ปัญญา
สัจจะ
จาคะ
สันติ
ไม่พึงประมาทปัญญา
พึงอนุรักษ์สัจจะ
พึงพอกพูนแต่จาคะ
พึงศึกษาแต่สันติ
อธิษฐานให้เห็นสิ่งที่เป็นจริง
อย่าไปหลงกับสิ่งที่เป็นเท็จ
สัจจะอันแท้จริงคือ นิพพาน
จาคา สละทุกอย่างทั้งปวง
ไม่จับยึดอาลัยกับมันอีก
พอกพูนเรื่องจาคะ
อย่าไปขยายนั่นนี่ให้มันเยอะ
อุปสมา การสงบลงของกิเลสทุกๆ อย่างไม่กลับคืนอีก
ศึกษาแนวทางให้กิเลสสงบเท่านั้น
ไม่ใช่ศึกษาวิธีให้จิตดี
วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560
สัจฉิกาตัพพธรรม
เพราะมีอยู่จึงเข้าถึงไม่ได้ด้วยการแสวงหา
ต้องหยุดแสวงหา
ท่านจึงใช้คำว่า เป็นธรรมที่ควรกระทำให้แจ้ง
ให้แจ้งคือให้รู้ว่ามันมีอยู่
ให้รู้จักกันว่า อ้าว มันมีอยู่แล้ว
ก็จบ
ทุกวันนี้พากันแสวงหา
ถ้าแสวงหาก็จะได้แต่ฝ่ายสังขต
เพราะว่าสังขตมันไม่มี มันจึงต้องแสวงหา
เหมือนกับของหาย
ไม่มีก็เลยหา
แต่ของที่มีอยู่แล้วใครจะไปบ้าหา
ต้องหยุดแสวงหา
ท่านจึงใช้คำว่า เป็นธรรมที่ควรกระทำให้แจ้ง
ให้แจ้งคือให้รู้ว่ามันมีอยู่
ให้รู้จักกันว่า อ้าว มันมีอยู่แล้ว
ก็จบ
ทุกวันนี้พากันแสวงหา
ถ้าแสวงหาก็จะได้แต่ฝ่ายสังขต
เพราะว่าสังขตมันไม่มี มันจึงต้องแสวงหา
เหมือนกับของหาย
ไม่มีก็เลยหา
แต่ของที่มีอยู่แล้วใครจะไปบ้าหา
ไมใช่เชื่อเรื่องกรรม แต่ให้รู้จักกรรม
เรื่องกรรมควรเรียน แต่ต้องเรียนให้ครบ
ให้มันถูกต้อง
ท่านไม่ได้สอนให้เชื่อเรื่องกรรม
ท่านสอนให้รู้จักกรรม
รู้จักกรรม
รู้จักเหตุเกิดของกรรม
รู้จักความต่างของกรรม
รู้จักกรรมที่ให้ผลแตกต่างกันไป
รู้จักความสิ้นกรรม
รู้จักวิธีการที่จะทำให้ถึงความสิ้นกรรม
รู้จักกรรมเก่า
รู้จักรรมใหม่
รู้จักความสิ้นกรรม
รู้จักทางให้ถึงความสิ้นกรรม
ประโยชน์ของการเรียนเรื่องกรรมคือ
ฝึกให้ไม่อยู่เฉย ไม่ยอมรับสภาพ
สามารถฝึกฝนตนเองเพื่ออยู่เหนือกรรมได้
ปฏิบัติต่อมันได้อย่างถูกต้อง
กรรมจะอันตรายถ้ายังไม่เข้าใจมัน
โลกอันตรายถ้ายังไม่เข้าใจมัน
พวกไม่รู้มันก็อันตรายเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ อันตรายซ้อนขึ้นไป
ไม่มีคำว่า "ให้เชื่อเรื่องกรรม"
มีแต่ ให้มีความเห็นต่อเรื่องกรรมให้ถูกต้อง (กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ)
สัมมาทิฏฐิไม่ใช่ความเชื่อ
เป็นความรู้เรื่อง ไม่ใช่งมงาย
แม้เป็นชั้นโลกิยะ ก็ไม่ใช่ความเชื่อ เป็นความเห็นที่ถูก
ให้มันถูกต้อง
ท่านไม่ได้สอนให้เชื่อเรื่องกรรม
ท่านสอนให้รู้จักกรรม
รู้จักกรรม
รู้จักเหตุเกิดของกรรม
รู้จักความต่างของกรรม
รู้จักกรรมที่ให้ผลแตกต่างกันไป
รู้จักความสิ้นกรรม
รู้จักวิธีการที่จะทำให้ถึงความสิ้นกรรม
รู้จักกรรมเก่า
รู้จักรรมใหม่
รู้จักความสิ้นกรรม
รู้จักทางให้ถึงความสิ้นกรรม
ประโยชน์ของการเรียนเรื่องกรรมคือ
ฝึกให้ไม่อยู่เฉย ไม่ยอมรับสภาพ
สามารถฝึกฝนตนเองเพื่ออยู่เหนือกรรมได้
ปฏิบัติต่อมันได้อย่างถูกต้อง
กรรมจะอันตรายถ้ายังไม่เข้าใจมัน
โลกอันตรายถ้ายังไม่เข้าใจมัน
พวกไม่รู้มันก็อันตรายเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ อันตรายซ้อนขึ้นไป
ไม่มีคำว่า "ให้เชื่อเรื่องกรรม"
มีแต่ ให้มีความเห็นต่อเรื่องกรรมให้ถูกต้อง (กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ)
สัมมาทิฏฐิไม่ใช่ความเชื่อ
เป็นความรู้เรื่อง ไม่ใช่งมงาย
แม้เป็นชั้นโลกิยะ ก็ไม่ใช่ความเชื่อ เป็นความเห็นที่ถูก
ทำตัวเล็กๆ ไว้
ถ้ายังรู้สึกว่ามีเรา เป็นเรา มีของเราอยู่
ทำตัวเล็กๆ เข้าไว้
ความโกรธนี่เราบังคับมันไม่ได้แฮะ
มันตัวใหญ่มาก
ครอบเราอีกแล้ว
เหลือตัวเล็กนิดเดียว
มาทีใจก็เต้นตึกๆ ตักๆ
ให้เครียด
ให้กังวล
พาปากไปด่าคนนั้นคนนี้
หมดเหตุก็หายไปไหนไม่รู้
ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป
แต่เดิมไม่ได้โกรธ
อยู่ดีๆ มีเหตุก็โกรธขึ้น หมดเหตุก็หาย
ไม่รู้หายไปไหน
ก่อนมาก็ไม่รู้อยู่ไหน
มันมีอยู่เฉพาะตอนที่มันมีอยู่
ทำตัวเล็กๆ เข้าไว้
ความโกรธนี่เราบังคับมันไม่ได้แฮะ
มันตัวใหญ่มาก
ครอบเราอีกแล้ว
เหลือตัวเล็กนิดเดียว
มาทีใจก็เต้นตึกๆ ตักๆ
ให้เครียด
ให้กังวล
พาปากไปด่าคนนั้นคนนี้
หมดเหตุก็หายไปไหนไม่รู้
ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป
แต่เดิมไม่ได้โกรธ
อยู่ดีๆ มีเหตุก็โกรธขึ้น หมดเหตุก็หาย
ไม่รู้หายไปไหน
ก่อนมาก็ไม่รู้อยู่ไหน
มันมีอยู่เฉพาะตอนที่มันมีอยู่
ตัวหลอก
คือความได้ดั่งใจบ้าง ไม่ได้ดั่งใจบ้างนี่แหละ
มันได้ดั่งใจมันก็ให้ความสุข
เราก็จำเอาไว้
เลยพากเพียรจะบังคับ
พากเพียรหาเงื่อนไขให้มันเป็นดั่งใจ
หาวิธีไป...
อาการที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง
แล้วเกิดความเข้าใจผิด
ว่ามันเที่ยง มันสุข มันบังคับได้
อันนี้เป็น ความผิดพลาด
เป็นความเข้าใจผิด
เป็นอุปาทาน
เป็นตัวอันตราย
ไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดว่า
มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราอยากได้หรอก
มันเกิดขึ้นจากเหตุ
พอไม่ละเอียดก็ไปยึดถือ
ตรงนี้เป็นความผิดพลาด
อะไรที่ดูเหมือนเรามีอำนาจ
อะไรที่ดูเหมือนเราบังคับได้
ให้รู้ว่า จะพาสั่งสมความเข้าใจผิดยิ่งๆ ขึ้นไป
มันได้ดั่งใจมันก็ให้ความสุข
เราก็จำเอาไว้
เลยพากเพียรจะบังคับ
พากเพียรหาเงื่อนไขให้มันเป็นดั่งใจ
หาวิธีไป...
อาการที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง
แล้วเกิดความเข้าใจผิด
ว่ามันเที่ยง มันสุข มันบังคับได้
อันนี้เป็น ความผิดพลาด
เป็นความเข้าใจผิด
เป็นอุปาทาน
เป็นตัวอันตราย
ไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดว่า
มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราอยากได้หรอก
มันเกิดขึ้นจากเหตุ
พอไม่ละเอียดก็ไปยึดถือ
ตรงนี้เป็นความผิดพลาด
อะไรที่ดูเหมือนเรามีอำนาจ
อะไรที่ดูเหมือนเราบังคับได้
ให้รู้ว่า จะพาสั่งสมความเข้าใจผิดยิ่งๆ ขึ้นไป
ลักษณะของปัญญา
ปัญญาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
สิ่งที่ติดตามมาจะเป็นไปในทางเบื่อหน่าย
คลายกำหนัด คลายความยินดีเพลิดเพลิน
โดยถ่ายเดียว
ที่เป็น ก็ทนเป็นไปอย่างนั้นเอง (ถ้าไม่ได้เป็นจะสบายกว่า)
ที่อยู่ ก็ทนอยู่ไปอย่างนั้นเอง
ที่ทำ ก็ทนทำไปอย่างนั้นเอง (ถ้าไม่ได้ทำก็จะสบายกว่า)
แต่ถ้ารู้แล้วเข้าใจอะไรแล้ว
ยังอยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่
อยากได้นั่นเพิ่ม นี่เพิ่ม
อยากเป็นคนเก่ง
อยากเป็นคนดี
อยากได้รับการยอมรับ
อยากจะบรรลุ
ก็สรุปว่า...ยังไม่เดินปัญญา (จบข่าว 555)
ลักษณะของปัญญาจะ
แทงตลอดโดยลักษณะของมันอย่างไม่ผิดเพี้ยน
คือ มันไม่เที่ยง ก็แจ้งว่าไม่เที่ยง
ว่างเปล่าจากความเป็นสุข
ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนที่จะไปบังคับอะไรได้
สิ่งที่ติดตามมาจะเป็นไปในทางเบื่อหน่าย
คลายกำหนัด คลายความยินดีเพลิดเพลิน
โดยถ่ายเดียว
ที่เป็น ก็ทนเป็นไปอย่างนั้นเอง (ถ้าไม่ได้เป็นจะสบายกว่า)
ที่อยู่ ก็ทนอยู่ไปอย่างนั้นเอง
ที่ทำ ก็ทนทำไปอย่างนั้นเอง (ถ้าไม่ได้ทำก็จะสบายกว่า)
แต่ถ้ารู้แล้วเข้าใจอะไรแล้ว
ยังอยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่
อยากได้นั่นเพิ่ม นี่เพิ่ม
อยากเป็นคนเก่ง
อยากเป็นคนดี
อยากได้รับการยอมรับ
อยากจะบรรลุ
ก็สรุปว่า...ยังไม่เดินปัญญา (จบข่าว 555)
ลักษณะของปัญญาจะ
แทงตลอดโดยลักษณะของมันอย่างไม่ผิดเพี้ยน
คือ มันไม่เที่ยง ก็แจ้งว่าไม่เที่ยง
ว่างเปล่าจากความเป็นสุข
ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนที่จะไปบังคับอะไรได้
พิจารณาธาตุ
การจะเห็นเป็นธาตุ
ตัวที่ทำหน้าที่เห็นคือปัญญา
เป็นอารมณ์ของฝ่ายปัญญา
สำหรับผู้ที่พร้อมแล้ว
จิตประกอบพร้อมด้วยศีล สมาธิ
เมื่อได้มาฟังเรื่องธาตุ
สิ่งทั้งหลายที่มันว่างเปล่าจากตัวตน ก็เข้าใจได้
ส่วนที่อินทรีย์ยังไม่พร้อม
ฟังไปอาจจะ blank ไปเลยก็ได้ 5555
หรือไม่ก็เข้าใจแบบระลึกเอาคิดเอา
น้อมเอา ก็จะรู้สึกปลอดโปร่งขึ้้นมาเป็นครั้งคราว
อันนี้ก็จะเป็นแบบธัมมานุสสติ
ตัวที่ทำหน้าที่เห็นคือปัญญา
เป็นอารมณ์ของฝ่ายปัญญา
สำหรับผู้ที่พร้อมแล้ว
จิตประกอบพร้อมด้วยศีล สมาธิ
เมื่อได้มาฟังเรื่องธาตุ
สิ่งทั้งหลายที่มันว่างเปล่าจากตัวตน ก็เข้าใจได้
ส่วนที่อินทรีย์ยังไม่พร้อม
ฟังไปอาจจะ blank ไปเลยก็ได้ 5555
หรือไม่ก็เข้าใจแบบระลึกเอาคิดเอา
น้อมเอา ก็จะรู้สึกปลอดโปร่งขึ้้นมาเป็นครั้งคราว
อันนี้ก็จะเป็นแบบธัมมานุสสติ
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560
อาการ 40 หยั่งลงสู่สัมมัตนิยาม
เมื่อเห็นนิพพานโดยความเป็นสุข
เป็นความโล่ง โปร่งสบาย
ตรงข้ามกับสังขารที่เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง บังคับอะไรไม่ได้
ไม่ใช่แก่นสาร
จึงจะเกิดอนุโลมิกขันติ
ถ้ายังเห็นสังขารบางอย่างเป็นของเที่ยง เป็นสุข
ถ้ายังเห็นธรรมบางอย่างว่าเป็นตัวตน
เช่นนี้ยังไม่ได้ประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ
ถ้าไม่ประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ
ย่อมไม่หยั่งลงสู่สัมมัตนิยาม
เมื่อไม่หยั่งลงสู่สัมมัตนิยาม (อริยมรรค)
ก็ไม่หยั่งลงสู่อริยผล
อนุโลมิกขันติ
เป็นปัญญาวิปัสสนา
ที่เมื่อได้แล้ว สามารถทำให้อดทน คงที่ต่อสังขารได้
ภิกษุย่อมได้อนุโลมิกขันติด้วยอาการ 40
หมายถึง ตอนอริยมรรคจะเกิด
มองเห็นสังขารในแง่มุมไหน จึงจะเกิดอริยมรรคขึ้น
ไม่ต้องทุกแง่ แง่ใดแง่นึงก็พอ
อาการเห็น คือ เห็น "ขันธ์ทั้ง 5 ของตน"
ตามอาการ 40 เช่น
เห็นกายโดยความ....
