เอาการบ้านส่วนตัวมาให้อ่าน สืบเนื่องจากกระทู้ของนกน้อย
อาทิตย์นี้ ต้นอาทิตย์ทำงานที่วัด เทศกาลวิสาขบูชา เสร็จแล้วได้พักวันนึงยังไม่หายเพลียดี แล้วออกจากวัดไปทำงานทางโลกต่ออีกสามวัน
อยู่แบบโลกๆ เลย กินกับเขา นอนโรงแรม แล้วก็ทำงานเป็นวิทยากร เอาธรรมมาใช้กับโลกได้ เขาก็ happy กันพอสมควร
กลับมาบ้าน เมื่อวาน กิน นอน ดูทีวี ตลอดวัน ตลอดคืน ไม่ทำอะไรเลย
ขำร่างกาย คือนอนซะจนเจ็บตัว จะตะแคงท่าไหนก็เจ็บ เมื่อวานนั้นจิตก็อยากจะลุก แต่สันดานมันอยากจะนอน อยากจะแช่ในความสบาย
อากาศที่บ้านไม่ร้อนมาก นอนได้สบายๆ จัดไป.. พลิกร่างกาย หาจุดที่มันไม่เจ็บ เพื่อจะนอนต่อ
อากาศที่บ้านไม่ร้อนมาก นอนได้สบายๆ จัดไป.. พลิกร่างกาย หาจุดที่มันไม่เจ็บ เพื่อจะนอนต่อ
ขำจิต มันอยากแช่ เปิดทีวี ดูไปเรื่อยๆ ดูจนจิตมันไม่เอา เรื่องอะไรก็ไม่เอาแล้ว ไม่เหมือนช่วงแรกๆ ดูด้วยความเพลิน
ปล่อยจิตปล่อยใจไหลไปกับเรื่องราว ดูได้หลายชั่วโมง ดูจนหลับ ตื่นมาดูต่อ 555 เปลี่ยนช่องดูไปเรื่อยๆ หนังฝรั่งบ้าง สารคดี ข่าว
(ส่วนละครหลังข่าวยังดูไม่ได้เหมือนเดิม รำคาญ)
ปล่อยจิตปล่อยใจไหลไปกับเรื่องราว ดูได้หลายชั่วโมง ดูจนหลับ ตื่นมาดูต่อ 555 เปลี่ยนช่องดูไปเรื่อยๆ หนังฝรั่งบ้าง สารคดี ข่าว
(ส่วนละครหลังข่าวยังดูไม่ได้เหมือนเดิม รำคาญ)
พอวันนี้มันไม่ไหวแล้ว มันพอ.. มันไม่ไหวจริงๆ ถามมันว่าเอาอีกหน่อยมั้ย เผื่อจะยังไม่อิ่ม ทั้งอาหาร ทั้งการนอน การพัก ทั้งทีวี
พร้อมใจกันส่ายหัวดิกทั้งผัวทั้งเมียเลย
ปิดทีวี ลุกขึ้นมาทำงานแต่เช้า
กายมันอยากทำงาน อยากจะออกแรง จิตมันอยากทำงาน มันเบื่อความซึมๆ
เรียกว่า วันหนึ่งกะสองคืน พักซะจนเหนื่อย เฉื่อยซะจนเพลีย
---------------------------
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม เนี่ย ความจริงตามจริง ถามว่าดีมั้ย ไม่ดีแน่ แต่มันเป็นแบบเนี้ย ตามจริง ถ้ามีเหตุปัจจัยที่ทำแบบนี้ไม่ได้ก็ไม่ทำ แต่ถ้าเหตุมันเอื้อ มันอ้าง มันอู้ ก็ทำ ก็ทำได้แค่เนี้ย ทั้งที่จริงๆ จะอู้ต่อก็ได้ แต่มันอู้ได้แค่นี้
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม สมัยก่อนสามารถกินๆ นอนๆ ได้เป็นอาทิตย์ ตอนนี้ได้สถิติใหม่ หนึ่งวัน สองคืน จริงๆ คืนนึงก็เต็มแล้ว แต่มีเหตุเข้ามา ถือโอกาสอู้ต่อได้อีกวันนึง แล้วแถมฝืนอู้ต่ออีกคืนนึง ได้แค่นี้จริงๆ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม อันนี้ตามสมมติ ถือเป็นพฤติกรรมเลวที่สุดแระ 555 ผลวิบากก็มี กำลังตก เมื่อวานเจอน้องเอาของมาแจก กรี๊ดสติแตกไปเลย แล้วก็ดับ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม วันนี้ก็ตั้งใหม่ ไอ้ที่เสื่อมไป ก็สร้างขึ้นมาใหม่ เจ้ขี้เกียจฝืน ถ้าพิจารณาว่ามันไม่ได้เสียหายมากก็ปล่อย ปล่อยแล้วก็ศึกษาดู ดูสิว่าต่อไปมันจะสั้นกว่านี้อีกไหม เป้าหมายคือไม่มีการอู้ ไม่มีการพัก มันทำใจลำบากเหมือนกัน ถ้าไม่อยู่กับอาจารย์ทำไม่ได้แน่ๆ 55
