิ แล้วไงต่อ ...(เงียบ ไม่มีเสียงตอบจากปลายทางที่ท่านเรียก)..ความง่วงหลุดฉับพลัน นั่งต่อได้อีกพักใหญ่เลยค่ะ
พอลืมตาขึ้นมาความรู้สึกตอนนั้นคือ จะอยู่ถึงเช้าก็ได้นะ แต่มัน..อยากกลับไปซุกที่นอน (การนอนพื้นไม่ได้ช่วยอะไร ณ จุดนี้) มันต่อรองว่า "น่านะ ชั่วโมงเดียวเอง ไม่เสียหายอะไรหรอก นอนภาวนาเอาก็ได้" แล้วก็เชื่อมันค่ะ ข้าน้อยสมควรตาย -_-
12 เม.ย.57
ก่อนกลับอธิษฐานท่านด้วยพวงมาลัย รู้สึกใจสงบและมีกำลังอยู่พักใหญ่ พอขึ้นกราบขอให้ท่านแนะนำส่ิ่งที่จะนำมาปฏิบัติต่อที่บ้าน ฝึกดับความปรุงแต่งให้บ่อยๆ ดับเป็นบ่อยเข้าเดี๋ยวอีกหน่อยมันก็ดับหมด เอง ศีลก็ต้องถือให้พร้อม ขยันทำความดีจนให้มันเป็นนิสัยนะ สันดานมันก็คือนิสัยอย่างนึงเอามาแก้กัน
ตอนจะกลับเห็นข้างในมันดี๊ด๊าด้วยจะได้กลับมาหาสิ่งที่มันเคยชิน ความสบายต่างๆ นานา พอกลับมาถึงกรุงเทพเห็นความแออัดก็ละเหี่ยใจว่านี่น่ะเหรอสิ่งที่ดี๊ด๊าอยากกลับมาหาเมื่อตะกี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น