เห็นเวทนาโดยความ....
เห็นสัญญาโดยความ....
เห็นสัญญาโดยความ....
เห็นวิญญาณโดยความ....
การพิจารณาขันธ์ 5 โดยอาการ 40
เป็นความโล่ง โปร่งสบาย
ตรงข้ามกับสังขารที่เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง บังคับอะไรไม่ได้
ไม่ใช่แก่นสาร
จึงจะเกิดอนุโลมิกขันติ
ถ้ายังเห็นสังขารบางอย่างเป็นของเที่ยง เป็นสุข
ถ้ายังเห็นธรรมบางอย่างว่าเป็นตัวตน
เช่นนี้ยังไม่ได้ประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ
ถ้าไม่ประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ
ย่อมไม่หยั่งลงสู่สัมมัตนิยาม
เมื่อไม่หยั่งลงสู่สัมมัตนิยาม (อริยมรรค)
ก็ไม่หยั่งลงสู่อริยผล
อนุโลมิกขันติ
เป็นปัญญาวิปัสสนา
ที่เมื่อได้แล้ว สามารถทำให้อดทน คงที่ต่อสังขารได้
ภิกษุย่อมได้อนุโลมิกขันติด้วยอาการ 40
หมายถึง ตอนอริยมรรคจะเกิด
มองเห็นสังขารในแง่มุมไหน จึงจะเกิดอริยมรรคขึ้น
ไม่ต้องทุกแง่ แง่ใดแง่นึงก็พอ
อาการเห็น คือ เห็น "ขันธ์ทั้ง 5 ของตน"
ตามอาการ 40 เช่น
เห็นกายโดยความ....
เห็นเวทนาโดยความ....
เห็นสัญญาโดยความ....
เห็นสัญญาโดยความ....
เห็นวิญญาณโดยความ....
- โดยความไม่เที่ยง (อนิจฺจโต)
ไม่ใช่แค่เห็นว่าโกรธ ว่าโลภ แต่เห็น อนิจโต คือความไม่เที่ยงของมัน
จากไม่มี แล้วมามีขึ้น
จากมีแล้ว ก็หายไป
ผ่านมาแล้วผ่านไป - โดยความเป็นทุกข์ (ทุกฺขโต)
โดยความบีบคั้น ถ้าแรงๆ ก็เป็นทุกขเวทนา นั่งนานๆ โอ๊ยยยย
เครียดมาก็มึน โอ๊ยยยย ไม่ไหว
มีหัวจึงได้ปวดหัว ไม่มีหางเลยไม่ปวดหาง 555
เพราะมีการงาน จึงโดนการงานบีบคั้น
มีเจ้านาย จึงมีเจ้านายบีบคั้น - โดยความเป็นโรค (โรคโต)
โดยความเป็นรังของโรค มีตาก็มีโรคตา มีตับก็มีโรคตับ
มีใจ เดี๋ยวก็กิเลสครอบ - โดยความเป็นดังหัวฝี (คณฺฑโต)
อักเสบเป็นหนอง เป็นของเสียดแทง น่ารำคาญ - โดยความเป็นดังลูกศร (สลฺลโต)
แทงเอาๆ ถอนก็ยาก ตอนถอนก็เจ็บ
ฉะนั้นต้องยอมเจ็บบ้าง - โดยเป็นความลำบาก (อฆโต)
ต้องมากินอยู่ทุกวัน ไม่กินก็ไม่ได้
มีตาก็ต้องพาไปดูนั่นดูนี่ มีหูก็ต้องพาไปฟังนั่นฟังนี่
ฟังเท่าไรก็ไม่พอ ดูเท่าไรก็ไม่พอ
ถ้ายังมองเห็นว่า ฟังแล้วสุขเหลือเกิ๊นนน ...อันนี้อีกนาน - โดยเป็นอาพาธ (อาพาธโต)
ไม่สามารถทนได้ ทนไม่ไหว - โดยเป็นอย่างอื่น (ปรโต)
เหมือนเป็นของคนอื่น บังคับเอาไม่ได้
อยากให้ดีก็ไม่ได้
ไม่ให้คิดมากก็ไม่ได้
ไม่มีผู้สามารถบังคับบัญชาได้อย่างแท้จริง - โดยเป็นของชำรุด (ปโลกโต)
ชำรุด แตกเสียหายได้
โลก = แตกสลาย, ป = ทั่ว - โดยเป็นอัปมงคล (อีติโต)
เป็นเสนียด เป็นจัญไร
ความจัญไรทั้งปวงรวมลงที่ขันธ์ คือมีขันธ์ก็นำมาซึ่งความพินาศมากมาย - โดยเป็นอันตราย (อุปทฺทวโต)
เพราะมีคอจึงถูกตัดคอ
มีมือนี่ตบชาวบ้านได้นะ ....อันตราย
ฆ่าปลวกก็ได้
มีปากนี่ ด่าคนก็ได้ ...อันตราย
การใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีเครื่องรับรองนี้มันอันตราย
มีสติก็พออุ่นใจ แต่ยังไม่เด็ดขาด
ต้องหยั่งลงสู่สัมมตนิยาม
คือ อริยมรรคเกิดนั่นแหละจึงจะวางใจได้ - โดยเป็นภัย (ภยโต)
เป็นของน่ากลัว อีก 5 นาทีข้างหน้าจะไปตีหัวใครรึป่าวก็ไม่รู้
ตอนนี้คิดดีอยู่ อีก 2 นาทีข้างหน้าอาจจะคิดร้ายก็ได้
ถ้าตอนนี้ไม่มีกิเลส โอ๊ยดีแล้ว ... ประมาท
รูปก็เป็นที่ัตัึ้งแห่งอันตราย ใจก็เป็นที่ตั้งของอกุศล - โดยเป็นอุปสรรค (อุปสคฺคโต)
จะทำอะไรก็รู้สึกติดขัด เป็นอุปสรรคต่อความเป็นอิสระ
อยากบรรลุเหลือเกินแต่...เสียดายยย
ฟังธรรมะดีๆ กำลังอยากบรรลุ ...ออกจากห้องไป ....เรียบร้อย อยากกินนู่นนี่
เป็นความขัดข้อง เป็นอุปสรรคแก่ความสงบที่น่ายินดี - โดยเป็นความหวั่นไหว (จลโต)
จิตไปไหวไปเรื่องนู้นทีเรื่องนี้ที
เหมือนรู้เรื่อง เหมือนเข้าใจ สักพักไม่เข้าใจอีกแล้ว ไหวไปมา
ขันธ์มันก็ทะเลาะกันเอง สับสนวุ่นว
หวั่นไหวด้วยความแก่และความตาย
หวั่นไหวด้วยอำนาจโลกธรรม ที่ไหนมีความโลภ ที่นั่นมีความวุ่นวาย - โดยเป็นของผุพัง (ปภงฺคโต)
ภังค = แตกสลาย, ป = ทั่ว
โดยที่สุดแม้รูปพระศาสดาก็แตกสลายที่กุสินารา - โดยเป็นของไม่ยั่งยืน (อทฺธุวโต)
- โดยเป็นของไม่มีอะไรต้านทาน (อตาณโต)
เรากำลังเดินหน้าไปสู่ความตาย อะไรจะยื้อไว้ได้บ้าง
ไม่รู้จะหาอะไรมาคุ้มครองให้มันปลอดภัย - โดยเป็นของไม่มีอะไรป้องกัน (อเลณโต)
ไม่มีที่หลีกเร้น ไปอยู่เกาะไหนถึงจะไม่ตาย
เปลี่ยนที่อาจจะหนีพ้นเสียงนินทา แต่ไม่พ้นความตายไปได้
จะไปซ่อนที่ไหนก็ไม่ได้ จะเป็นที่ให้ใครมาซ่อนก็ไม่ได้ - โดยเป็นของไม่มีที่พึ่ง (อสรณโต)
ที่พึ่งไม่มีในโลก ที่พึ่งไม่มีในขันธ์ 5
จะเอาจิตไปพึ่งกับเวทนาใดๆ สัญญาใดๆ สังขารใดๆ รูปใดๆ ก็พึ่งใครไม่ได้
และก็เป็นที่พึ่งให้ใครก็ไม่ได้ - โดยเป็นความว่างเปล่า (ริตฺตโต)
ว่างจากตัวตน
ว่างจากความยั่งยืน
ว่างจากความงดงาม
ว่างจากสิ่งที่คนพาลถือเอาว่าเป็นเช่นนั้น เช่น ไปซื้อดอกบัวก็หวังว่ามันจะบานตลอดไป - โดยความเปล่า (ตุจฺฉโต)
คำพูด "เรา" ก็เป็นเพียง "วาทะ" ไม่ได้เป็นอะไร
ถึงจะจับให้มันเป็นมันก็ไม่ได้เป็นอะไรอยู่ดี
ถ้ายังเห็นว่าอันใดอันนึงเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นนั่นนี่ ย่อมไม่หยั่งลงอนุโลมิกขันติ - โดยเป็นสุญญะ (สุญฺญโต)
เว้นจากผู้เป็นเจ้าของ ผู้สร้าง ผู้เสพเสวย ผู้สิงสถิต ผู้อาศัย - โดยเป็นอนัตตา (อนตฺตโต)
ไม่มีตัวตน ไม่มีเจ้าของ ไม่มีอำนาจไปบังคับอะไรได้
แม้แต่ตนยังไม่ได้เป็นเจ้าของตน และขันธ์ก็ไม่ได้เป็นของใครๆ - โดยเป็นโทษ (อาทีนวโต)
ไปติดข้องเมื่อไรจะเห็นผลทันใจทีเดียว ... เครียดดดดทันที
เมื่อขันธ์เกิดมา โทษของขันธ์ก็ติดตามมาด้วย
ดำเนินการไปสู่ความเข็ญใจ
อาทีนว เป็นคำเรียกเด็กกำพร้า ต้องพึ่งพาเขาไปหมด - โดยเป็นของมีความแปรผันเป็นธรรมดา (วิปริณามโต)
ความแปรปรวนเป็นธรรมชาติ เป็นปกติของมัน
มีปกติเปลี่ยนไปโดยสองอาการ คือ แก่ และตาย - โดยเป็นของไม่มีแก่นสาร (อสารกโต)
คิดว่ามีแก่น ลอกออกมาก็ไม่มี เหมือนต้นกล้วย
ไม่มีแก่นคือ ความเที่ยง ความสุข ความเป็นอัตตา ไม่มีเลย - โดยเป็นมูลแห่งความลำบาก (อฆมูลโต)
ความลำบากที่กำเนิดขึ้นมาภายหลังนี่มีมูลมาจากกายใจ
ต้องมากินข้าว มาหายใจ มาทำมาหากิน
มีลูกมาคนนึง ลำบากไปนาน
ถ้ามีลูกก็เพลิดเพลินเพราะลูก ... อันนี้ก็ยังอีกนาน 555
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง สุขอย่างอิสระ ไม่ติดข้อง
เห็นเหตุแห่งความทุกข์ยาก - โดยเป็นดังเพชฌฆาต (วธกโต)
เป็นผู้ฆ่า ฆ่าไม่บอกไม่กล่าว
หลอกเราไปทำนู่นนี่ แล้วก็ฆ่าทิ้ง
ให้เราไปหาเงินหาทอง รักษาหน้า ทำความดี
ยังไม่ทันทำถึงที่สุดเลย
วันดีคืนดีฟันคอฉึบ ตายด่วนๆ โหดสัสรัสเซีย
ไม่สามารถไว้วางใจได้เลย
เป็นผู้ฆ่าความไว้วางใจ
เป็นศัตรูที่หน้าเหมือนมิตร เหมือนจะไว้ใจได้ แต่ในที่สุดจะเป็นที่ตั้งแห่งน้ำตาจนได้ - โดยเป็นความเสื่อมไป (วิภวโต)
ปราศจากความเจริญ มีแต่ความเสื่อม - โดยเป็นของมีอาสวะ (สาสวโต)
เป็นอารม์ของอาสวะ เช่น รูปเป็นอารมณ์ของกามาสวะ
เวทนา สัญญา สังขาร เป็นอารมณ์ของ ภวาสวะ
วิญญาณ เป็นอารมณ์ของอวิชชาสวะ - โดยเป็นของถูกปัจจัยปรุงแต่ง (สงฺขตโต)
ขันธ์ทั้ง 5 จะปรุงไปเรื่อยแหละ ลองนั่งดู
หน้าที่ของเราคือมี ขันติ
ขันธ์ปรุงอย่าปรุงตามมัน อันนี้เรียกขันติ
เป็นของถูกปรุงแต่งไว้ เป็นสิ่งที่เหตุปัจจัยทั้งหลายสร้างขึ้น ถ้าหมดเหตุจะคงอยู่ไม่ได้เลย - โดยเป็นเหยื่อแห่งมาร (มารามิสโต)
มารก็มีหลายอย่าง เช่น มัจจุมาร กายได้มาแล้วก็เป็นเหยื่อของความตาย
เป็นเหยื่อของกิเลส หัวปั่นอยู่ทุกวันนี้คือเป็นเหยื่อกิเลสอยู่
ท่านไม่ได้สอนให้เราต้องทำความดีเยอะๆ
แต่สอนให้เห็นว่า นี่ที่พูด ที่ทำอยู่นี่ เป็นเหยื่อกิเลสอยู่เห็นไหม?
อย่าฮุบเหยื่อนะ จะตกเป็นเหยื่อเอง 5555
หลงทำตามความคิดนี้อีกละ...