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม วันก่อนหลวงพ่อยังบอก ท่านก็บอกไปขำไป แค่นไป ท่านว่า อยู่กับอาจารย์ก็ทำได้ กลับไปก็นอน ท่านว่าม้านอนคือม้าป่วย เคยเห็นม้านอนมั้ยวะ ม้ามันยืนหลับ เจ้ก็เห็นด้วยกะหลวงพ่อ แต่ยังอ่อยๆ ว่า.. ม้ายังป่วยอยู่ เมื่อวานตอนกลางวันสบตากับรูปหลวงพ่อยังไม่กล้ามองเลย อาย แต่กำลังความขี้เกียจมีมากกว่า เลื่อนฉากมาบังรูปหลวงพ่อ แล้วนอนต่อ 55 พอหายบ้าก็มาชดเชยเอาฮ่ะ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ไม่ได้บอกว่าดี แต่ชี้ให้เห็นว่า มันเป็นการยอมรับตามธรรมดา ฝืนได้ก็ฝืน ฝืนไม่ได้ก็ไม่ฝืน อันนี้ไม่ผิดศีล (แต่ผิดธรรมพอสมควร) ท่านที่ไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรม เขาเรียกว่าพระอรหันต์ไง เรายังมีผิดศีลบ้าง รั่วบ้าง ไม่ตามธรรมบ้าง เราก็ไม่ใช่พระอรหันต์ไง ยังหันซ้ายหันขวา ตามสภาวะ ก็ฝึกตนให้มันตรง ฝึกไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปทุกข์กับสภาวะหันซ้ายหันขวา ก็มันเป็นของมันอย่างนั้นแหละ เหตุปัจจัยมันมี สันดาน วาสนา เราก็เห็นหมดว่ามันอ่อนตรงไหน รั่วตรงไหน ก็เห็นน่ะ เห็นแล้วก็รู้ รู้แล้วก็ละไป รู้บ่อยๆ เดี๋ยวมันก็รู้ชัด จนมันทนไม่ไหว มันก็เปลี่ยนแปลงไปตามความรู้
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ประการสำคัญคือเขาไม่ได้ยึด ไม่ได้ยึดความดี ความถูกต้อง ไม่ได้หลบเลี่ยง คือยอมรับตามจริงทุกสิ่งอย่าง ผิดก็ว่าผิด ไม่ดีก็ไม่ดี แต่ไม่ได้ปรุงแต่งให้ค่าความหมาย แล้วก็ไม่ได้ปกปิด พระอริยะทำผิดได้ แต่เขาไม่ปกปิดความผิด ความชั่ว ทุกสิ่งมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปหมด ทั้งความดีความชั่ว มันเป็นแค่สภาวะชั่วคราวเท่านั้นเอง
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม แต่ถ้าเป็นเทวดา ทำแบบนี้ ด่าตรึม 555 ทนไม่ได้หรอก ยอมรับไม่ได้ มันไม่ถูก ไม่ดี ไม่งามใครอ่านแล้วจี๊ด ก็ดูจิตว่า เจอผีเทวดาสิงป่าว 555
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม เจ้ชอบศึกษาจิต ถ้าว่างเว้นจากงาน แล้วมีเหตุปัจจัยด้านลบเข้ามา เจ้เป็นคนสันดานไม่ดีไง ก็มักหาโอกาสอู้ คืออินทรีย์มันอ่อน สู้เขาไม่ค่อยได้ในแง่ตบะ เจอเขาย้อมก็มักจะยกธงขาวดื้อๆ พอโดนย้อมอารมณ์ ก็ปล่อยตามเท่าที่ปล่อยได้ แล้วก็ดูมันไป ศึกษามันไป
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม มันมีช่วงนึงที่กำลังดีมากๆ จิตมันจะไม่แช่ในภพเลย คือมันตื่นรู้ทำงานตลอดเวลา เว้นตอนร่างกายนอนจริงๆ อันนี้ตัวใครตัวมัน มีสภาวะอย่างนั้นได้สักอาทิตย์กว่า ก็เริ่มเสื่อม เพราะมารมันก็ต้องเข้ามาสะกัดดาวรุ่ง เราก็ศึกษาว่าตอนที่จิตมันดีสุดๆ กำลังดีนั้น เป็นอย่างไร อารมณ์เข้าไม่ได้ เพราะจิตมันไม่มีช่วงรับอารมณ์ คือมันเหมือนไม่มีภพเลย ตอนนั้นจะไม่ค่อยมีเวทนาทางจิตเลย คืออารมณ์เข้าไม่ได้ เกาะไม่ได้
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม แต่พอหลังจากนั้น มันก็เสื่อม สภาวะมันเสื่อมได้ อย่างเราดูทีวี ช่วงนั้นมันไม่ดู มันจะทำงานอย่างเดียว มันดูไม่ได้เพราะมันไม่ปล่อยอารมณ์ คือสติมันกล้า มันดูไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไม่ได้อยากจะพักแช่เลย แต่พอเสื่อม มันก็กลับมาแช่ มีพักอู้ จากที่นั่งแป้บแล้วลุกเลย มันก็นั่งนานขึ้น แช่นานขึ้น เราก็ดู.. พอจิตเป็นอย่างนี้ มันก็รับอารมณ์ได้ กลับมารับอารมณ์ได้ใหม่ เกิดภพชาติในจิตได้นานขึ้น แต่ที่สุดมันก็ดับเหมือนเดิม คือนานแค่ไหนก็ไม่ได้นานอย่างคนทั่วไป คือเราในสมัยก่อน อันนี้มันนานกว่าเดิมสักเท่าสองเท่าสามเท่า
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ต่อให้เรารับอารมณ์มา แถมร่วมด้วย เพราะกำลังสติอ่อน โกรธโมโหอย่างไร มันก็จะดับไปเฉยๆ พอกำลังมันตกก็เหมือนปิดไฟ ดับวูบ หายไปเลย เพราะว่าจิตมันมีคุณสมบัติทีเปลี่ยนแปลงไป ที่หลวงพ่อใช้คำว่า "มันตั้งอยู่ไม่ได้"
