9-13 พ.ค.57
(วันที่ 9-10)
ตั้งแต่ช่วงที่ส่งการบ้านสั้นกุด ช่วงนี้ใจเหมือนหมาตาบอดผู้หิวโหย มันถามตัวเองอยู่ตลอดว่าทำอะไรอยู่และทำเพื่ออะไร อยู่กับโลกก็ไม่สุข ภาวนาก็สุขครั้งคราว บทจะแห้งแล้งก็แห้งตายได้เลยเหมือนกัน คิดอย่างคนขาดสติว่าไปวัดคงจะพอช่วยอะไรได้บ้างดีกว่าอยู่บ้านหลายๆ วันอาการจะหนักเอา
ไปรอบนี้ไม่อยากยุ่งกะใคร ไม่หงุดหงิดกับอากาศร้อน ไม่หงุดหงิดกับชุด อะไรก็ได้ ทำให้ถูกจะได้ไม่ต้องพูด ไม่ต้องมองหาใคร ไม่ต้องรอใคร สงบดีมากเลยค่ะ...
ซะที่ไหนกันล่ะ ภายในพูดไม่หยุดเลย บริกรรมก็ไม่มีอารมณ์ มันเบื่อ ผลคือ 2 วันไม่ใส่เหตุภายนอกยังพูดไม่หยุดเลย -_-"
ขึ้นกราบหลวงพ่อใหญ่ รอบนี้ไม่ได้ถามไม่รู้จะถามอะไร ใจมันฝ่อ เหี่ยว โทรม ถือว่าขึ้นไปนั่งสมาธิกับท่านแล้วกัน ท่านเทศน์จับได้คร่าวๆ ว่าทุกข์เกิดจากความคิด บัณฑิตพึงเห็นความดับของเทียนให้บ่อย ท่านว่าโปรดคนเป็นล้านจะพ้นได้สักคนสองคนยังยากเลยแต่ท่านก็ทำ ฟังถึงตรงนี้น้ำตาก็ไหล กำลังกลับมาหน่อย
ถึงเวลาก็ทำวัตรเช้าเย็น นั่งสมาธิ เดินจงกรม เช็ดถูปัดกวาดก๊อกแก๊กไป กิจกรรมก็เข้าแต่ฤาษีดัดตน หลังทำวัตรเย็นก็เดินจงกรมสลับนั่งสมาธิ ไม่สงบ และไม่หลับ มีคุณหมาน้อยใหญ่คอยปลอบใจทำอะไรตลกๆ ให้ดูหลายท่า ใกล้ตี 3 ก็เดินไปล้างหน้าล้างตาเตรียมทำวัตรเช้าต่อ
(วันที่ 11)
เข้ากิจกรรมนั่งสมาธิช่วงบ่าย นั่งแล้วเหมือนเกิดอาการสัปหงกแต่สาบานได้ว่าไม่ได้ง่วง ก็นั่งดูมัน พบว่ามันจะเกิดตอนกระแสความคิดจรเข้ามา โยกแล้วกระตุกกลับ ความคิดตัด ความคิดใหม่พาไหลใหม่ ก็โยกใหม่แล้วกระตุกกลับ โยก-กระตุกอย่างนี้หลายรอบจนรำคาญ
ตอนแรกนึกว่ามันโยกเพราะคิดเลยช่วยมันคิดไปชุดใหญ่ "เอ้าโยกไป" ปรากฏไม่โยก เลยจับได้ว่ามันโยกเฉพาะกับความคิดจรที่ไหลไปเองเท่านั้น การคิดเป็นเรื่องเป็นราวไม่โยก
นั่งดูต่อคิดเป็นคำพูดไม่โยก ถ้ามโนเป็นภาพล่ะ อ้าวโยกแฮะ ขนาดมโนภาพครูบาอาจารย์ยังโยกเลย ลองมโนเป็นกลิ่นเป็นรสก็ไม่โยก จำไม่ได้ว่าเล่นเสียงด้วยรึป่าว แต่สรุป ภาพมโนกำลังแรงสุด เล่นกับมันสักพักอยู่ๆ มันก็ปล่อยการโยกของมันเอง กายก็ค่อยๆ ตั้งนิ่งขึ้นมาสบายอากาศร้อนก็ไม่สนใจนั่งจนครบ 1 ชั่วโมง
พอนั่งสมาธิเสร็จครูที่สอนให้ถามได้ ก็เลยยกมือถามว่าอาการที่เราเป็นคืออะไร แต่ฟังม่ายยยรู้เรื่องเลยจำไม่ได้ค่ะ 5555
สักบ่ายสี่เห็นมีกลุ่มนั่งสนทนาธรรมกับพระอาจารย์เลยทำตัวเป็นเผือกไปนั่งฟังด้วย พอดีมีคนถาม "ทำยังไงจะหยุดความคิดได้" ท่านว่าทำกายให้นิ่ง วาจานิ่ง ใจนิ่ง
กายนิ่งคือมีสัมปชัญญะ มันอยู่ตรงไหนให้มันอยู่ตรงนั้น วาจะไม่จำเป็นไม่ต้องพูด เมื่อข้างนอกนิ่ง ข้างในจะเป็นไงก็แล้วแต่เดี๋ยวมันก็นิ่งตามเอง ถ้ามันนิ่งครบสามจะนั่งสมาธิกี่ชั่วโมงมันก็นิ่ง แต่ถ้าข้างในมันคิด (ท่านก็โยกตัว) มันก็เป็นแบบนี้ไง -- เลยรู้สึกเหมือนได้คำตอบเลย
มีคนถามต่อ "แต่เดินจงกรมมันไม่ได้นิ่งนี่คะ" ท่านว่าการเดินจงกรมเป็นการชะลอความปั่นป่วนให้อยู่ในระดับที่เอาอยู่ แล้วค่อยมานั่ง การบริกรรมก็เป็นการชะลอเช่นกัน