กายก็เป็นเหยื่อของความตาย ใจก็เป็นเหยื่อของกิเลส - โดยเป็นของมีความเกิดเป็นธรรมดา (ชาติธรมฺมโต)
ขันธ์เกิดเป็นปกติ เดี๋ยวก็เกิด เดี๋ยวก็เกิด
ธมฺมโต = เป็นปกติ เป็นอย่างนั้นเอง - โดยเป็นของมีความแก่เป็นธรรมดา (ชราธมฺมโต)
- โดยเป็นของมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา (พยาธิธมฺมโต)
- โดยเป็นของมีความตายเป็นธรรมดา (มรณธมฺมโต)
- โดยเป็นของมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา (โสกธมฺมโต)
ธมฺมโต = เป็นเหตุ - โดยเป็นของมีความรำพันเป็นธรรมดา (ปริเทวธมฺมโต)
มีความคร่ำครวญร้องไห้
ธมฺมโต = เป็นเหตุ - โดยเป็นของมีความคับแค้นใจเป็นธรรมดา (อุปายาสธมฺมโต)
ความแห้งใจ
ธมฺมโต = เป็นเหตุ - โดยเป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา (สงฺกิเลสิกธมฺมโต)
แป๊บเดียวก็เศร้าหมองแล้ว
เศร้าหมองเพราะกิเลส
ธมฺมโต = เป็นเหตุ
การพิจารณาขันธ์ 5 โดยอาการ 40
- นัยพิจารณาเช่นนี้ เรียกว่า วิปัสสนา หรือ กลาปสัมมสน
ปัญญาที่ตามเห็นอย่างนี้เรียกว่าอนิจจานุปัสสนา
50
ไม่เที่ยง/แตกทำลาย/หวั่นไหว/แตกสลาย/ไม่คงทน
มีความแปรไปเป็นธรรมดา/ไม่มีแก่น/เป็นความเสื่อม/เป็นสังขาร/มีมรณะเป็นธรรมดา
ปัญญาเห็นตามอย่างนี้อนัตตนุปัสสนา 25
ฝ่ายอื่น/อาการว่าง/อาการเปล่า/อาการสูญ/เป็นอนัตตา
ที่เหลือเป็นทุกขานุปัสสนา 125
หน้าที่ต่อสังขารคือขันติ
หน้าที่ของเราต่อฝ่ายสังขารคือขันติ
หมายถึงความคงที่ของจิต
มั่นคง เฉยอยู่ได้
ไม่วอกแวก หวั่นไหว หรือโน้มเอียงไปกับมัน
เป็นปัญญาวิปัสสนา
ฝ่ายสังขารนี่ ฝึกฝนจนมั่นคงต่อฝ่ายสังขาร
ยอมรับมันได้ ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง
ผู้ที่มีความคงที่ของจิตที่สุดคือพระอรหันต์
ขันติมี 3 ลำดับ อ่อน กลาง แก่
อย่างอ่อน
ใจเริ่มมั่นคงเมื่อเห็นความจริงของสังขารทั้งหลาย
(ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน)
ญาณที่ 3 เป็นต้นไป
สัมมสณญาณ - เป็นปัญญารวบสังขารทั้งหลายมีลักษณะอย่างนี้
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ยังมีเจือด้วยความคิด
ตอนฝึกใหม่ๆ มันก็จะคอยรวบให้มาดูอย่างนี้
ถ้าไม่รวบ ทำไปๆ ก็จะแตกระแหงไปเรื่อย
คำว่ารวบ หมายถึง ให้ใจโยนิโสฯ เข้าไป
ใส่ใจเข้าไปในมุมนี้
ถ้าไม่รวบก็จะติดอยู่นาน
อุทยัพยญาณ - เห็นเกิด เห็นดับของสังขารปัจจุบัน ไม่ได้รวบ เพราะมันไม่ได้เจือด้วยความคิด
อย่างกลาง
ภังคญาณ จนถึง สังขารุเปกขาญาณ
อย่างแก่
สัจจานุโลมฯ ก่อนเกิดอริยมรรค
หมายถึงความคงที่ของจิต
มั่นคง เฉยอยู่ได้
ไม่วอกแวก หวั่นไหว หรือโน้มเอียงไปกับมัน
เป็นปัญญาวิปัสสนา
ฝ่ายสังขารนี่ ฝึกฝนจนมั่นคงต่อฝ่ายสังขาร
ยอมรับมันได้ ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง
ผู้ที่มีความคงที่ของจิตที่สุดคือพระอรหันต์
ขันติมี 3 ลำดับ อ่อน กลาง แก่
อย่างอ่อน
ใจเริ่มมั่นคงเมื่อเห็นความจริงของสังขารทั้งหลาย
(ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน)
ญาณที่ 3 เป็นต้นไป
สัมมสณญาณ - เป็นปัญญารวบสังขารทั้งหลายมีลักษณะอย่างนี้
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ยังมีเจือด้วยความคิด
ตอนฝึกใหม่ๆ มันก็จะคอยรวบให้มาดูอย่างนี้
ถ้าไม่รวบ ทำไปๆ ก็จะแตกระแหงไปเรื่อย
คำว่ารวบ หมายถึง ให้ใจโยนิโสฯ เข้าไป
ใส่ใจเข้าไปในมุมนี้
ถ้าไม่รวบก็จะติดอยู่นาน
อุทยัพยญาณ - เห็นเกิด เห็นดับของสังขารปัจจุบัน ไม่ได้รวบ เพราะมันไม่ได้เจือด้วยความคิด
อย่างกลาง
ภังคญาณ จนถึง สังขารุเปกขาญาณ
อย่างแก่
สัจจานุโลมฯ ก่อนเกิดอริยมรรค
วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560
เห็นโดยความเป็นของเที่ยงเป็นไฉน
เห็นคนเป็นคน
เห็นต้นไม้เป็นต้นไม้
และหลงไปตามสิ่งที่เห็นว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ
นี่ล่ะเห็นโดยความเป็นของเที่ยง
ยังเห็นสังขารใดๆ เป็นของเที่ยง
เกิดโทสะ เห็นโทสะเกิดแล้วดับไป
เราดูอยู่
คนดูเที่ยง...
ตัวเราดูอยู่ ตัวเราเที่ยง
ที่ถูกคือมาดูตามความเป็นจริง
มาคอยสังเกต
แต่ไม่ใช่เพ่งตัวดู*** แค่รู้สึกถึงมันก็พอ
ว่าทั้งผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้ก็ไม่มีจริง
อิงอาศัยกันเกิด
สักหน่อยก็กลายเป็นไปคิด ไปดู ฯลฯ
ผู้รู้ไม่ได้ถาวรยืนยง
ถ้ายังมีอันใดอันหนึ่งเที่ยงอยู่
การจะมีอนุโลมิกขันติ ไม่อยู่ในฐานะที่เป็นไปได้
***หมายเหตุ
ถ้ามาเพ่งตัวดู
ก็ทำได้ แต่ให้รู้ว่าเป็นการทำอรูปฌาน
วิญญาณัญจายตนะ
ทำได้ แต่จะไม่เกิดปัญญาเห็นตามจริง
เห็นต้นไม้เป็นต้นไม้
และหลงไปตามสิ่งที่เห็นว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ
นี่ล่ะเห็นโดยความเป็นของเที่ยง
ยังเห็นสังขารใดๆ เป็นของเที่ยง
เกิดโทสะ เห็นโทสะเกิดแล้วดับไป
เราดูอยู่
คนดูเที่ยง...
ตัวเราดูอยู่ ตัวเราเที่ยง
ที่ถูกคือมาดูตามความเป็นจริง
มาคอยสังเกต
แต่ไม่ใช่เพ่งตัวดู*** แค่รู้สึกถึงมันก็พอ
ว่าทั้งผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้ก็ไม่มีจริง
อิงอาศัยกันเกิด
สักหน่อยก็กลายเป็นไปคิด ไปดู ฯลฯ
ผู้รู้ไม่ได้ถาวรยืนยง
ถ้ายังมีอันใดอันหนึ่งเที่ยงอยู่
การจะมีอนุโลมิกขันติ ไม่อยู่ในฐานะที่เป็นไปได้
***หมายเหตุ
ถ้ามาเพ่งตัวดู
ก็ทำได้ แต่ให้รู้ว่าเป็นการทำอรูปฌาน
วิญญาณัญจายตนะ
ทำได้ แต่จะไม่เกิดปัญญาเห็นตามจริง
อุภโตภาควิมุตโต
หลุดพ้นทั้งสองส่วน
กำลังสมถะเต็มที่
ถึงอรูปจึงหลุดพ้นทางกาย
ปัญญาเต็มที่
หลุดพ้นทางใจ
กำลังสมถะเต็มที่
ถึงอรูปจึงหลุดพ้นทางกาย
ปัญญาเต็มที่
หลุดพ้นทางใจ
การดำเนินชีวิต 3 ส่วน
การดำเนินชีวิตนี่แบ่งเป็น 3 ส่วน
ส่วนแรก ด้านกาย
ไม่นั่งนานเกินไปจะเมื่อย
ไม่ตากแดดนานเกินไป เดี๋ยวไม่สบาย
ไม่กินอิ่มเกินไป เดี๋ยวไม่แข็งแรง
บริหารให้มันเป็นไป
ส่วนที่สอง ด้านจิตใจ
บางยุคเขาก็สนใจกาย
บางยุคเขาก็สนใจด้านจิตใจ
พระพุทธศาสนาไม่ได้ให้น้ำหนักด้านไหน
แต่ให้เรียนทั้งสองฝ่าย รู้มันตามความเป็นจริง
ส่วนที่สาม ด้านวิปัสสนา
เป็นการพัฒนาฝึกฝนให้เห็นแจ้งความจริง
ของกาย ของใจ ของโลก
เป็นวิถีที่เพิ่มมาสำหรับชาวพุทธ
หลังๆ เรามาเรียน จะเหมือนวิปัสสนาแตกเป็นส่วนๆ
เป็นศีล สมาธิ ปัญญา
แต่ละอันก็ยิบย่อยเรียนแตกละเอียดไปหมด
เรียนศีล ยังไม่ใช่วิปัสสนา
เรียนสมาธิ ยังไม่ใช่วิปัสสนา
อันนี้ แตกยิบจนจะเข้าใจมั่วเอาได้ อันนี้ต้องระวังมากๆ
ท่านสอนด้วยองค์รวม ไม่ได้สอนแยก
ไตรสิกขานี่คือวิปัสสนา
เป็นการฝึกฝนพรหมจรรย์
ให้มีชีวิตอยู่ได้ด้วยความไม่ทุกข์
หรือแตกการเรียนเป็นสมถะวิปัสสนา
อันที่จริงการปฏิบัตินี้ก็ไม่ได้แตกแยกกัน
เป็นธรรมคู่ ทำคู่กัน
คู่คือ มันขาดกันไม่ได้
มันคือการทำให้องค์ 8 พร้อม
จริงๆ ไม่ได้แยกกัน
มันเป็นวิถีชีวิตเท่านั้น
ส่วนแรก ด้านกาย
ไม่นั่งนานเกินไปจะเมื่อย
ไม่ตากแดดนานเกินไป เดี๋ยวไม่สบาย
ไม่กินอิ่มเกินไป เดี๋ยวไม่แข็งแรง
บริหารให้มันเป็นไป
ส่วนที่สอง ด้านจิตใจ
บางยุคเขาก็สนใจกาย
บางยุคเขาก็สนใจด้านจิตใจ
พระพุทธศาสนาไม่ได้ให้น้ำหนักด้านไหน
แต่ให้เรียนทั้งสองฝ่าย รู้มันตามความเป็นจริง
ส่วนที่สาม ด้านวิปัสสนา
เป็นการพัฒนาฝึกฝนให้เห็นแจ้งความจริง
ของกาย ของใจ ของโลก
เป็นวิถีที่เพิ่มมาสำหรับชาวพุทธ
หลังๆ เรามาเรียน จะเหมือนวิปัสสนาแตกเป็นส่วนๆ
เป็นศีล สมาธิ ปัญญา
แต่ละอันก็ยิบย่อยเรียนแตกละเอียดไปหมด
เรียนศีล ยังไม่ใช่วิปัสสนา
เรียนสมาธิ ยังไม่ใช่วิปัสสนา
อันนี้ แตกยิบจนจะเข้าใจมั่วเอาได้ อันนี้ต้องระวังมากๆ
ท่านสอนด้วยองค์รวม ไม่ได้สอนแยก
ไตรสิกขานี่คือวิปัสสนา
เป็นการฝึกฝนพรหมจรรย์
ให้มีชีวิตอยู่ได้ด้วยความไม่ทุกข์
หรือแตกการเรียนเป็นสมถะวิปัสสนา
อันที่จริงการปฏิบัตินี้ก็ไม่ได้แตกแยกกัน
เป็นธรรมคู่ ทำคู่กัน
คู่คือ มันขาดกันไม่ได้
มันคือการทำให้องค์ 8 พร้อม
จริงๆ ไม่ได้แยกกัน
มันเป็นวิถีชีวิตเท่านั้น
วิปัสสนาเป็นวิถีชีวิต
วิปัสสนาเป็นวิถีชีวิต
เป็นวิธีการฝึกฝนเพื่อให้เห็นแจ้ง
เห็นความจริงของกาย ใจ ของสิ่งต่างๆ
เมื่อเห็นความจริงก็จะเบื่อหน่าย >>>
คลายกำหนัด >>>
หลุดพ้น ไปตามลำดับ
พวกเราชอบอยากจะหลุด ... แต่ไม่ยอมปล่อย 5555
เป็นวิธีการฝึกฝนเพื่อให้เห็นแจ้ง
เห็นความจริงของกาย ใจ ของสิ่งต่างๆ
เมื่อเห็นความจริงก็จะเบื่อหน่าย >>>
คลายกำหนัด >>>
หลุดพ้น ไปตามลำดับ
พวกเราชอบอยากจะหลุด ... แต่ไม่ยอมปล่อย 5555
วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ความเป็นเพื่อน
ลองสังเกตจิตใจตนเองดีๆ
ที่ว่าเป็นเพื่อนกันอะไรทั้งหลาย
ปกติมักจะมีอะไรเกินๆ มากกว่าความเป็นเพื่อน เป็นมิตร
กัลยาณมิตรอย่างพระพุทธเจ้านี่
ท่านไม่ได้บอกว่าท่านจะช่วยเรา
ท่านมาบอกข่าวดีให้...
ว่าต้องช่วยตัวเองนะ
จบข่าว 5555
เพื่อนจริงเขาทำแค่นี้...
บอกความจริง
ไม่ใช่ว่าเป็นเพื่อนกันเพื่อจะครอบงำกัน
หรือให้เขามาพึ่งเรา
แบบนี้ผิดพลาด
มันต้องการมีอำนาจเหนือกันและกัน
(แบบนี้เป็นความคิดเบียดเบียนอย่างหนึ่ง)
การเป็นเพื่อนเป็นมิตรนี่
เราต้องการให้เขาเป็นอิสระ
อิสระจากเรา
อิสระจากทุกคน
อิสระจากโลก
ดูเจตนาดีๆ
เหมือนเราให้ของใคร
ให้ด้วยเจตนาอะไร
เป็นเพื่อนกัน เป็นมิตรกัน
แล้วมีระหว่างบรรทัดว่า "จะได้พึ่งพาอาศัยกัน"
ดูเจตนาที่จะหวังผลเอาประโยชน์จากเพื่อน
คิดแบบนี้เป็นความติดข้อง
ความเป็นเพื่อนไม่ต้องหวังผลประโยชน์อะไร
เราเป็นเพื่อนเขา
เพื่อที่เขาจะได้ช่วยตนเองได้
ไม่ต้องพึ่งเราอีก
ที่ว่าเป็นเพื่อนกันอะไรทั้งหลาย
ปกติมักจะมีอะไรเกินๆ มากกว่าความเป็นเพื่อน เป็นมิตร
กัลยาณมิตรอย่างพระพุทธเจ้านี่
ท่านไม่ได้บอกว่าท่านจะช่วยเรา
ท่านมาบอกข่าวดีให้...