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ท่านใช้คำว่า "คุณสมบัติมันตั้งอยู่ไม่ได้" ดังนั้นทุกสิ่งอย่างมันจึงเป็นแค่สภาวะ เกิดขึึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม เขารู้ เขาเห็นอย่างนี้ เขาก็ไม่ได้ยึดอะไรอีก เพราะว่ามันยึดไม่ได้ไง เขาไม่ยึดก็เลยไม่ทุกข์ไง แต่ถ้าเขาปล่อยหมด ก็ไม่ต่างอะไรจากคนบ้า หรือเด็กทารก มันไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา คือหมดไปเฉยๆ ดับไปเฉยๆ เขาก็เลยไม่ปล่อยหมด ยึดไว้ในสิ่งที่ควรยึด ยึดพระรัตนตรัย ยึดพระธรรมวินัย ยึดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ฯลฯ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม มันดับโดยไม่ได้บังคับอะไร คือสภาวะอารมณ์มันเป็นพลังงาน ส่วนสภาวะของจิตคือความไม่มีไม่เป็น เมื่อกี้กวาดถูบ้าน กวาดๆ ไป เริ่มปรุง ไอ้ที่นอนไปวันกับสองคืนนั้น ไม่มีปรุงเลยนะ แต่พอเริ่มทำงาน เริ่มกวาดบ้าน สัญญามาเลย ตลกมาก สัญญาเรื่องที่วัด เรื่องความไม่เท่าเทียม นั่นโน่นนี่ เริ่มทำงานใหม่ 555
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ถ้าเราไม่ทัน เราก็คิดไปกับเขา แล้วก็ปรุงอารมณ์กันใหม่ สนุกเลย เรื่องเพียบ เรื่องเดิมๆ ทั้งนั้น แต่พอดีกวาดบ้านถูบ้านเสร็จก่อน เข้าเฟสไปด้วย มันเลยดับไปตามระเบียบ มันก็แปลก มันต้องมีสภาวะพอดีด้วย ถึงจะเกิดการปรุงแต่งได้ สติมันต้องพอดี สมาธิพอดี เราถึงจะมีกิเลสขึ้นมาได้นะ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม เจ้ยังติดเรื่องธรรม ยังละไม่หมด คือถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ยอมละ อันนี้เป็นนิสัยของจิต ดังนั้นมันมีแง่งอยู่ ถ้าสภาวะหมุนมาเจอแง่งนี้ ก็ยึดขึ้นมาอีกได้ อันนี้เป็นเรื่องของสัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่กิเลส การจะแยกออกแล้วมั่นใจ มันก็ต้องเจอปัญหาซ้ำๆๆๆๆ เจอทุกข์ซ้ำๆๆๆๆ จนมันแยกออกเอง เครื่องมือคือ "ตัวรู้" มันจะต้องใช้ตัวรู้ไปดูสภาวะของจิต คือต้องทำจิตตาวิปัสสนา ต่อเนื่อง จนมันเห็นแจ้ง ว่ามันไม่มี จิตไม่มี ไอ้ที่มีน่ะ ขันธ์ล้วนๆ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ใหม่ๆ มันจะเห็นอย่างนกน้อย เห็นแยกส่วน จิตส่วนหนึ่ง อารมณ์ส่วนหนึ่ง กายส่วนหนึ่ง มันจะเห็นแยกส่วนก่อน เราเห็นบ่อยๆ มันจะชัด ทีนี้มันจะเข้าใจ ไปเห็นครูอาจารย์ท่านร้องไห้ มันก็เข้าใจว่าเป็นกิริยาอาการของธาตุขันธ์ ไม่ใช่กิริยาของจิต
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ใครไม่ปล่อยให้สภาวะมันพอดี คือเอากำลังสมถะอัดอารมณ์ หรือเอาสติตัดอารมณ์ ก็จะไม่เห็นความจริง จิตที่มันมีสมาธิมาก มันก็ไม่มีอารมณ์ สติที่มีกำลังมากมันปั่นออกตลอด จิตมันไม่มีอารมณ์เกาะเหมือนกัน เลยทำให้เข้าใจว่าตัวเองหมดแล้ว ไม่มีกิเลสแล้ว
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ส่วนตรงข้ามกัน คือไม่มีกำลัง สติอ่อน จิตก็จมในอารมณ์ ทั้งๆ ที่จริงๆ มันแยกส่วนไปแล้ว แต่เราจมน้ำ ก็คิดว่าจิตเราก็เหมือนคนทั่วไป ไม่ได้บรรลุธรรมอะไรหรอก เสียใจทุกข์ใจเหมือนปุถุชนนั่นแหละ แบบนี้ก็ไปอีกขั้วนึง