ตอนเย็นสวดทำวัตรมีกำลังดี แต่ตอนอิติปิโส 108 ใจมันทุกข์เพราะอยากให้จบไวๆ สวดเสร็จก็เดินจงกรม นั่งสมาธิต่อ ไม่มีอะไรในกอไผ่
(วันที่ 12)
เข้ากิจกรรมนั่งสมาธิช่วงบ่ายอีก มันจำอารมณ์โยกเมื่อวานได้ มันไม่ชอบไม่อยากเจอ วันนี้มันดิ้นหนีไม่ยอมนั่ง ยุกยิกรำคาญเหงื่อออก ร้อน ออกเป็นอาการทางกายไป ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงรู้สึกทรม๊าน..ทรมาน ตอนจบช่วงครูนั่งตอบคำถาม คือท่านก็พูดเยอะนะ แต่หนูมันประเภท selective listener
ท่านก็พูดออกมาประโยคนึงว่า "สำหรับผู้ปฏิบัติ คิดว่าผ่านเวทนาหรือยัง" จิตมาร์กประโยคนี้เอาไว้ แล้วก็อีกประโยคแนะนำให้ผู้มาแก้กรรมให้กระทำสัจจบารมี ยกตัวอย่างตอนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ที่ว่าถ้าท่านไม่บรรลุพระโพธิญาณจะไม่ลุกขึ้นจากโคนไม้เป็นอันขาด จิตก็มาร์กเรื่องนี้เอาไว้
เดินออกมาจากเรือน 1 แสนจะร้อนไปซื้อโยเกิร์ตกินไม่หายร้อน เลยต้องไปซื้อชาเย็นมาอีกแก้ว ดูดเข้าไปแจ่มมากทั้งหวานทั้งเย็นในมีความสุขฝุดๆ มันก็นั่งพักสายตา ได้เรื่องเลย
ลืมตาไม่ขึ้น รู้สึกมีกำลังมาอัดหน้า เหมือนเดินเข้าไปในเรือดำน้ำแล้วโดนซีลจากข้างนอกแล้วเรือก็ค่อยๆ จมดิ่งไปเรื่อยๆ มันตัดการกระเทือนภายนอกออกเหมือนสร้างห้องขึ้นมาล้อม อยู่ห้องเดิมสักพักก็เหมือนมันพาเปลี่ยนห้อง เหมือนกำลังที่อัดหน้าอยู่มันเคลื่อนจากจุดนึงไปอีกจุดนึง ก็นั่งดูมันไปไหนๆ ก็ว่าง จะดูว่าจะพาไปไหน การรับรู้ยังปกติเสียงก็ได้ยินแต่รู้สึกมันไม่กระเทือนมีแต่ความรู้สึกว่าไม่เกี่ยวข้อง การคิดก็ทำได้ปกติ เป็นความรู้สึกที่ดีจังเหมือนได้พักเลยไม่ต้องออกไปเพ่นพ่านที่ไหน เป็นอย่างนั้นอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงกำลังที่อัดมาค่อยคลายไป ไม่รู้ว่ามันเป็นสภาวะอะไร แต่รู้อย่างเดียวว่าไอ้ที่เกิดนี่เป็นผลไม่ใช่เหตุ แถมไม่รู้เหตุด้วย เลยไม่รู้ว่าถ้าจะทำอีกต้องใส่เหตุยังไง -_-" พอใกล้ๆ จะลืมตาได้ยินเสียงกระทบเริ่มกระเทือน ได้ยินเสียงคนอื่นตะโกนเรียกเพื่อนดังหน่อย มันกระเพื่อมหงุดหงิดบางๆ พอลืมตาขึ้นมาได้รู้สึกเหมือนได้หลับยาว แต่ซื่อบื่อขอบกล เหมือนมีใครเอาหมวกมาใส่ให้ การมองเหมือนจะชัดขึ้น ซื่อบื้ออยู่พักนึง
เตรียมตัวสำหรับสวดมนต์ข้ามคืน มันเลยเอาเรื่องสัจจะที่มาร์กไว้มาพิจารณา เดินไปถึงพระพุทธรูปแล้วก็เขางอก "เอ๊ะ สัจจะนี่เขาตั้งกันยังไงฟระ" สรุปว่าก็มึนๆ ตั้งไปว่าจะสวดคืนนี้จะสวดอิติปิโสแบบไม่เปลี่ยนท่าเลยเอ้า ปรากฏคืนนี้ไม่ได้สวดอิติปิโส 108 ก๊ากก แต่กระนั้นผลของมันก็มีอยู่คือสวดข้ามคืนได้แบบค่อนข้างนิ่ง ไม่ง่วงและไม่หมดแรง เรียกว่าไม่ตายกลางสนามรบ แต่เสร็จศึกก็สิ้นสภาพไปแป๊บนึง
13 พ.ค.57
ได้ใส่บาตรหลวงพ่อใหญ่ ได้เห็นท่านในระยะประชิดมาก ^_^ ฮิ้ววว (จะฮิ้วววทำไม) มีฟามสุขค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น