ว่าต้องช่วยตัวเองนะ
จบข่าว 5555
เพื่อนจริงเขาทำแค่นี้...
บอกความจริง
ไม่ใช่ว่าเป็นเพื่อนกันเพื่อจะครอบงำกัน
หรือให้เขามาพึ่งเรา
แบบนี้ผิดพลาด
มันต้องการมีอำนาจเหนือกันและกัน
(แบบนี้เป็นความคิดเบียดเบียนอย่างหนึ่ง)
การเป็นเพื่อนเป็นมิตรนี่
เราต้องการให้เขาเป็นอิสระ
อิสระจากเรา
อิสระจากทุกคน
อิสระจากโลก
ดูเจตนาดีๆ
เหมือนเราให้ของใคร
ให้ด้วยเจตนาอะไร
เป็นเพื่อนกัน เป็นมิตรกัน
แล้วมีระหว่างบรรทัดว่า "จะได้พึ่งพาอาศัยกัน"
ดูเจตนาที่จะหวังผลเอาประโยชน์จากเพื่อน
คิดแบบนี้เป็นความติดข้อง
ความเป็นเพื่อนไม่ต้องหวังผลประโยชน์อะไร
เราเป็นเพื่อนเขา
เพื่อที่เขาจะได้ช่วยตนเองได้
ไม่ต้องพึ่งเราอีก
โสดาปัตติยังคะ
โสดาปัตติยังคะ มี 2 แบบ
แบบเป็นเหตุ
แบบเป็นผล
แบบเป็นผล คือพระโสดาบันมีคุณสมบัติ 4 อย่างนี้
แบบเป็นเหตุ
แบบเป็นผล
แบบเป็นผล คือพระโสดาบันมีคุณสมบัติ 4 อย่างนี้
- เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธ
- เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระธรรม
- เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์
- มีศีลเป็นอริยกันตสีล
แบบเป็นเหตุ คือยังไม่เป็นพระโสดาบัน ต้องอาศัยเหตุ 4 อย่างนี้
- คบสัตบุรุษ - ท่านเป็นใคร ท่านสอนอะไร
- ฟังพระสัทธรรม - ธรรมที่เป็นไปเพื่อความสงบระงับ อะไรคือมรรค อะไรคือผล อะไรคือนิพพาน
- โยนิโสมนสิการ - ฝึกฝนให้ใส่ใจให้ถูกตัว ให้ถูกต้อง
- ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ
ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ
ปฏิบัติธรรม ให้ "สมควร" แก่ธรรม
ปฏิบัติให้สอดคล้องกับโลกุตตรธรรม
ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อเอาอะไร
ไม่ใช่เอาดี
เอาสงบ
เอาความมั่นคงถาวร
เอาพรรคเอาพวก
ปฏิบัติธรรมให้สอดคล้องกับธรรม
ธรรมเป็นอย่างนี้
เราก็ปฏิบัติเพื่อให้เห็นอย่างนี้
ของมันไม่ใช่ของเราจริง
ก็ปฏิบัติให้มันเห็นว่ามันไม่ใช่จริงๆ
ไม่ใช่มาตู่เอานั่นนี่
ปฏิบัติให้สอดคล้องกับโลกุตตรธรรม
ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อเอาอะไร
ไม่ใช่เอาดี
เอาสงบ
เอาความมั่นคงถาวร
เอาพรรคเอาพวก
ปฏิบัติธรรมให้สอดคล้องกับธรรม
ธรรมเป็นอย่างนี้
เราก็ปฏิบัติเพื่อให้เห็นอย่างนี้
ของมันไม่ใช่ของเราจริง
ก็ปฏิบัติให้มันเห็นว่ามันไม่ใช่จริงๆ
ไม่ใช่มาตู่เอานั่นนี่
โยนิโสมนสิการ
ฝึกฝนให้ใส่ใจให้ถูกตัว ให้ถูกต้อง
แต่เดิมสนใจแต่ข้างนอก
คนนั้นว่างี้ คนนี้ว่างี้
สนใจข้างนอกแบบนี้มันผิดพลาด
เลยเกิดอันนั้นดี อันนี้ไม่ดี
ความคิดความเห็นก็เพี้ยนตาม
ใส่ใจมาในทางที่จะทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ
ในทางที่ทำให้เกิด ศีล สมาธิ ปัญญา
ใส่ใจเข้ามาภายใน
ในกายตอนนี้เป็นอย่างไร
ในใจตอนนี้เป็นอย่างไร
ไม่ใช่ในมุมที่เพื่อรักตัวเอง
แต่เป็นในมุมเพื่อจะเห็นความจริง
ว่ามันไม่เที่ยง ฯ
ให้เกิดเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง
เมื่อเข้าใจถูกก็จะคิดถูก พูดถูก ทำถูก
ใส่ใจเข้ามาภายใน
ในกายตอนนี้เป็นอย่างไร
ในใจตอนนี้เป็นอย่างไร
ไม่ใช่ในมุมที่เพื่อรักตัวเอง
แต่เป็นในมุมเพื่อจะเห็นความจริง
ว่ามันไม่เที่ยง ฯ
ให้เกิดเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง
เมื่อเข้าใจถูกก็จะคิดถูก พูดถูก ทำถูก
สดับพระสัทธรรม - ฟังอะไร
สัทธรรม - ธรรมที่เป็นไปเพื่อความสงบระงับ
ฟังให้เข้าใจว่า
อะไรคือมรรค
อะไรคือผล
อะไรคืออริยมรรค
อะไรคืออริยผล
อะไรคือนิพพาน
ไม่ใช่ฟังเรื่อง - เกิดแก่เจ็บตาย
แต่ฟังเรื่อง - ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
ไม่ใช่ฟังเรื่อง - กรรม
แต่ฟังเรื่อง - เหนือกรรม อิสระจากกรรม
ไม่ใช่ฟังเรื่อง - ทำยังไงจะดี ทำยังไงจะเป็นเทวดา
แต่ฟังเรื่อง - ทำยังไงจะไม่ไปอบาย ทำยังไงจะไม่ไปเทวดา ทำยังไงจะทำลายภพได้
ฟังเรื่อง - ทำยังไงจะเหนือดี/ชั่ว บวก/ลบ ความเป็นของคู่
ฟังให้เข้าใจว่า
อะไรคือมรรค
อะไรคือผล
อะไรคืออริยมรรค
อะไรคืออริยผล
อะไรคือนิพพาน
ไม่ใช่ฟังเรื่อง - เกิดแก่เจ็บตาย
แต่ฟังเรื่อง - ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
ไม่ใช่ฟังเรื่อง - กรรม
แต่ฟังเรื่อง - เหนือกรรม อิสระจากกรรม
ไม่ใช่ฟังเรื่อง - ทำยังไงจะดี ทำยังไงจะเป็นเทวดา
แต่ฟังเรื่อง - ทำยังไงจะไม่ไปอบาย ทำยังไงจะไม่ไปเทวดา ทำยังไงจะทำลายภพได้
ฟังเรื่อง - ทำยังไงจะเหนือดี/ชั่ว บวก/ลบ ความเป็นของคู่
เมื่อสัตบุรุษสอนเรื่องกฏแห่งกรรม
กฏแห่งกรรมนี่
ไม่ได้เรียนเพื่ออยู่ภายใต้มัน
ไม่ได้เรียนแล้วให้ชอบกุศล เกลียดอกุศล
แบบนี้ก็ยังเรียนมั่วอยู่
ยังเรียนไม่ถึงพระพุทธเจ้า
แต่เรียนเพื่อให้มันเห็นว่า
กฏแห่งกรรมนี่มันเป็น "มหันตภัย" เลย
ให้เห็นว่าถูกขังอยู่ด้วยความไม่รู้
วนไปวนมาตามกฏแห่งกรรม
สัตบุรุษท่านสอนให้เราไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
คือสอนให้พ้นจากวงจรไป
ไม่ได้สอนว่า "เรามีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์...."
ว่าไปแล้วจบอยู่แค่จงวนไปเถอะ
แบบนี้ยังไม่ได้พบสัตบุรุษ
ปลอดภัยรึยัง
เรานี้ไม่ฆ่าสัตว์
ไม่ผิดลูกเมียใคร
นี่เรียกว่าปลอดภัยรึยัง
ยัง...มันยังไม่หน้ามืด
ฉะนั้นตราบเท่าที่กิเลสยังไม่ถูกถอน
ยังไม่ปลอดภัย
การกระทำแรงๆ มันก็ทำตอนหน้ามืดนั่นแหละ
อะไรที่ยังถอนไม่ได้
ก็ยังมีอันตรายทั้งหมดนั่นล่ะ
การฝึกฝนนี่คือฝึกถอดถอนกิเลส
ฝึกไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ต้องรอกิเลสเกิด
ถอนได้แล้วก็สบายใจ
ไม่ผิดลูกเมียใคร
นี่เรียกว่าปลอดภัยรึยัง
ยัง...มันยังไม่หน้ามืด
ฉะนั้นตราบเท่าที่กิเลสยังไม่ถูกถอน
ยังไม่ปลอดภัย
การกระทำแรงๆ มันก็ทำตอนหน้ามืดนั่นแหละ
อะไรที่ยังถอนไม่ได้
ก็ยังมีอันตรายทั้งหมดนั่นล่ะ
การฝึกฝนนี่คือฝึกถอดถอนกิเลส
ฝึกไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ต้องรอกิเลสเกิด
ถอนได้แล้วก็สบายใจ
กรรมเก่า เจ้ากรรมนายเวร
กรรมเก่า
เจ้ากรรมนายเวร
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ล่ะ
คุณภาพของใจที่ได้มานี่แหละเป็นเจ้ากรรมนายเวร
มันให้ผลเรามาแล้ว
สมมติเขาด่าเราปั๊บ
เราโกรธทันที
นี่คือ เจ้ากรรมนายเวรให้ผลละ
ถ้าเราไปทำตามมันต่อไป
ไม่ฝึกให้มันค่อยๆ ละไป หมดไป
หรือควบคุมเพื่อจะสำรวมระวังต่อไป
ก็เท่ากับว่าโดนมันเล่นตลอด
วนไป...ไม่สิ้นสุดสักที
ถ้าไม่ทำเกิน
เวรและภัยจากการไปเบียดเบียนก็ไม่มี
ไม่ได้คิดว่าคนนี้จะมาตีหัว
ไม่ได้คิดว่าคนนี้จะมาเอาคืน
ไม่ได้คิดว่าคนนี้จะเป็นศัตรู เป็นคู่แค้น
ไม่มีความเครียด ไม่วิตก ไม่มึน ฯลฯ
ความทุกข์โทมนัสในจิตก็ไม่มี
ภัยเวรส่วนนี้ก็ระงับไป
แต่ที่ยังทุกข์มากแบบนี้เพราะ "เจตนา" มันยังคงอยู่
เราชอบไปคิดกันว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นคนอื่น
เช่น วันนี้เราไปตีนาย ก.
ต่อไปนาย ก. จะมาตีเราคืน
เอาคืนชาตินี้ไม่ได้ ก็เอาคืนชาติหน้า
อันนี้เขาเรียกกฏแห่งกรรม โง่มาก 5555
มันไม่ใช่อย่างงั้นสักกะหน่อย
สิ่งที่เป็นเจตนาที่สะสมอยู่ในตัวเรานี่แหละ
ที่กลายเป็นอุปนิสัยใจคอ
ที่ทำให้เราหยาบกระด้าง
เห็นความคิดร้ายๆ เป็นเรื่องธรรมดา
เหมือนเราทำความผิดบ่อยๆ
เห็นความผิดบ่อยๆ
ไม่สำรวมระวัง ไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ
ก็จะเห็นมันเป็นเรื่องธรรมดา และสะสมเพิ่มขึ้น
การสะสมเพิ่มขึ้นนี่แหละ
คือสิ่งที่เราได้มา
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
คุณภาพของใจนี่แหละที่เรียกว่า "เจ้ากรรมนายเวร"
ใครเจ้ากรรมนายเวรไม่ดี
คือสะสมมาไม่ดี
พอกระทบอารมณ์อะไร
สิ่งที่ไม่ดีก็จะโผล่ขึ้นมาเยอะ
ความหมายคือ คุณก็ได้รับผลแล้ว
ทุกข์เยอะแล้ว โกรธนี่มีความสุขที่ไหนกัน
นี่แหละการให้ผลของเจ้ากรรมนายเวร
เพราะคุณชอบโกรธมา
ชอบสะสมความไม่พอใจมา
ชอบเก็บความอาฆาตแค้นมา
เห็นใครทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็อาฆาตแค้น
ใจเป็นทุกข์หรือสุขกันล่ะ
นี่ล่ะ...เจ้ากรรมนายเวรเล่นแล้ว
ใครจะมาช่วยแก้ได้
ก็มีแต่ฝึกสติสัมปชัญญะให้สำรวมยิ่งๆ ขึ้นเท่านั้น
แต่เราดันไปหาเจ้ากรรมนายเวรที่อื่น
เจ้ากรรมนายเวร
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ล่ะ
คุณภาพของใจที่ได้มานี่แหละเป็นเจ้ากรรมนายเวร
มันให้ผลเรามาแล้ว
สมมติเขาด่าเราปั๊บ
เราโกรธทันที
นี่คือ เจ้ากรรมนายเวรให้ผลละ
ถ้าเราไปทำตามมันต่อไป
ไม่ฝึกให้มันค่อยๆ ละไป หมดไป
หรือควบคุมเพื่อจะสำรวมระวังต่อไป
ก็เท่ากับว่าโดนมันเล่นตลอด
วนไป...ไม่สิ้นสุดสักที
ถ้าไม่ทำเกิน
เวรและภัยจากการไปเบียดเบียนก็ไม่มี
ไม่ได้คิดว่าคนนี้จะมาตีหัว
ไม่ได้คิดว่าคนนี้จะมาเอาคืน
ไม่ได้คิดว่าคนนี้จะเป็นศัตรู เป็นคู่แค้น
ไม่มีความเครียด ไม่วิตก ไม่มึน ฯลฯ
ความทุกข์โทมนัสในจิตก็ไม่มี
ภัยเวรส่วนนี้ก็ระงับไป
แต่ที่ยังทุกข์มากแบบนี้เพราะ "เจตนา" มันยังคงอยู่
เราชอบไปคิดกันว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นคนอื่น
เช่น วันนี้เราไปตีนาย ก.