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม แต่ถ้าเราเพียรสม่ำเสมอ จากที่สุดขั้ว มันจะกลับมาเข้ากลาง คือมาอยู่ในจุดสมดุลของมันเอง คือที่เขาเรียกว่าจิตนุ่มนวลควรแก่งาน สติพอดี พร้อมรู้ แต่ก็มีกำลังพอที่จะรู้โดยไม่ไหลลงไปคลุกกับสิ่งที่รู้ คือมีผู้รู้ที่พอดี มันจะเป็นไปเอง ถ้าเราทำต่อเนื่อง ลูกศิษย์หลวงพ่อทุกคน จะรู้ได้เอง แต่สำคัญเราต้องไม่ไปตั้งทิฐิไว้ผิดเท่านั้น ต้องไม่ติดดี ติดชั่ว คือมีศีลเป็นกรอบ รู้สึกตัวบ่อยๆ ทำความเพียรเป็นวัตร แล้วก็ไปทำงานทำการอยู่ในโลกตามปกติ โดยเราเจริญสติตลอดวัน เวลาว่างจากงาน ก็รู้สึกกาย ดูจิต เกิดผัสสะอารมณ์อะไรขึ้นมา เราก็ระงับกาย สำรวมอินทรีย์ แต่เราดูจิต เราไม่บังคับจิต บังคับแค่ส่วนกาย ไม่ให้ล่วงศีล หรือก่อกรรม แต่เราไม่ต้องบังคับจิต มีเวลาเราก็ดูกิริยาของเขา ถ้าทำแบบนี้บ่อยๆ มันก็จะแจ้งเอง ว่าที่หลวงพ่อบอกว่า "บรรลุธรรม บรรลุที่จิต" มันเป็นยังไง
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม เจ้เห็นสองแบบ พวกไม่ติดดี มันจะเห็นความจริงง่ายกว่า พวกติดดีจะมีสภาวะที่ดี แต่จะเห็นความจริงได้ยากกว่า
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม พวกติดดี เป็นพวกตัณหาจัดนะ ตัณหามันคือแรงยึด คือความอยากได้อยากมีอยากดีอยากเป็น พวกติดชั่ว มันมีน้อยที่จะมาภาวนา มีแต่พวกที่กำลังน้อย เลยทำชั่วเพราะนิสัย เพราะความอ่อนแอ แต่ไอ้ที่ว่าทำเพราะรักเพราะชอบนั้นมีน้อยมากๆ เขาจึงไม่ค่อยมีตัณหากับการปฏิบัติ พวกนี้ถ้ามีก็กิเลสเลย คือรักโลภโกรธหลง ทำให้ทำชั่ว
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม แต่พวกติดดีนี่ตัวที่ยากคือตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา สลับกันไปกันมา ถ้าใครรู้ตัวว่าเข้าข่ายนี้ก็รู้บ่อยๆ มันเกิดขึ้นมาเราก็รู้ คือถ้าไม่มีเลย มันก็เอาดีไม่ได้ไง อย่างเจ้นั้นมีน้อยเป็นทุน ต้องบิ้ว ใช้สิ่งแวดล้อมบิ้ว อาศัยครูอาจารย์บิ้ว แต่ถ้าปกติ มันน้อย มันขี้เกียจ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม กิเลสก็ของจร ของชั่วคราวทั้งนั้นนะ มันจรมาอยู่บ้านเรา เพราะบ้านเรามันมีที่ให้อยู่
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ที่เขาละสังโยชน์ได้ ไม่ใช่กิริยาอย่างที่เราขุดหัวเผือกหัวมัน มันเป็นกิริยาของจิตที่ "รู้" ความจริง ต่างหาก ดังนั้นที่น้องข้างล่างถามว่าพระพุทธเจ้ามีกิเลสแต่ไม่เอาหรือ มันเป็นคำถามที่ผู้ถามยังไม่รู้ ยังไม่มีสภาวะ จึงเข้าใจว่าหมดกิเลส คือถอนเอากิเลสออกไปหมด
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม "รู้แจ้งในความจริง" ของกิเลส ตัณหา รู้แจ้งในความจริงของทุกข์ ของกองสังขาร ขันธ์ 5 แล้วจึง "ละอุปปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น" ลงได้สิ้น
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม อาการของการถอดถอน คือ สัญญาสังขารมันปรุงขึ้นมาให้เรารู้ แล้วเรา "ถอดถอนความเห็นผิด" "ความยึดมั่น" คือ "ถอดถอนอุปปาทาน" ในความยึดมั่นว่ามีเราเป็นเราทั้งปวง ต่างหาก
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม เมื่อถอนความเห็นผิดไปแล้ว ก็เห็นถูก เห็นตรง เห็นตามจริง ว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เป็นธรรมดา " ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ" สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม เห็นตามจริงแล้ว ก็เดินในมรรค เพื่อละอกุศล เพียรสร้างกุศล แล้วรักษาจิตให้สว่าง ให้รู้อยู่ตลอด ถ้าทำได้ต่อเนื่อง ไม่มีสะดุดเลยมันจะเหลือแต่รู้ ถ้ารู้ต่อเนื่อง อกุศลเกิดไม่ได้ กุศลก็เกิดไม่ได้ ปล่อยรู้ได้ก็คือเทียนดับ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม พระอรหันต์ ไม่มีจิต ไม่มีตัวตนคือจิต แต่มีขันธ์ 5 เหมือนคนทั่วไป แต่จิตกับขันธ์แยกกัน ไม่ยึดติดกัน จิตส่วนจิต ขันธ์ส่วนขันธ์ หมดการสำคัญมั่นหมายยึดมั่นในจิต ไม่มีอุปาทานในจิต ก็หมดแล้ว โลก จักรวาล ทุกข์ สังสารวัฏ มันอยู่ที่จิต ความรู้แจ้งคือปัญญาที่เห็นว่ามันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน มันเพียงเป็นส่วนประกอบที่เกี่ยวเนื่องกันชั่วคราวเท่านั้น แม้จิตก็แยกออกมาเป็นส่วนๆ จนมันไม่สามารถประกอบเป็นเนื้อเดียวกันได้อีก มันก็หมดไง
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม มีคอมพิวเตอร์ แต่ไม่มีฮาร์ดดิสก์น่ะ เปิดเครื่องก็ทำงานได้ ปิดเครื่องก็ดับหมด ถ้าปิดเครื่องตลอด ก็นิพพานแล้ว
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ก็ลองพิจารณากันดู ว่าเราอยู่ตรงไหนของแผนที่ ยังไม่เคยรู้ ยังไม่เคยเห็น ยังไม่เคยดับ ก็ต้องเพียรทำความดีต่อไป เพียรละชั่ว ทำดี เพื่อให้มีทุน เกิดจิตที่ผ่องแผ้ว จากขณะสั้นๆ ก็ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนเกิดผู้รู้ขึ้นมา เกิดปัญญาขึ้นมา
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม หรือว่า รู้ไปแล้ว รู้แล้วแต่ยังหลงรู้ คือหลงยึดว่ามันจะต้อง "ไม่มี" "ไม่เป็น" "ไม่รู้สึก" "ไม่มีอารมณ์" "ไม่ทุกข์" พวกนี้ก็มีเขาเรียกมิจฉาทิฐิ มีคนพวกนึง เขาเกลียดความรู้สึก เพราะมันทำให้เขาทุกข์ เขาเลยเพียรพยายามหาทางดับความรู้สึก ดับอารมณ์ ดับสังขาร ดับขันธ์ ว่างั้น ตายไปกลายเป็นพรหมลูกฟัก คือไม่มีความรู้สึก มีแต่จิตที่ไม่มีความรับรู้ มีแต่จิตที่ไม่มีวิญญาณหรือไงไม่ทราบ ครูอาจารย์ท่านว่า พวกนี้มาเป็นก้อนๆ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม แต่เพราะไปดับวิญญาณ มันเลยเป็นก้อนไม่รู้อะไร เห็นท่านว่ามาแบบนอน กับแบบนั่ง มาได้แต่พูดกันไม่รู้เรื่อง
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ส่วนที่เป็นพุทธะ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็เป็นก้อนรู้ (ส่วนที่เป็นอสัญญีพรหม คือก้อนไม่รู้) ตอนแรกเป็นก้อนรู้ก่อน ต่อมาก้อนมันจะค่อยๆ ละลายไป จนเหลือแต่ธาตุ ที่เขาเรียกธรรมธาตุ มันไม่เป็นก้อนหรอก เป็นพลังงานที่ละเอียดกว่าปรมาณู เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ อะไรอย่างนั้น สรุปว่า มันต้องมี "รู้" เกิดขึ้นมาก่อน แล้วจึง "ละ" ที่ละได้เพราะ "เข้าใจแจ้งในสิ่งที่รู้ไง"
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม วันก่อนหลวงพ่อยังเล่าให้ฟัง เรื่องงู ว่าคนมันขึ้นกุฏิแล้วเต็มไปด้วยราคะ มันเผลอปล่อยใจ งูมาอยู่บนตักท่าน ท่านยังต้องดุแรงๆ ให้เขามีสติรู้ตัว เหมือนครูอาจารย์บางท่านต้องใช้กิริยาดุด่าแรงๆ ท่านไม่มีแล้วก็ยังรับกระแสกิเลสเข้ามาได้ พระอรหันต์จึงเป็นสถานะที่ลำบากมาก เพราะความบริสุทธิ์ของจิตของขันธ์ เพราะจะต้องรับพลังงานที่หยาบ หรือสกปรก เข้ามาตลอดเวลา ดีว่าไม่มีอุปปาทาน แต่เจอมากๆ ก็แย่เหมือนกันแหละ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม พวกเรายังไม่ได้หัน กำลังเริ่มเรียนรู้ในเส้นทางของพระอริยะ ยังไม่โดนเสียบไม้ย่างไฟเป็นหมูหันกรอบทั้งหนังทั้งเนื้อทั้งกระดูก แต่ก็เริ่มเจอปัญหาค่าความต่างศักย์ของพลังงานแล้วแหละ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ถ้าเข้าเขตความบริสุทธิ์เมื่อไหร่ จะต้องผ่านช่วงเวลาปางตายทั้งนั้น ปางตายจากขันธ์ แล้วมาปางตายที่จิต จนกระทั่งยอมตายที่จิตได้แล้ว จิตก็เหนือความตาย แล้วจึงเอากำลังของจิตนั้นมาเรียนรู้เรื่องขันธ์ เรียนรู้เพื่อรักษาขันธ์ให้ปกติ เพื่อที่ขันธ์จะรักษาจิตให้เป็นปกติ อยู่อย่างปกติได้ในโลกทั้งใบที่มันไม่ปกติเนี่ย
