24/4/57
ตื่นเช้าได้ด้วยเสียงนกร้อง ลุกขึ้นมาได้โดยไม่อิดออด แต่รู้สึกเหมือนมีกายหนักๆ อารมณ์เฉยๆ เป็นอุเบกขาซื่อบื้ออยู่ข้างใน ลุกขึ้นมานั่งสมาธิ จะเรียกว่าสติดีก็ไม่ใช่ แต่นิ่ง ขณะนั่งรู้สึกเหมือนมีเงาดำนั่งทับ มันไม่ได้นิ่งแบบสบายแต่นิ่งแบบขี้เกียจขยับ ขี้เกียจคิดด้วย ขนาดเรื่องที่เมื่อวานออกมาเพ่นพ่านตอนสวดมนต์มากมายพอลองแหย่มันคิดดูมันยังไม่ถือสาหาความด้วย ประหลาดดี
ระหว่างวันช่วงเช้าคุมสติได้ดี แต่พอผ่านไปกลับหลุด พูดจาไม่มีเมตตาออกไป เกิดเป็นแรงดีดกลับให้ต้องรับวิบากใจไม่ปล่อยวางจึงโทรไปขอโทษและตั้งใจว่าจะไม่พูดอย่างลักษณะนั้นอีก
หลังจากนั้นมาในช่วงบ่ายใจเขาเหมือนจะเห็นโทษของวาจาที่ควบคุมไม่ได้ เขาก็หุบปากเงียบเงียบไปถึงข้างใน แม้แต่ความคิดไม่จำเป็นก็ไม่มี เกิดเป็นสภาวะที่เหมือนไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวแล้วพูดภาษาเขาไม่ได้ คุยกับใครไม่ได้ เวลาต้องใช้ปากคุยกับลูกค้าก็คุยด้วยท่วงทำนองที่ช้ากว่าปกติ ใจเย็นตอบคำถาม ค่อยๆ อธิบาย รู้สึกถึงเมตตาที่มันผุดขึ้นมาให้กายให้ใจเย็น เป็นแบบนี้ไปจนถึงค่ำ
ตอนเดินกลับบ้าน หลังจากที่รู้สึกว่าดีจัง วันนี้เงียบสงบไปถึงข้างใน อยู่ดีๆ คุณพี่(จิต)พูดมากก็เสนอหน้ามาจากไหนไม่รู้ เห็นแล้วก็ขำ
กลับบ้านเปิดเสียงสวดธัมจักรฯ เปิดไปเจอของธรรมกายลองฟังดูรู้สึกเขาสวดเพราะแฮะ ฟังๆ ไปใจมันระแวง(คิดไปเอง 555) เลยเปลี่ยนเป็นของที่อื่นนั่งฟังไปด้วยนั่งสมาธิไปด้วย
ก่อนนอนสวดอิติปิโส 108 รู้สึกถึงกำลังแต่เหมือนไม่มีสติเลย ไม่ได้ไหลไปกับเรื่องอื่นไหลไปกับบทสวดนี่แหละ ไปถึงรอบที่ 60 กว่า นึกถึงที่อ.เจี๊ยบแนะนำเรื่องหนอ ก็เลยลองเติม "หนอ" หลังบทสวดทั้งสามห้อง มันก็เรียกสติกลับมาได้ แต่ทำไปรู้สึกเหมือนเปลี่ยนพุทธพจน์ยังไงไม่รู้เลยเลิกทำ ก็เลยปล่อยมันจะไหลก็ไหล นานๆ รู้ที ทู่ซี้นั่งสวดอยู่จนถึง 108 จบ มันอยากนั่งสมาธิต่อ แล้วก็เข้ากรรมฐานคอหัก (หลับ 555)
จบการบ้านค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น