ต่อไปนาย ก. จะมาตีเราคืน
เอาคืนชาตินี้ไม่ได้ ก็เอาคืนชาติหน้า
อันนี้เขาเรียกกฏแห่งกรรม โง่มาก 5555
มันไม่ใช่อย่างงั้นสักกะหน่อย
สิ่งที่เป็นเจตนาที่สะสมอยู่ในตัวเรานี่แหละ
ที่กลายเป็นอุปนิสัยใจคอ
ที่ทำให้เราหยาบกระด้าง
เห็นความคิดร้ายๆ เป็นเรื่องธรรมดา
เหมือนเราทำความผิดบ่อยๆ
เห็นความผิดบ่อยๆ
ไม่สำรวมระวัง ไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ
ก็จะเห็นมันเป็นเรื่องธรรมดา และสะสมเพิ่มขึ้น
การสะสมเพิ่มขึ้นนี่แหละ
คือสิ่งที่เราได้มา
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
คุณภาพของใจนี่แหละที่เรียกว่า "เจ้ากรรมนายเวร"
ใครเจ้ากรรมนายเวรไม่ดี
คือสะสมมาไม่ดี
พอกระทบอารมณ์อะไร
สิ่งที่ไม่ดีก็จะโผล่ขึ้นมาเยอะ
ความหมายคือ คุณก็ได้รับผลแล้ว
ทุกข์เยอะแล้ว โกรธนี่มีความสุขที่ไหนกัน
นี่แหละการให้ผลของเจ้ากรรมนายเวร
เพราะคุณชอบโกรธมา
ชอบสะสมความไม่พอใจมา
ชอบเก็บความอาฆาตแค้นมา
เห็นใครทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็อาฆาตแค้น
ใจเป็นทุกข์หรือสุขกันล่ะ
นี่ล่ะ...เจ้ากรรมนายเวรเล่นแล้ว
ใครจะมาช่วยแก้ได้
ก็มีแต่ฝึกสติสัมปชัญญะให้สำรวมยิ่งๆ ขึ้นเท่านั้น
แต่เราดันไปหาเจ้ากรรมนายเวรที่อื่น
ทุกข์เป็นส่วนเกิน
ทุกข์ที่ได้มานี้มันเป็นส่วนเกิน
ไม่รู้ แล้วก็ไปทำเกิน
ในโลกมันก็วนเวียนกันไป
ดีบ้างไม่ดีบ้าง
แต่เราอยากไปเอาคืนบ้าง
อยากไปทำร้ายเขาบ้าง
ไปวิพากษ์วิจารณ์บ้าง
แบบนี้เป็นความเกิน
พอเกินมันก็ทุกข์
เครียด หวั่นไหวไปตามโลก
ไปมัวคิดว่าคนนี้จะมาว่า คนนั้นจะมาทำร้าย
แล้วก็ไปโทษคนอื่น
คือถ้าไม่มีความเกินตรงนี้
ก็เรียกว่า "ภัยเวรระงับไป"
ทุกวันนี้ก็สัมผัปปลาปะ
เขาไม่ได้เชิญก็ไปวิจารณ์
สิ่งที่ทำให้เกินๆ ขึ้นมานี่ก็อวิชชานี่แหละ
แค่วิบากขันธ์ต้องดูแลนี่ก็ทุกข์อยู่ไม่น้อยแล้ว
ต้องบริหารก็เป็นภาระพออยู่แล้ว
เราก็ไปทำเกินมาอีก...หาเรื่อง
ไม่รู้ แล้วก็ไปทำเกิน
ในโลกมันก็วนเวียนกันไป
ดีบ้างไม่ดีบ้าง
แต่เราอยากไปเอาคืนบ้าง
อยากไปทำร้ายเขาบ้าง
ไปวิพากษ์วิจารณ์บ้าง
แบบนี้เป็นความเกิน
พอเกินมันก็ทุกข์
เครียด หวั่นไหวไปตามโลก
ไปมัวคิดว่าคนนี้จะมาว่า คนนั้นจะมาทำร้าย
แล้วก็ไปโทษคนอื่น
คือถ้าไม่มีความเกินตรงนี้
ก็เรียกว่า "ภัยเวรระงับไป"
ทุกวันนี้ก็สัมผัปปลาปะ
เขาไม่ได้เชิญก็ไปวิจารณ์
สิ่งที่ทำให้เกินๆ ขึ้นมานี่ก็อวิชชานี่แหละ
แค่วิบากขันธ์ต้องดูแลนี่ก็ทุกข์อยู่ไม่น้อยแล้ว
ต้องบริหารก็เป็นภาระพออยู่แล้ว
เราก็ไปทำเกินมาอีก...หาเรื่อง
การกระทำที่ผิด VS เธอทำผิด
เวลามีคนทำผิดแล้วมาขอโทษ-ขอขมา
ท่านจะบอกว่า
"การที่เธอเห็นโทษโดยความเป็นโทษ
แล้วสำรวมระวังในกาลต่อไป
เป็นความเจริญในอริยวินัย"
สังเกตว่า ไม่ได้ใช้คำว่า "การที่เธอทำผิด"
แต่ใช้คำว่า "การกระทำที่ผิด"
การกระทำ ไม่ใช่ตัวเรา
เราทั้งหลายมักเข้าใจผิด
ไปหยิบยกการกระทำเป็นครั้งๆ นี้ ว่าเป็นตัวเรา
เช่น เราเคยกระทำผิด ก็ถือว่า "เราผิด"
แล้วก็ถือต่อ "เราต้องไปสำนึกผิด"
สิ่งที่เป็นจริงคือ "การกระทำที่ผิด" มีอยู่
แต่การไปคิดว่า "เราผิด" เป็นการแสดงถึงความยึดถือในตัวตน
การด่าเขา - การกระทำนี้ไม่ดี
ไม่ใช่ "เรา" ผิด ไม่ใช่เราไม่ดี
การโทษตนเองไม่ได้เกิดผลอะไร เพราะมันไม่มีเรา 5555
พอไปชมคนอืี่นมันก็ดี แต่ก็ไม่ใช่ "เราดี"
เพราะฉะนั้นไม่ได้มีเราอยู่ในการกระทำ
สำรวม คือการสังวร ฝึกให้มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น
ฝึกให้มันห่างไกลจากการพูดโกหกมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้น
ท่านจะบอกว่า
"การที่เธอเห็นโทษโดยความเป็นโทษ
แล้วสำรวมระวังในกาลต่อไป
เป็นความเจริญในอริยวินัย"
สังเกตว่า ไม่ได้ใช้คำว่า "การที่เธอทำผิด"
แต่ใช้คำว่า "การกระทำที่ผิด"
การกระทำ ไม่ใช่ตัวเรา
เราทั้งหลายมักเข้าใจผิด
ไปหยิบยกการกระทำเป็นครั้งๆ นี้ ว่าเป็นตัวเรา
เช่น เราเคยกระทำผิด ก็ถือว่า "เราผิด"
แล้วก็ถือต่อ "เราต้องไปสำนึกผิด"
สิ่งที่เป็นจริงคือ "การกระทำที่ผิด" มีอยู่
แต่การไปคิดว่า "เราผิด" เป็นการแสดงถึงความยึดถือในตัวตน
การด่าเขา - การกระทำนี้ไม่ดี
ไม่ใช่ "เรา" ผิด ไม่ใช่เราไม่ดี
การโทษตนเองไม่ได้เกิดผลอะไร เพราะมันไม่มีเรา 5555
พอไปชมคนอืี่นมันก็ดี แต่ก็ไม่ใช่ "เราดี"
เพราะฉะนั้นไม่ได้มีเราอยู่ในการกระทำ
สำรวม คือการสังวร ฝึกให้มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น
ฝึกให้มันห่างไกลจากการพูดโกหกมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้น
วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560
เส้นตรงเป็นส่วนหนึ่งของวงกลม
เมื่อถอยมาดูภาพรวม
โลกมันเป็นวงกลม
แต่เราก็ชอบไปดูมันแบบเส้นตรง
เส้นตรงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวงกลมเท่านั้น
เหมือนรู้จักคนคนหนึ่ง
เราคิดว่าเรารู้จักเขา
เช่น ผู้ชายตรงหน้า
เรารู้จักเขาว่าเขาเป็นคนดี เคยทำอย่างนั้นอย่างนี้
แต่กลับไม่รู้จักว่าเขา "ตาย" ด้วย
เห็นเขานั่งยิ้มหัวเราะอยู่
แต่กลับไม่รู้ว่าความคิดเขาอาจกลายเป็นปีศาจไปแล้ว
ความหมายคือ
คนคนหนึ่ง เขาก็เป็นทุกอย่างนั่นล่ะ
แต่เวลาเราเห็น เราจะเห็นแค่แง่มุมหนึ่ง
พอเห็นแค่นี้ เราก็เลยคิดว่าเขาเป็นแค่นี้
เส้นตรงนี่พอเห็นแค่ส่วนหนึ่ง
ก็มีเกิด แก่ ตาย
แต่พอถอยมาเห็นวงกลม
มันไม่ได้มีอายุอะไร
โลกมันเป็นวงกลม
แต่เราก็ชอบไปดูมันแบบเส้นตรง
เส้นตรงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวงกลมเท่านั้น
เหมือนรู้จักคนคนหนึ่ง
เราคิดว่าเรารู้จักเขา
เช่น ผู้ชายตรงหน้า
เรารู้จักเขาว่าเขาเป็นคนดี เคยทำอย่างนั้นอย่างนี้
แต่กลับไม่รู้จักว่าเขา "ตาย" ด้วย
เห็นเขานั่งยิ้มหัวเราะอยู่
แต่กลับไม่รู้ว่าความคิดเขาอาจกลายเป็นปีศาจไปแล้ว
ความหมายคือ
คนคนหนึ่ง เขาก็เป็นทุกอย่างนั่นล่ะ
แต่เวลาเราเห็น เราจะเห็นแค่แง่มุมหนึ่ง
พอเห็นแค่นี้ เราก็เลยคิดว่าเขาเป็นแค่นี้
เส้นตรงนี่พอเห็นแค่ส่วนหนึ่ง
ก็มีเกิด แก่ ตาย
แต่พอถอยมาเห็นวงกลม
มันไม่ได้มีอายุอะไร
สัมมส - ฟังธรรม : มารู้ในสิ่งที่ไม่รู้มาก่อน
ใส่ใจแต่ว่าคำพูดเขา
ใส่ใจแต่ว่าสนุกสนาน
ใส่ใจแต่ว่าพูดดี
อาจารย์ก็กลายเป็นนกแก้วไป
ฟังเสร็จได้แต่ความบันเทิง
อันนี้ไม่เกิดประโยชน์
ไม่ได้ตัดภพชาติให้สั้นลงเลย
ฟังเสร็จนิสัยเหมือนเดิม
ทำกรรมแบบเดิม
กลับมาเกิดตายเหมือนเดิม
ประโยชน์แท้คือกิเลสลด
ความถือมั่นลด
เรามาบนโลกเพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่างเท่านั้น
อะไรบางอย่างที่เรายังไม่รู้
แต่เราก็ชอบมาเพื่อเอานั่นเอานี่กัน
ไปพูดกับเขาเพื่อจะรู้อะไรบางอย่าง
เราอยากฟังอย่างนี้นะ
เขาดันพูดอีกอย่าง
ก็ได้รู้แล้วว่าบังคับไม่ได้ - ได้เรียนรู้อะไรจากเขา
เราต้องคิดจากว่าเราไม่รู้
มาด้วยความรู้ ก็เสียโอกาสละ
เรียนไม่ได้
มารู้ในสิ่งที่ไม่รู้มาก่อน
การมาฟังนี่ มาฟังเพื่อให้เอาที่คิดว่ารู้แล้วออกไปเสีย
ใส่ใจแต่ว่าสนุกสนาน
ใส่ใจแต่ว่าพูดดี
อาจารย์ก็กลายเป็นนกแก้วไป
ฟังเสร็จได้แต่ความบันเทิง
อันนี้ไม่เกิดประโยชน์
ไม่ได้ตัดภพชาติให้สั้นลงเลย
ฟังเสร็จนิสัยเหมือนเดิม
ทำกรรมแบบเดิม
กลับมาเกิดตายเหมือนเดิม
ประโยชน์แท้คือกิเลสลด
ความถือมั่นลด
เรามาบนโลกเพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่างเท่านั้น
อะไรบางอย่างที่เรายังไม่รู้
แต่เราก็ชอบมาเพื่อเอานั่นเอานี่กัน
ไปพูดกับเขาเพื่อจะรู้อะไรบางอย่าง
เราอยากฟังอย่างนี้นะ
เขาดันพูดอีกอย่าง
ก็ได้รู้แล้วว่าบังคับไม่ได้ - ได้เรียนรู้อะไรจากเขา
เราต้องคิดจากว่าเราไม่รู้
มาด้วยความรู้ ก็เสียโอกาสละ
เรียนไม่ได้
มารู้ในสิ่งที่ไม่รู้มาก่อน
การมาฟังนี่ มาฟังเพื่อให้เอาที่คิดว่ารู้แล้วออกไปเสีย
วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ขั้นตอนวิญญาณ
พระโสดาบัน
ละความเห็นผิดว่าวิญญาณเป็นตัวตน
พระอรหันต์
ละความยึดถือในวิญญาณ
วิญญาณจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ
ต้องมาหัดสังเกต
ละความเห็นผิดว่าวิญญาณเป็นตัวตน
พระอรหันต์
ละความยึดถือในวิญญาณ
วิญญาณจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ
ต้องมาหัดสังเกต
โลกุตตรจิต
โลกุตตรจิต
กุศลจิต
อกุศลจิต
พวกนี้เป็นชื่อเรียกจิต ตามอารมณ์ที่มันไปรับรู้เฉยๆ
โลกุตตรจิต คือ มันไปรับรู้โลกุตตระ
โลกุตตระนั้นไม่เกิดดับ