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม จุดนี้ เริ่มง่ายๆ ก็ดูว่าวันนี้ จิตหาเรื่องให้ขันธ์ หรือขันธ์หาเรื่องให้จิต มากกว่ากัน ถ้ากายยังขยันหาเรื่องให้ใจ ก็ยังอยู่ในขั้นต้นๆ ถ้ากายเราก็อยู่ในศีลในธรรมดี แต่จิตมันหาเรื่องเหนื่อยใจได้ตลอดๆ ก็คือเริ่มจะเป็นขั้นกลางแล้วแหละ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม แต่ไอ้ที่ภาวนาแล้วมีแต่สุขไม่มีทุกข์เลย ดีงามเลิศ ประเสริฐ มีกำลังฟึ่มกันตลอดเวลา ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน ว่ามันผิดปกติ อิอิ..
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ย้อนมาเติมอีกนิดว่า ที่ให้ภาวนา สำรวมอายตนะ ตาหูจมูกลิ้นกาย เพื่อให้เราเข้าถึงจิตตานุปัสสนา จะได้เห็นความจริงของจิต
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ที่ให้ทำสมถะ เพื่อให้จิตมีกำลัง สติมีกำลัง จะได้เกิดผู้รู้ขึ้นมาได้ ถ้าเราแช่น้ำอยู่ คือแช่ทุกข์อยู่ มันไม่มีปัญญาจะไปเรียนรู้ทุกข์หรอก แต่ถ้าจิตเรามีกำลัง มีปีติหล่อเลี้ยง มีสุขตามสมควร เราก็จะมีกำลังตั้งมั่น จนสามารถดูความจริง รู้ความจริงได้ การจะเผชิญความทุกข์ได้ ก็ต้องมีความสุขมีความสงบตั้งมั่นเป็นฐานค่ะ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม อย่างกรณีของนกน้อย ถ้าสติไม่มีกำลัง มองไม่เห็นอาการของกายที่มันกระเพื่อม เพราะพลังงานโทสะที่จิตรับเข้ามา ก็จะมองไม่เห็นก้อนที่เกิดขึ้นในจิต การที่เราเห็นก้อนที่ว่านั้นได้ ก็คือจิตตานุปัสสนานี่แหละ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม กำลังสมถะ จะเป็นที่ตั้งของสติ แล้วถ้าสติอยู่ไหน จิตก็อยู่นั่น สติตั้ง จิตก็ตั้งมั่น แล้วมันถึงจะเห็นว่าจิตที่ปกติไม่เห็น เมื่อเกิดผัสสะ เกิดเวทนา มันแสดงอาการให้เห็นเป็นตัวเป็นตน เป็นก้อน เป็นมวลขึ้นมา ส่งผลต่อเนื่องต่อไปได้ หรือสามารถดับไปได้
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม มันจะแยกให้เห็น จากหยาบไปสู่ละเอียด เช่นจากกาย เห็นเวทนา เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ละอุปาทานในส่วนกาย ก็จะเห็นจิต เห็นอุปาทานในส่วนจิต ถ้ายังละส่วนกายไม่ได้ ก็ยากที่จะมาเห็นในส่วนจิต เพราะมันออกจะพันตูกันอยู่
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม วันก่อนตอบคำถามชีฝรั่ง ตอนแรกเราบอกว่า กายมันง่วงจิตไม่ได้ง่วง เขาก็เออจริง ทีนี้เขาก็ไปเพียร ไม่นอน เขาทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ เราก็ว่าไม่เป็นไร แต่จริงๆ น่ะกายมันไม่ได้เหนื่อย แต่จิตมันเหนื่อย
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ทีนี้เขาก็ว๊ากเลย อ้าวไหนยูบอกว่า กายเหนื่อย จิตไม่เหนื่อย แล้วทำไมตอนนี้ยูว่า กายไม่ได้เหนื่อย จิตเหนื่อย
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม เราก็บอกมันคนละสภาวะกัน ตอนนั้นจิตยูตั้งใจจะเพียร แต่กายยูไม่ไหว ก็พับไป แต่ตอนนี้ยูเห็นว่าเพียรมาหลายวันแล้ว เลยกลัวว่าร่างกายจะทนไม่ไหว เลยเลิกเพียร ไอก็บอกว่าจริงๆ กายยูไม่ได้เหนื่อย แต่จิตยูมันห่วงว่ากายจะเหนื่อย มันเลยว่าไม่ไหว เลิกดีกว่า