แต่จิตที่ไปรับรู้มัน เกิด-ดับ
กุศลจิต
อกุศลจิต
พวกนี้เป็นชื่อเรียกจิต ตามอารมณ์ที่มันไปรับรู้เฉยๆ
โลกุตตรจิต คือ มันไปรับรู้โลกุตตระ
โลกุตตระนั้นไม่เกิดดับ
แต่จิตที่ไปรับรู้มัน เกิด-ดับ
หมายเหตุอรรถกถา
อรรถกถา
มีเขียนกันหลายรุ่น
ตั้งแต่พระเถระสมัยพระอานนท์ เป็นต้นมา
สมัยลังกา ฯลฯ
มีการผ่านยุคที่ต้องต่อสู้แย่งชิงศรัทธา
เพื่อให้อยู่รอดในชาติที่ศาสนาอื่นปะปนเข้ามา
พึงทราบข้อมูลนี้ไว้
พุทธศาสนาอยู่ 5,000 ปี อันนี้มาจากอรรถกถา
แต่ในพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า
สิ่งที่จะดำรงพระศาสนาไว้ได้แก่ เหตุนี้ๆๆ
ถ้ารู้เหตุ แล้วทำตามนี้ๆๆ ก็จะรักษาพระศาสนาไว้นานเท่าใดก็ได้
เพราะความเสื่อมไม่เที่ยง
ความเจริญจึงเกิดได้
เพราะความเจริญมีเหตุ
เมื่อรักษาเหตุแห่งความเจริญ
ความเจริญก็คงต่อไปได้
มีเขียนกันหลายรุ่น
ตั้งแต่พระเถระสมัยพระอานนท์ เป็นต้นมา
สมัยลังกา ฯลฯ
มีการผ่านยุคที่ต้องต่อสู้แย่งชิงศรัทธา
เพื่อให้อยู่รอดในชาติที่ศาสนาอื่นปะปนเข้ามา
พึงทราบข้อมูลนี้ไว้
พุทธศาสนาอยู่ 5,000 ปี อันนี้มาจากอรรถกถา
แต่ในพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า
สิ่งที่จะดำรงพระศาสนาไว้ได้แก่ เหตุนี้ๆๆ
ถ้ารู้เหตุ แล้วทำตามนี้ๆๆ ก็จะรักษาพระศาสนาไว้นานเท่าใดก็ได้
เพราะความเสื่อมไม่เที่ยง
ความเจริญจึงเกิดได้
เพราะความเจริญมีเหตุ
เมื่อรักษาเหตุแห่งความเจริญ
ความเจริญก็คงต่อไปได้
ใจที่ติดข้อง
อบายจะให้ผลได้
ก็ต่อเมื่อใจยังติดข้องอยู่
ผลของการเรียนธรรม
มีเพียงความเข้าใจ และอิสระต่อสิ่งนั้น
การมีสติสัมปชัญญะ
เป็นการกระทำกรรมไมดำไม่ขาว
เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม
แม้วิบากดี
เมื่อเข้าใจว่ามาแต่เหตุ
ก็ไม่ติดข้องในมัน
ไม่ต้องวนเวียนอีกต่อไป
ก็ต่อเมื่อใจยังติดข้องอยู่
ผลของการเรียนธรรม
มีเพียงความเข้าใจ และอิสระต่อสิ่งนั้น
การมีสติสัมปชัญญะ
เป็นการกระทำกรรมไมดำไม่ขาว
เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม
แม้วิบากดี
เมื่อเข้าใจว่ามาแต่เหตุ
ก็ไม่ติดข้องในมัน
ไม่ต้องวนเวียนอีกต่อไป
ทำบุญนี่เพียงเพื่อมาเจอคำสอนเท่านั้น
ทำบุญนี่เพียงเพื่อมาเจอคำสอนเท่านั้น
ได้มาเจอคำสอนคือ
ทำมาพอแล้วจึงมาเจอ
เจอแล้วถ้าไม่ทำต่อ
อันนี้ไม่เรียก "โง่" ไม่รู้เรียกอะไร
มาเจอคำสอนถือว่าพร้อมจะบรรลุได้แล้ว
คุณสมบัติพอแล้ว
เหมือนกับกรรมเก่า
ที่ได้มาน่ะผลส่งมาถึงปัจจุบันแล้ว
จะเลือกทำ หรือไม่ทำอะไรต่อ
ได้มาเจอคำสอนคือ
ทำมาพอแล้วจึงมาเจอ
เจอแล้วถ้าไม่ทำต่อ
อันนี้ไม่เรียก "โง่" ไม่รู้เรียกอะไร
มาเจอคำสอนถือว่าพร้อมจะบรรลุได้แล้ว
คุณสมบัติพอแล้ว
เหมือนกับกรรมเก่า
ที่ได้มาน่ะผลส่งมาถึงปัจจุบันแล้ว
จะเลือกทำ หรือไม่ทำอะไรต่อ
ตทังคนิพพาน
หมายถึง ได้ลิ้มรส
ประสบกับนิพพานเป็นครั้งๆ เล็กๆ น้อยๆ
แต่เดิมมันทุกข์เยอะ
ต่อมาก็ทุกข์น้อยลง
ยังไม่ต้องถึงนิพพานจริงๆ ก็ได้
บางคนกลัวหมดตัวหมดตน
เอาที่ว่าตัวเราสุขมากขึ้น
สุขบ่อยขึ้น
สบายมากขึ้น
แทนที่จะเป็นตัวเราที่โดนบีบ
โดนกระแทก อย่างนู้นอย่างนี้
ตทังคนิพพาน คือได้เป็นครั้งๆ ยังไม่แน่ไม่นอน
เป็นประสบการณ์ของจิต
ประสบกับนิพพานเป็นครั้งๆ เล็กๆ น้อยๆ
แต่เดิมมันทุกข์เยอะ
ต่อมาก็ทุกข์น้อยลง
ยังไม่ต้องถึงนิพพานจริงๆ ก็ได้
บางคนกลัวหมดตัวหมดตน
เอาที่ว่าตัวเราสุขมากขึ้น
สุขบ่อยขึ้น
สบายมากขึ้น
แทนที่จะเป็นตัวเราที่โดนบีบ
โดนกระแทก อย่างนู้นอย่างนี้
ตทังคนิพพาน คือได้เป็นครั้งๆ ยังไม่แน่ไม่นอน
เป็นประสบการณ์ของจิต
ประโยชน์ของพุทธบริษัทคือ มีความสุข
มาเรียนธรรมก็หลอกตนเองว่า
ดิฉันมาเรียนเพื่อต้องการพ้นทุกข์
เพื่อพระนิพพานก็ว่าไป
เอาจริงๆ ก็ห่วงอยู่เยอะแยะเลย
จริงๆ ก็ไม่ต้องไปพูดตามคนอื่นหรอก
เราศึกษาธรรมก็เอาเท่าที่เราได้
ให้ทุกข์ในชีวิตมันน้อยลงก็เอาแล้ว
ยังรักสามี รักลูกหลาน
ก็รักมันไป
แต่ให้ทุกข์กับมันน้อยลง ก็พอแล้ว
นี่ก็เรียกว่าได้ประโยชน์จากธรรมะแล้ว
ดิฉันมาเรียนเพื่อต้องการพ้นทุกข์
เพื่อพระนิพพานก็ว่าไป
เอาจริงๆ ก็ห่วงอยู่เยอะแยะเลย
จริงๆ ก็ไม่ต้องไปพูดตามคนอื่นหรอก
เราศึกษาธรรมก็เอาเท่าที่เราได้
ให้ทุกข์ในชีวิตมันน้อยลงก็เอาแล้ว
ยังรักสามี รักลูกหลาน
ก็รักมันไป
แต่ให้ทุกข์กับมันน้อยลง ก็พอแล้ว
นี่ก็เรียกว่าได้ประโยชน์จากธรรมะแล้ว
ทำไม...อาการไม่ยอมรับว่ามันก็อย่างนั้นแหละ
ทำไมยังมีคนยากจนอยู่ในโลก
ทำไมยังมีคนรวยอยู่ในโลก
ทำไมไม่สอนให้รวยหมดเลย
ทำไมท่านไม่สอนให้ไปนิพพานได้หมดเลยล่ะ
ก็มันเป็นอย่างนั้นแหละ...
จบข่าว ...
ทีนี้เราก็ชอบจะเอาหลักธรรมไปให้คนนั้นดีคนนี้ไม่ดี บลาๆ
อันนี้ใช้ได้กับทุกคน
(ยกเว้นตัวเอง ฮาา)
อันนี้คืออาการที่ตัวเองไม่ยอมรับความจริง
ว่ามันใช้กับทุกคนได้ไม่ได้
ก็ทำไม..ทำไมอยู่นั่น
มันไม่ยอมรับความจริงว่าเขามีสิทธิ์เลือก
เลือกแล้วเขาทุกข์หรือเป็นยังไง
ก็ให้โอกาส แล้วเสนอทางเลือก
ทำไมยังมีคนรวยอยู่ในโลก
ทำไมไม่สอนให้รวยหมดเลย
ทำไมท่านไม่สอนให้ไปนิพพานได้หมดเลยล่ะ
ก็มันเป็นอย่างนั้นแหละ...
จบข่าว ...
ทีนี้เราก็ชอบจะเอาหลักธรรมไปให้คนนั้นดีคนนี้ไม่ดี บลาๆ
อันนี้ใช้ได้กับทุกคน
(ยกเว้นตัวเอง ฮาา)
อันนี้คืออาการที่ตัวเองไม่ยอมรับความจริง
ว่ามันใช้กับทุกคนได้ไม่ได้
ก็ทำไม..ทำไมอยู่นั่น
มันไม่ยอมรับความจริงว่าเขามีสิทธิ์เลือก
เลือกแล้วเขาทุกข์หรือเป็นยังไง
ก็ให้โอกาส แล้วเสนอทางเลือก
คำจำกัดความ
ยิ่งหาคำจำกัดความมากยิ่งคับแคบ
การเป็นก็เป็นอย่างที่มันเป็นนั่นแหละ
จึงเป็นทั้งหมด
ไม่ได้เป็นอยู่แค่ที่ไปจำกัดความเอาไว้
ของจริงมันก็แค่ "มันเป็นอย่างนั้นแหละ"
ท่านสรุปเอาไว้ว่า ตถตา
ทำให้เกิดความรู้สึกมีตัวมีตนได้ง่าย
แต่ว่ามันไม่ใช่ของจริง
เพราะมันเกิดจากเหตุปัจจัยมากมาย
เกิดแล้วจึงสำคัญผิด
ว่าตัวสำคัญ
อันที่จริงถ้าตัวสำคัญ
อันอื่นก็สำคัญหมด
เพราะครือๆ กัน
เท่าเทียมกันหมด
การเป็นก็เป็นอย่างที่มันเป็นนั่นแหละ
จึงเป็นทั้งหมด
ไม่ได้เป็นอยู่แค่ที่ไปจำกัดความเอาไว้
ของจริงมันก็แค่ "มันเป็นอย่างนั้นแหละ"
ท่านสรุปเอาไว้ว่า ตถตา
ทำให้เกิดความรู้สึกมีตัวมีตนได้ง่าย
แต่ว่ามันไม่ใช่ของจริง
เพราะมันเกิดจากเหตุปัจจัยมากมาย
เกิดแล้วจึงสำคัญผิด
ว่าตัวสำคัญ
อันที่จริงถ้าตัวสำคัญ
อันอื่นก็สำคัญหมด
เพราะครือๆ กัน
เท่าเทียมกันหมด
ไม่เชื่อมั่น ก็จะหาเหตุผลมากมาย
ส่วนมากเราก็ชอบดูถูกความสามารถของตนเอง
เวลาเราดูถูกความสามารถตนเอง
ก็จะพยายามถามหาเหตุผลมากมาย
จะไม่ทำชั่ว ก็โดยการไม่ทำมันนั่นแหละ
จะทำดี ก็โดยการทำมันนั่นแหละ
จะดูกายดูใจ ก็โดยการดูมันนั่นแหละ
จะไม่เพ้อเจ้อ ก็แค่ไม่เพ้อเจ้อมันนั่นแหละ
ไม่ใช่ว่า โอ๊ยฉันยังชั่วอยู่เลย
จะไม่ทำชั่วต้องทำยังไงดี 1 2 3 ...
เวลาเราดูถูกความสามารถตนเอง
ก็จะพยายามถามหาเหตุผลมากมาย
จะไม่ทำชั่ว ก็โดยการไม่ทำมันนั่นแหละ
จะทำดี ก็โดยการทำมันนั่นแหละ
จะดูกายดูใจ ก็โดยการดูมันนั่นแหละ
จะไม่เพ้อเจ้อ ก็แค่ไม่เพ้อเจ้อมันนั่นแหละ
ไม่ใช่ว่า โอ๊ยฉันยังชั่วอยู่เลย
จะไม่ทำชั่วต้องทำยังไงดี 1 2 3 ...
เราสามารถเลือกมีประสบการณ์ด้วยตัวเราเอง
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
คือมันอยู่ที่เราเลือก
เลือกที่จะมีประสบการณ์แบบไหน
การไม่เลือก
ก็คือการเลือกชนิดนึง
เป็นการเลือกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งต่างๆ ในโลก
ถ้าโลกดี เราก็สุข
ถ้าโลกไม่ดี เราก็ทุกข์
หมอดูบอกว่าดี ก็ดีตามหมอดู
หมอดูบอกไม่ดี ก็เดือดร้อนตามหมอดูไป
เป็นต้น
เรียกว่าเลือกแบบหลงๆ
แต่พระพุทธเจ้าท่านสอน
ให้มีสติสัมปชัญญะ
ให้เลือก อย่างมีสติสัมปชัญญะ
ถ้าจะทำกรรม
ก็เลือกที่จะละกรรมไม่ดีออกไป
ละเจตนาที่่ไม่ดีออกไป
เรียกว่า "เลือกมีประสบการณ์ได้"
พูดอีกอย่าง "ชีวิตอยู่ในกำมือเราเลย"
เราสามารถเลือกประสบการณ์ที่เราจะเจอได้
เลือกสิ่งที่เราจะเป็นได้
ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโลกก็ได้
พระพุทธเจ้าท่านชอบถามภิกษุ
เป็นมาหมดแล้ว ไปมาหมดแล้ว
สวรรค์ นรก พรหม
พร้อมหรือยังที่จะไปสู่ชีวิตที่สร้างสรรค์กว่า
ไม่ต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของสิ่งใดอีกต่อไป
บุคคล สถานที่ เหตุการณ์
นี่เรียกว่าเป็นสิ่งที่ได้มาแล้ว เป็นผลจากกรรมเก่า
มันอยู่ที่ว่า เราจะใช้สิ่งนี้ทำอะไร
จะสร้างประสบการณ์ขึ้นมาเองมั้ย?