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ไอก็ว่า ไม่เป็นไร ไม่ไหวก็พัก แต่ถ้าเอาจริงๆ การพักของยูก็คือแพ้ ถ้าจะเอาจริงๆ มันต้องเอาให้ตาย ถ้าใจไม่อ่อนไปซะก่อน ก็เพียรต่อให้ตายกันไปข้างนึง ถ้าทำได้อย่างนั้น ยูก็จะผ่านสภาวะ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ตกลงที่เพลียนี่ กายมันเพลีย หรือจิตมันเพลีย ฝรั่งว่ากายมันเพลีย แล้วตกลงที่ว่าเหนื่อย นี่กายมันเหนื่อยหรือจิตมันเหนื่อย ฝรั่งก็คิดสักครู่ ก็ทำหน้าสว่างบอก เออจริง จิตมันเหนื่อย
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม กายมันเพลีย มันส่งข้อความมาให้จิต ถ้าจิตไม่รับไม่ร่วมเพลียไปด้วย ไม่ห่วงว่ากายเป็นของมัน ยูก็เพียรต่อได้อย่างตำนานของผู้กล้าทั้งหลาย แต่ถ้าจิตยูมันไปรับข้อความมา แล้วมาสรุปประเมินว่า พักดีกว่าเพื่อกายมันจะได้หายเหนื่อย แบบนี้ก็คือจิตมันไปเอาความเหนื่อยมาแล้วไง
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม จริงๆ ถ้าจิตเขามีกำลังมาก เขาจะบังคับกายได้ เหมือนเราอยู่วัดไม่กินไม่นอนได้ มากกว่าอยู่บ้าน อยู่บ้านไม่กินวันนึงก็แย่แล้ว ทนไม่ไหวหรอก ต้องกิน แต่อยู่วัด วันนึงไหวแน่ๆ แต่หลายวันก็ตามสภาพ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม เมื่อวานดูหนัง เรื่อง haven พระเอกมันเป็นตำรวจที่เป็นโรคไม่มีความรู้สึก คือไม่เจ็บ แล้วมันโดนยิง ตะปูปักเต็มหลังเลย นางเอกบอกต้องไปหาหมอก่อน พระเอกบอกไม่เป็นไร ไปจัดการเรื่องที่เร่งด่วนก่อน
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม นางเอกบอก คุณไม่รู้สึกเจ็บ ใช่ว่าร่างกายมันจะไม่มีปัญหา ร่างกายคุณโดนตะปูตำ ต้องรักษาก่อน ไม่ว่าจะเจ็บหรือไม่เจ็บ
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม พระเอกเลยบอก เอาตะปูออกเสียเลือดมากกว่า ปล่อยมันไว้อย่างนี้แหละ เด๋วไปทำงานตรงนั้นเสร็จ แล้วค่อยไปหาหมอทีเดียวเลย นางเอกเลยจำนนด้วยข้อมูลการแพทย์
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม คนอินเดียโบราณ เขากะจะบรรลุธรรมกันด้วยการทนเจ็บ คือคิดว่าทนเจ็บได้ คือทนมานตนจนจิตไม่กระเพื่อม ก็จะเป็นอมตะ พระพุทธเจ้าถึงต้องไปทรมานตนไง ไปลองดูแล้วท่านก็ว่ามันไม่ใช่ เพราะว่าถึงทนทุกข์จากกายได้ คือดับทุกข์ของกายได้ ก็ไม่หมดทุกข์จากจิต แสดงว่ามันต้องใช้วิธีอื่น ที่จะดับทุกข์จากจิตได้
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ถ้ามีโอกาสเจริญรอยตามพระพุทธองค์ ด้วยการทำกรรมฐาน หรือเพียรที่วัด ก็ทำซะ ให้จิตมันชนะกาย ด้วยกรรมฐาน อันนี้ได้ตบะ เวทนาเล็กน้อยจะทำอะไรเราไม่ได้ ทำให้เราทำสมถะได้นานมากๆ เพราะเราชนะเวทนากายได้
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม แต่ถ้าไม่มีเวลาหรือทำไม่ไหว ก็เจริญสติวิปัสสนา ให้จิตเขารู้ ให้จิตเขาบริสุทธิ์ไปเป็นลำดับ แล้วมาทนเวทนาจากระบบเอา มันก็ปางตายพอกัน แต่อันนี้มันจะไม่ได้ตบะเอาไปทำสมถะ แต่มันจะได้วิปัสสนาแทน
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ต่างกันคือ เวทนานุปัสสนาในกรรมฐาน มันทำรวดเดียว ฝืนทนสู้ไปในเวลาที่ต่อเนื่องกัน แต่ถาเวทนานุปัสสนาในชีวิตประจำวัน มันก็เกิดๆ ดับๆ หลบเลี่ยง หนีได้
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม จุดกึ่งกลางของการบรรลุธรรม คือ ต้องแยกจิต ออกจากขันธ์ให้ได้ จะใช้เจริญสติ หรือใช้ฌานก็ได้ แต่ต้องเห็นด้วยตนเอง ว่าจิตกับขันธ์มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
- ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม จะเอาสายดูจิตอย่างเดียวก็ได้ ไม่ต้องลำบากเพียรอะไรมาก แต่ก็ต้องเพียรดูจิตอย่าให้คลาดสายตา ดูจิตจนเหนื่อยได้ ก็ต้องเพียรอยู่ดีแหละ เขาให้ดูว่ามันเกิดมันดับ ดูอาการของมันที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ได้ให้ดูว่ามันคิดอะไรแล้วไปคิดกับมันนะ
-
Oom Amonammarin เวลาเราพิจารณาขันธ์๕ เท่าที่สังเกตุดูคือ ตัวสัญญา กับสังขารมันจะชอบทำงานร่วมกัน บางทีแทบจะแยกไม่ออก
ชอบวนเวียนอยู่ในหัว สัญญามา สังขารแต่ง, สัญญาก็เอาของสังขารมาแต่งอีก โอ้ว ยาวเลย คิดทั้งวัน
ส่วนรูปก็ดูง่าย(แต่ละยากมากๆ) แล้วก็เวทนา ก็พอดูทัน ถ้าไม่เข้าสมถะลึกเกินไป(ใช่แค่ระงับกายความสงบของกาย)
แล้วตัว "วิญญาณ" ผมสงสัยว่า มันมาพร้อมกับสติหรือเปล่าครับ หรือคนละตัวกัน หรือว่าถ้าเราแค่รู้ว่าเรารู้
นั่นหมายความว่าตัววิญญาณทำงานของมันเอง เพียงรู้เท่านั้นแล้วปล่อยมันไป
หรือว่ามาดูแค่ รูปกับนาม คือกายกับใจครับ แต่โดยรวมผมก็ดูไม่ได้ทุกเวลานะครับ เพราะปกติจิตมันก็ฟุ้งไปตามเรื่อง
ตามราวของมัน o_O) - ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม เวลาเราพิจารณาขันธ์๕ เท่าที่สังเกตุดูคือ ตัวสัญญา กับสังขารมันจะชอบทำงานร่วมกัน บางทีแทบจะแยกไม่ออก
ชอบวนเวียนอยู่ในหัว สัญญามา สังขารแต่ง, สัญญาก็เอาของสังขารมาแต่งอีก โอ้ว ยาวเลย คิดทั้งวัน
แม่นแล้วธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นแล มันทำงานร่วมกันรวมหัวกันปั่นหัวเราไงคะ ที่รู้นี่ก็ใช่แล้ว คือแค่รู้ว่า "มันเป็นสัญญา ละเสีย" เวลามันแต่งก็เออ "สังขาร มันปรุง แล้วละเสีย" ไง - ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม ส่วนรูปก็ดูง่าย(แต่ละยากมากๆ) แล้วก็เวทนา ก็พอดูทัน ถ้าไม่เข้าสมถะลึกเกินไป(ใช่แค่ระงับกายความสงบของกาย)
ดูว่ารูปมันไม่เที่ยง ไม่ใช่ของเราแล เสื่อมสลายไปตลอดเวลา เท่านั้นแล แต่ดูบ่อยๆ เห็นบ่อยๆ - ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม แล้วตัว "วิญญาณ" ผมสงสัยว่า มันมาพร้อมกับสติหรือเปล่าครับ หรือคนละตัวกัน หรือว่าถ้าเราแค่รู้ว่าเรารู้
นั่นหมายความว่าตัววิญญาณทำงานของมันเอง เพียงรู้เท่านั้นแล้วปล่อยมันไป
ก็ถูกอีกวิญญาณคือตัวรับรู้ ตัวที่ไปเชื่อมโยงกับโลก แล้วรับรู้นั่นแหละ สติเป็นตัวเห็น วิญญาณเป็นตัวรับรู้
เจริญสติให้เห็นวิญญาณ ว่ามันออกไปรับผัสสะ เวทนา มันวิ่งไปวิ่งมา ระหว่างจิตเรากับโลก มันเร็วมาก แต่ตัวที่ต้องฝึกคือสติ สติไปเห็นการทำงานของวิญญาณ แล้วก็เอ้อ.. มันเป็นอย่างนี้เอง - ธัมมทีโป วิสุทธิธรรม เราต้องหยุดความฟุ้ง ด้วยการเจริญสติ และสมาธิ เราถึงจะเห็นการทำงานของขันธ์ 5 ว่ามันเป็นตัวปั่นกระทู้ เป็นโลก ดูเมื่อดูได้ คือดูแล้วเห็นแต่รูปกับนาม ไม่เห็นตัวเรา ไม่เห็นของเรา มันไม่มีเราเลย มีแต่รูปกับนาม ทำงานตามธรรมชาติ แล้วเรานี่แหละไปยึดว่ามันเป็นเรา เหมือนชิ้นส่วนรถยนต์ มันประกอบเสร็จก็เป็นรถ ถอดเป็นชิ้นๆ ก็ไม่เป็นรถ ดูเศษอะไหล่ แล้ว.. มันก็ไม่ใช่รถนะ ดูเศษอวัยวะ มันก็ไม่ใช่เรา นี่แค่ว่ามันยังทำงานอยู่ด้วยกัน มันก็เลยเป็นคนที่เดินได้ทำงานได้ แต่เราไปยึดไม่ได้ เพราะว่ามันของชั่วคราวแล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น