หรือจะยอมให้โลกเสนอเข้ามา
แล้วเราก็คอยมีปฏิกิริยาไปกับมัน นี่ชอบ นี่ไม่ชอบ
กลับไปกลับมา ทำตามเขาไป
พวกนี้อยู่ที่เราเลือกทั้งสิ้น
การสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ
พัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ
ได้รับรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ประสบสิ่งใหม่ๆ ที่มันอิสระขึ้น
อันนี้เรียก สัจฉิกาตัพพธรรม
คือมันอยู่ที่เราเลือก
เลือกที่จะมีประสบการณ์แบบไหน
การไม่เลือก
ก็คือการเลือกชนิดนึง
เป็นการเลือกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งต่างๆ ในโลก
ถ้าโลกดี เราก็สุข
ถ้าโลกไม่ดี เราก็ทุกข์
หมอดูบอกว่าดี ก็ดีตามหมอดู
หมอดูบอกไม่ดี ก็เดือดร้อนตามหมอดูไป
เป็นต้น
เรียกว่าเลือกแบบหลงๆ
แต่พระพุทธเจ้าท่านสอน
ให้มีสติสัมปชัญญะ
ให้เลือก อย่างมีสติสัมปชัญญะ
ถ้าจะทำกรรม
ก็เลือกที่จะละกรรมไม่ดีออกไป
ละเจตนาที่่ไม่ดีออกไป
เรียกว่า "เลือกมีประสบการณ์ได้"
พูดอีกอย่าง "ชีวิตอยู่ในกำมือเราเลย"
เราสามารถเลือกประสบการณ์ที่เราจะเจอได้
เลือกสิ่งที่เราจะเป็นได้
ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโลกก็ได้
พระพุทธเจ้าท่านชอบถามภิกษุ
เป็นมาหมดแล้ว ไปมาหมดแล้ว
สวรรค์ นรก พรหม
พร้อมหรือยังที่จะไปสู่ชีวิตที่สร้างสรรค์กว่า
ไม่ต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของสิ่งใดอีกต่อไป
บุคคล สถานที่ เหตุการณ์
นี่เรียกว่าเป็นสิ่งที่ได้มาแล้ว เป็นผลจากกรรมเก่า
มันอยู่ที่ว่า เราจะใช้สิ่งนี้ทำอะไร
จะสร้างประสบการณ์ขึ้นมาเองมั้ย?
หรือจะยอมให้โลกเสนอเข้ามา
แล้วเราก็คอยมีปฏิกิริยาไปกับมัน นี่ชอบ นี่ไม่ชอบ
กลับไปกลับมา ทำตามเขาไป
พวกนี้อยู่ที่เราเลือกทั้งสิ้น
การสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ
พัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ
ได้รับรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ประสบสิ่งใหม่ๆ ที่มันอิสระขึ้น
อันนี้เรียก สัจฉิกาตัพพธรรม
เสนอทางเลือก
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของมัน
ความผิดความถูก ก้เป็นเพียงสิ่งในกระบวนการ
ไม่ได้มี "ผิด" "ถูก" จริงๆ
ที่เรียกว่ามีผิด มีถูก
กุศล อกุศลนี้
เรียกตามผลที่มันเกิดขึ้นเท่านั้น
เช่น ทำอันนี้
ผลได้ความสุข
เขาก็เรียกมันเป็นกุศล
ถ้าทำอันนี้
เดือดร้อนบีบคั้นตนเอง
เขาเรียกอกุศล
เรียกตามการเปรียบเทียบในทางโลกเท่านั้นเอง
แต่ที่จริงมันก็เป็นธรรมเหมือนกันล้วนๆ
ไม่ได้มีตัวมีตน
เกิดตามเหตุตามปัจจัย
แต่ละคนก็เลือกด้วยตัวของเขาเอง
เราไม่มีสิทธิ์ไปทำอะไรเขา
เรามีสิทธิ์แค่ เฝ้าดูเขาเลือก
แต่ละคนเขามีสิทธิเลือกของเขา
ต้องให้โอกาส
เลือกแล้วผลเป็นทุกข์
เราก็ค่อยเสนอทางเลือก
มันมีอีกทาง
เป็นแบบนี้นะ
แต่เราชอบไปมีตัวตน
พาลไปเกลียดเขา
แต่จริงๆ เราไม่มีสิทธิ์ไปเกลียดใคร
เขาก็มีสิทธิ์เลือกของเขา
ก็เขาไม่ดี
เราเลยรู้สึกดี
ก็น่าขอบคุณเขานะ 555
จริงๆ มันก็สมบูรณ์แบบในแบบที่เขาเลือก
คือกรรมมันเลือก
สัตว์ทั้งหลายก็เป็นไปตามกรรม
ก็คือ เขาเลือกเอง
เขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว
เราก็ทำได้แค่ดูเขาเลือก
เราก็เสนอทางเลือกไปอีกว่า
ถ้าเลือกแบบนั้นแล้วมันทุกข์นะ
เป็นไงบ้าง ทุกข์พอรึยัง
ถ้าพอแล้วก็ อ่ะ มีทางเลือกให้
ออกจากโลกไปซะ
อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็เป็นผู้บอกทาง
ฉะนั้น เราก็ต้องมาศึกษาก่อน
ว่าอะไรเป็นทาง
เราอาจคอยถามก็ได้
"ทุกข์พอรึยังเธอ"
"วนเวียนพอรึยังเธอ"
"อยากสบายกว่านี้มั้ยเธอ อย่างนี้สิ"
ความผิดความถูก ก้เป็นเพียงสิ่งในกระบวนการ
ไม่ได้มี "ผิด" "ถูก" จริงๆ
ที่เรียกว่ามีผิด มีถูก
กุศล อกุศลนี้
เรียกตามผลที่มันเกิดขึ้นเท่านั้น
เช่น ทำอันนี้
ผลได้ความสุข
เขาก็เรียกมันเป็นกุศล
ถ้าทำอันนี้
เดือดร้อนบีบคั้นตนเอง
เขาเรียกอกุศล
เรียกตามการเปรียบเทียบในทางโลกเท่านั้นเอง
แต่ที่จริงมันก็เป็นธรรมเหมือนกันล้วนๆ
ไม่ได้มีตัวมีตน
เกิดตามเหตุตามปัจจัย
แต่ละคนก็เลือกด้วยตัวของเขาเอง
เราไม่มีสิทธิ์ไปทำอะไรเขา
เรามีสิทธิ์แค่ เฝ้าดูเขาเลือก
แต่ละคนเขามีสิทธิเลือกของเขา
ต้องให้โอกาส
เลือกแล้วผลเป็นทุกข์
เราก็ค่อยเสนอทางเลือก
มันมีอีกทาง
เป็นแบบนี้นะ
แต่เราชอบไปมีตัวตน
พาลไปเกลียดเขา
แต่จริงๆ เราไม่มีสิทธิ์ไปเกลียดใคร
เขาก็มีสิทธิ์เลือกของเขา
ก็เขาไม่ดี
เราเลยรู้สึกดี
ก็น่าขอบคุณเขานะ 555
จริงๆ มันก็สมบูรณ์แบบในแบบที่เขาเลือก
คือกรรมมันเลือก
สัตว์ทั้งหลายก็เป็นไปตามกรรม
ก็คือ เขาเลือกเอง
เขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว
เราก็ทำได้แค่ดูเขาเลือก
เราก็เสนอทางเลือกไปอีกว่า
ถ้าเลือกแบบนั้นแล้วมันทุกข์นะ
เป็นไงบ้าง ทุกข์พอรึยัง
ถ้าพอแล้วก็ อ่ะ มีทางเลือกให้
ออกจากโลกไปซะ
อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็เป็นผู้บอกทาง
ฉะนั้น เราก็ต้องมาศึกษาก่อน
ว่าอะไรเป็นทาง
เราอาจคอยถามก็ได้
"ทุกข์พอรึยังเธอ"
"วนเวียนพอรึยังเธอ"
"อยากสบายกว่านี้มั้ยเธอ อย่างนี้สิ"
มายากลของ "เรา"
มองกระจก
รูปภายนอก
กระทบกับตา (เพราะตามันยังดีอยู่)
เกิดการมองเห็นขึ้น
ก็หลงยึดมั่นถึือมั่นไป เข้าใจผิดไป
มั่วไปหมด
โอ๊ยยยยยยย เจ็บขา
เรามาหมดเลย 5555
ความเจ็บเกิดที่ขา
อาศัยขาเกิด
ขาเป็นสมมติ
ที่จริงเป็นรูป
ความเจ็บเป็นเวทนา
สิ่งที่รู้ความเจ็บเป็นจิต
เรายึดมั่วหมดเลย
ยึดรวบเหมาเลย "เราเจ็บ"
รูปภายนอก
กระทบกับตา (เพราะตามันยังดีอยู่)
เกิดการมองเห็นขึ้น
ก็หลงยึดมั่นถึือมั่นไป เข้าใจผิดไป
มั่วไปหมด
โอ๊ยยยยยยย เจ็บขา
เรามาหมดเลย 5555
ความเจ็บเกิดที่ขา
อาศัยขาเกิด
ขาเป็นสมมติ
ที่จริงเป็นรูป
ความเจ็บเป็นเวทนา
สิ่งที่รู้ความเจ็บเป็นจิต
เรายึดมั่วหมดเลย
ยึดรวบเหมาเลย "เราเจ็บ"
ย่อมพิจารณาเห็นว่าเรามีรูป
ผู้ไม่ได้รับคำแนะนำในธรรมของสัปบุรุษ
ย่อมพิจารณาเห็นว่าเรามีรูป
เห็นอย่างนี้ได้ก็เพราะมันแยกกัน
"รูป" อันนึง
"เรา" อันนึง
อันที่จริง
รูป ก็เป็นรูป
ความรู้สึกเป็นเรา ก็เป็นความรู้สึกเป็นเรา
ไม่ได้เกี่ยวกับมี/ไม่มี
ผู้ไม่ได้รับคำแนะนำในธรรมของสัปบุรุษ
ย่อมพิจารณาเห็นรูปในตัวเรา (อัตตนิ วา รูปัง)
ผู้ไม่ได้รับคำแนะนำในธรรมของสัปบุรุษ
ย่อมพิจารณาเห็นตัวเราในรูป (รูปัสมิง วา อัตตานัง)
ลองไปส่องกระจกดู หรือนั่งดูรูปเก่าๆ
นั่น รูปเป็นรูป
มี "เรา" ซ่อนอยู่ในรูปนี้
คำว่า "เรา"นี้
อาจหมายถึง สัญญาเก่าๆ
"เรา" อาจจะหมายถึง วิญญาณ
หรืออาจจะหมายถึงอะไรก็ได้
แต่จริงๆ ทุกสิ่งมันเกิดแล้วมันก็ดับ
แต่เรานี้ก็ชอบเห็นอะไร แล้วก็ไปมี "เรา" อยู่กับอันนั้น
ย่อมพิจารณาเห็นว่าเรามีรูป
เห็นอย่างนี้ได้ก็เพราะมันแยกกัน
"รูป" อันนึง
"เรา" อันนึง
อันที่จริง
รูป ก็เป็นรูป
ความรู้สึกเป็นเรา ก็เป็นความรู้สึกเป็นเรา
ไม่ได้เกี่ยวกับมี/ไม่มี
ผู้ไม่ได้รับคำแนะนำในธรรมของสัปบุรุษ
ย่อมพิจารณาเห็นรูปในตัวเรา (อัตตนิ วา รูปัง)
ผู้ไม่ได้รับคำแนะนำในธรรมของสัปบุรุษ
ย่อมพิจารณาเห็นตัวเราในรูป (รูปัสมิง วา อัตตานัง)
ลองไปส่องกระจกดู หรือนั่งดูรูปเก่าๆ
นั่น รูปเป็นรูป
มี "เรา" ซ่อนอยู่ในรูปนี้
คำว่า "เรา"นี้
อาจหมายถึง สัญญาเก่าๆ
"เรา" อาจจะหมายถึง วิญญาณ
หรืออาจจะหมายถึงอะไรก็ได้
แต่จริงๆ ทุกสิ่งมันเกิดแล้วมันก็ดับ
แต่เรานี้ก็ชอบเห็นอะไร แล้วก็ไปมี "เรา" อยู่กับอันนั้น
ย่อมพิจารณาเห็นรูปว่าเป็นตัวตน
ผู้ไม่ได้รับคำแนะนำในธรรมของสัปบุรุษ
ย่อมตามเห็นรูปว่าเป็นตัวตน
แท้ที่จริงรูปมันก็เป็นรูปนั่นแหละ
เป็นสิ่งหนึ่งที่มันเกิดขึ้น
ไม่ได้เป็นอะไร
เป็นอย่างที่มันเป็น
เกิดแล้วก็ดับไป
ความรู้สึกมีตัวมีตน
มันก็เป็นความรู้สึกมีตัวมีตน
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
แต่เราก็เอา 2 อันมาประกอบกัน
"รูป" เป็น "ตัวเรา"
อันที่จริงมันก็คนละอัน
รูปก็ส่วนรูป
ความรู้สึกเป็นตัวเรามันก็ความรู้สึกเป็นตัวเรา
เกิดแล้วก็ดับไป
หรืออะไรอื่นๆ ที่มันเกิด
มันก็เป็นอันนั้นๆ ที่มันเกิด
เกิดแล้วก็ดับไป
ไม่ได้มีอะไร
แต่เราแยกมันเป็นส่วนๆ
มีรูป มีเรา มีเราไปยึดรูป
อันที่จริงมันก็เป็นอันๆ ไป
สิ้งนั้นก็เป็นสิ่งนั้น
แต่ละอันก็ไม่ได้เป็นอะไรอื่น นอกไปจากที่มันเป็น
ทำไมมันเป็นสิ่งนั้น
ก็เพราะมันไม่เป็นสิ่งอื่น
มันเกิดแล้วมันก็ดับ
คนไม่ได้สดับ "ก็เห็นรูปเป็นตัวเรา"
คือแยกตัวเราออกมาจากรูป
พอแยกอย่างนี้ ก็แยกออกมาจากคนอื่น
แยกมีสิ่งนั้นสิ่งนี้
เรามีนั่น เรามีนี่
อันที่จริง "ความรู้สึกว่าเป็นเรา" ก็เกิดแล้วก็ดับ
"ความรู้สึกว่าเรามีนี่" ก็เกิดแล้วก็ดับ
ไม่มีอะไรคงทน
แต่อันนี้แยก "เรา" ออกมา
มี "เรา" แบบคงทนอยู่คนนึง
แยกสิ่งของออกมา
"เรา" มีนั่น "เรา" มีนี่
ซับซ้อน
ย่อมตามเห็นรูปว่าเป็นตัวตน
แท้ที่จริงรูปมันก็เป็นรูปนั่นแหละ
เป็นสิ่งหนึ่งที่มันเกิดขึ้น
ไม่ได้เป็นอะไร
เป็นอย่างที่มันเป็น
เกิดแล้วก็ดับไป
ความรู้สึกมีตัวมีตน
มันก็เป็นความรู้สึกมีตัวมีตน
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
แต่เราก็เอา 2 อันมาประกอบกัน
"รูป" เป็น "ตัวเรา"
อันที่จริงมันก็คนละอัน
รูปก็ส่วนรูป
ความรู้สึกเป็นตัวเรามันก็ความรู้สึกเป็นตัวเรา
เกิดแล้วก็ดับไป
หรืออะไรอื่นๆ ที่มันเกิด
มันก็เป็นอันนั้นๆ ที่มันเกิด
เกิดแล้วก็ดับไป
ไม่ได้มีอะไร
แต่เราแยกมันเป็นส่วนๆ
มีรูป มีเรา มีเราไปยึดรูป
อันที่จริงมันก็เป็นอันๆ ไป
- รูปก็เป็นรูป
- ความรู้สึกว่าเป็นเราก็ความรู้สึกว่าเป็นเรา
- ความยึดก็ความยึด
- ความคิดก็เป็นความคิด
สิ้งนั้นก็เป็นสิ่งนั้น
แต่ละอันก็ไม่ได้เป็นอะไรอื่น นอกไปจากที่มันเป็น
ทำไมมันเป็นสิ่งนั้น
ก็เพราะมันไม่เป็นสิ่งอื่น
มันเกิดแล้วมันก็ดับ
คนไม่ได้สดับ "ก็เห็นรูปเป็นตัวเรา"
คือแยกตัวเราออกมาจากรูป
พอแยกอย่างนี้ ก็แยกออกมาจากคนอื่น
แยกมีสิ่งนั้นสิ่งนี้
เรามีนั่น เรามีนี่
อันที่จริง "ความรู้สึกว่าเป็นเรา" ก็เกิดแล้วก็ดับ
"ความรู้สึกว่าเรามีนี่" ก็เกิดแล้วก็ดับ
ไม่มีอะไรคงทน
แต่อันนี้แยก "เรา" ออกมา
มี "เรา" แบบคงทนอยู่คนนึง
แยกสิ่งของออกมา
"เรา" มีนั่น "เรา" มีนี่
ซับซ้อน
โยนิ
เมื่อมีความรู้ตัว
มีสติสัมปชัญญะ
ก็เห็น
อ้าวกิเลสเกิดขึ้น
มาดูเหตุมัน (โยนิ)
เกิดจากอะไร
อะไรทำให้เป็นทุกข์
ทุกข์เกิดจากอะไร
เมื่อฉลาด
ไม่ทันมอง
ก็ไปยึด
ยึดก็ทุกข์
ไม่เท่าทันว่ามันปรากฏขึ้นเป็นครั้งๆ เท่านั้น
ไม่มาสนใจผู้สร้างโลก
ไปสนใจในโลก
หลงไปในโลกเสียแล้ว
มีสติสัมปชัญญะ
ก็เห็น
อ้าวกิเลสเกิดขึ้น
มาดูเหตุมัน (โยนิ)
เกิดจากอะไร
อะไรทำให้เป็นทุกข์
ทุกข์เกิดจากอะไร
เมื่อฉลาด
ไม่ทันมอง
ก็ไปยึด
ยึดก็ทุกข์
ไม่เท่าทันว่ามันปรากฏขึ้นเป็นครั้งๆ เท่านั้น
ไม่มาสนใจผู้สร้างโลก
ไปสนใจในโลก
หลงไปในโลกเสียแล้ว
อย่าเอาทัศนคติ อุดมคติมาครอบงำ
อย่าเอาทัศนคติ อุดมคติมาครอบงำ
เพราะมันเกิด...มันจึงเกิด
เพราะมันคิด...มันจึงคิด
เพราะมันงง...มันจึงงง
ถ้ายังมีความคิด คำพูด การกระทำอะไรที่หมิ่นเหม่ต่อการผิดศีล
ค่อยๆ เห็น
ค่อยๆ ละ
ดูตนเองเป็นหลัก
เวลามันเกิดขึ้น ก็แค่ละเจตนาไม่ดี
เมื่อละเจตนาไม่ดี ความเป็นทุกข์ก็ละไป
ความเพียรถูกคืออย่างนี้
เพราะมันเกิด...มันจึงเกิด
เพราะมันคิด...มันจึงคิด
เพราะมันงง...มันจึงงง
ถ้ายังมีความคิด คำพูด การกระทำอะไรที่หมิ่นเหม่ต่อการผิดศีล
ค่อยๆ เห็น
ค่อยๆ ละ
ดูตนเองเป็นหลัก
เวลามันเกิดขึ้น ก็แค่ละเจตนาไม่ดี
เมื่อละเจตนาไม่ดี ความเป็นทุกข์ก็ละไป
ความเพียรถูกคืออย่างนี้
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560
สันเตนะโสมะวิธินา
สมณนี่ทำเราท้อง!!!
เรารู้กันสองคนนั่นแหละ...
ถ้าคนทั่วไปคง "โอ๊ยไม่ใช่ ผมไม่ได้ท้ามมม"
สะดุ้งไปทั่ว แม้ไม่ได้ทำ
เรารู้กันสองคนนั่นแหละ...
ถ้าคนทั่วไปคง "โอ๊ยไม่ใช่ ผมไม่ได้ท้ามมม"
สะดุ้งไปทั่ว แม้ไม่ได้ทำ
ท่านเทียบไว้
ถ้าตาเห็นรูป
แล้วหลงไปกับมัน
ควักทิ้งเสียดีกว่า
ควักทิ้งนี้เจ็บตาเพียงชาตินี้
แต่เมื่อหลงไปกับรูป
จะต้องทุกข์ไปกับมันอีกเท่าไรไม่ทราบได้
แล้วหลงไปกับมัน
ควักทิ้งเสียดีกว่า
ควักทิ้งนี้เจ็บตาเพียงชาตินี้
แต่เมื่อหลงไปกับรูป
จะต้องทุกข์ไปกับมันอีกเท่าไรไม่ทราบได้
อัตตา
ความเข้าใจผิดที่แยกตัวเองออกมาจาก สัพเพ สังขารา
แยกตัวออกมาจากความเป็นทั้งหมด
จำกัดตัวเองออกมาจากสิ่งทั้งปวง
ทั้งๆ ที่คำว่าตัวเองนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในสิ่งทั้งปวงนั่นแหละ
แต่จะบอกว่าเป็นส่วนหนึ่งมันก็ยังไม่ใช่
เพราะมันจะเหมือนว่า "แยก" ออกมา
แท้ที่จริง "ตัวเรา" มันก็เป็น "สิ่งทั้งปวง" โดยตัวมันเองนั่นแหละ
แต่เราเข้าใจผิด
เข้าใจผิดจึงยึด
ยึดแล้วก็แยกมันออกมา
ไม่เข้าใจว่ามันเองก็ "สัพเพ สังขาราอนิจจา" เหมือนกัน
ไม่เข้าใจอย่างนี้
แยกออกมาอยู่เดี่ยวๆ
ทั้งๆ ที่ ไม่มีสิ่งใดสามารถอยู่เดี่ยวๆ ได้
เพราะว่าที่มันเกิด
มันไม่ได้เกิดเอง
ไม่ได้เกิดลอยๆ
แต่เกิดจากเหตุตั้งหลากหลาย
มันเข้าใจผิด
เมื่อเข้าใจผิดก็เกิดตัณหาอุปาทาน
เมื่อยึดจำกัดตนเอง
ก็จะบีบคั้นตนเอง
กลายเป็นความเครียด
ความวิตกกังวล
เพราะพยายามรักษาสิ่งที่รักษาไม่ได้
พยายามยึดสิ่งที่ยึดไม่ได้
แยกตัวออกมาจากความเป็นทั้งหมด
จำกัดตัวเองออกมาจากสิ่งทั้งปวง
ทั้งๆ ที่คำว่าตัวเองนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในสิ่งทั้งปวงนั่นแหละ
แต่จะบอกว่าเป็นส่วนหนึ่งมันก็ยังไม่ใช่
เพราะมันจะเหมือนว่า "แยก" ออกมา
แท้ที่จริง "ตัวเรา" มันก็เป็น "สิ่งทั้งปวง" โดยตัวมันเองนั่นแหละ
แต่เราเข้าใจผิด
เข้าใจผิดจึงยึด
ยึดแล้วก็แยกมันออกมา
ไม่เข้าใจว่ามันเองก็ "สัพเพ สังขาราอนิจจา" เหมือนกัน
ไม่เข้าใจอย่างนี้
แยกออกมาอยู่เดี่ยวๆ
ทั้งๆ ที่ ไม่มีสิ่งใดสามารถอยู่เดี่ยวๆ ได้
เพราะว่าที่มันเกิด
มันไม่ได้เกิดเอง
ไม่ได้เกิดลอยๆ
แต่เกิดจากเหตุตั้งหลากหลาย
มันเข้าใจผิด
เมื่อเข้าใจผิดก็เกิดตัณหาอุปาทาน
เมื่อยึดจำกัดตนเอง
ก็จะบีบคั้นตนเอง
กลายเป็นความเครียด
ความวิตกกังวล
เพราะพยายามรักษาสิ่งที่รักษาไม่ได้
พยายามยึดสิ่งที่ยึดไม่ได้
ขันธ์ 5
รูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร
วิญญาณ
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งๆ
หูนี่ยังไม่จริงเลย
เกิดๆ ดับๆ
ไม่ได้ยินตลอดสักหน่อย
สิ่งที่ได้ยินได้ฟังจะไปจริงจังอะไร
จะพากันไปหาความจริงจากความคิด
จากอุดมคติต่างๆ
ขนาดสิ่งที่พาไปคิดยังไม่จริงเลย
สิ่งที่มาจากมันจะไปจริงอะไร
เวทนา
สัญญา
สังขาร
วิญญาณ
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งๆ
หูนี่ยังไม่จริงเลย
เกิดๆ ดับๆ
ไม่ได้ยินตลอดสักหน่อย
สิ่งที่ได้ยินได้ฟังจะไปจริงจังอะไร
จะพากันไปหาความจริงจากความคิด
จากอุดมคติต่างๆ
ขนาดสิ่งที่พาไปคิดยังไม่จริงเลย
สิ่งที่มาจากมันจะไปจริงอะไร
ลูกที่ดี เพื่อนที่ดี
เป็นลูกที่ดี
ทำให้พ่อแม่เป็นพึ่งของตนเองได้
เป็นเพื่อนที่ดี
ทำให้เพื่อนเป็นพึ่งของตนเองได้
เป็นครูที่ดี
ทำให้ลูกศิษย์เป็นที่พึ่งของตนเองได้
ทำให้พ่อแม่เป็นพึ่งของตนเองได้
เป็นเพื่อนที่ดี
ทำให้เพื่อนเป็นพึ่งของตนเองได้
เป็นครูที่ดี
ทำให้ลูกศิษย์เป็นที่พึ่งของตนเองได้
การช่วยเหลือตนเอง การมีตนเองเป็นที่พึ่ง
อัตทีปา
การมีตนเองเป็นเกาะ
การช่วยเหลือตนเอง
หมายถึง การช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากความหลง
ท่านให้มีตนเองเป็นที่พึ่ง
อย่าเอาอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย
แม้พระรัตนตรัยก็ไม่เอ่ยถึง
เพราะเมื่อตนพึ่งตนได้
ตนแลคือรัตนตรัย
บางคนตกเป็นทาสความคาดหวังคนอื่น
เอาความคาดหวังคนอื่นเป็นที่พึ่ง
บางคนตกเป็นทาสความคาดหวังของตนเอง
เอาความคาดหวังของตนเองเป็นที่พึ่ง
การมีตนเองเป็นเกาะ
การช่วยเหลือตนเอง
หมายถึง การช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากความหลง
ท่านให้มีตนเองเป็นที่พึ่ง
อย่าเอาอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย
แม้พระรัตนตรัยก็ไม่เอ่ยถึง
เพราะเมื่อตนพึ่งตนได้
ตนแลคือรัตนตรัย
บางคนตกเป็นทาสความคาดหวังคนอื่น
เอาความคาดหวังคนอื่นเป็นที่พึ่ง
บางคนตกเป็นทาสความคาดหวังของตนเอง
เอาความคาดหวังของตนเองเป็นที่พึ่ง
วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ชีวิต VS ไม่มีชีวิต
ธรรมชาติของชีวิตประกอบขึ้นด้วยความขัดแย้ง
คนมีญาณจะมองการเกิดและการตายเป็นเงื่อนไขกัน
เป็นปกติ ธรรมดาของมันอย่างนั้น
ถ้าไม่อยากเสียเงินไป
ก็อย่าได้เงินมา
ไม่อยากเสียสามี
ก็ไม่ต้องมีสามี
คนมีญาณจะมองเห็นอย่างนี้
ว่าถ้าได้มาแล้ว
ย่อมเสียแน่นอน จะเสียท่าไหนไม่รู้
แต่เสียแน่นอน
จะไม่เสียนั้นไม่มี
การจะเลือกเอาแค่อย่างใดอย่างนึง
จะเอาแต่ได้ ไม่เอาเสีย
อันนี้คือ เลือกทางตาย
ไม่ได้เลือกทางมีชีวิต
บางคนอยากจะกล้าหาญอย่างเดียว
ไม่อยากกลัว
อันที่จริงชีวิตมันก็กล้าบ้างบางเรื่อง
กลัวบ้างบางเรื่อง
เศร้าบ้างบางเรื่อง
ดีใจบ้างบางเรื่อง
พวกนี้เป็นธรรมดา
พวกนี้คือชีวิต ความขัดแย้งมีเป็นปกติ
ถ้าไม่อยากมีความรู้สึกเลย
ไปเป็นโต๊ะก็น่าจะดี
เลือกเอาแต่สุขอย่างเดียว ไม่เอาทุกข์
วันหลังลองเลือก หายใจเข้า ไม่ต้องออก
กินข้าวกินอย่างเดียว ห้ามเอาออก อย่าหยุดนะ
นั่งอย่างเดียวเลย
อันนี้เป็นการเลือกอย่างอวิชชา เลือกอย่างนี้มันเป็นชีวิตขึ้นมาไม่ได้
เลือกเอาแต่ใจสบาย ไม่เครียดเลย
เลือกเอาแต่สงบ ไม่ฟุ้งซ่านเลย
พวกนี้มันคู่กันอยู่ ความสงบจะมีคุณค่าอะไร ถ้าไม่มีความฟุ้งซ่าน
ในโลกเวลาเลือกก็เลือกทั้งสองอัน
เวลาปล่อยก็ปล่อยทั้งสองอัน
มันเป็นของพอๆ กัน
ต้องฟุ้งซ่านเป็น จึงจะสงบเป็น
บางคนไม่สงบสักที เพราะไม่กล้าปล่อยให้ใจฟุ้งซ่าน
มันฟุ้งเต็มที่มันก็สงบเอง
แต่เคยเข้าใจอันนี้บ้างหรือเปล่า
ญาณคือการยอมรับในเงื่อนไขอันนี้
เงือนไขในชีวิตที่มันธรรมดา
มาเรียนรู้ความจริงของชีวิต
การปฏิบัติธรรมไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะตายนะ
ปฏิบัติให้มันมีชีวิต
ความไม่รู้นี่อยู่ในหนทางแห่งความตาย
ธรรมนี่อยู่ในหนทางแห่งความมีชีวิต
คนมีญาณจะมองการเกิดและการตายเป็นเงื่อนไขกัน
เป็นปกติ ธรรมดาของมันอย่างนั้น
ถ้าไม่อยากเสียเงินไป
ก็อย่าได้เงินมา
ไม่อยากเสียสามี
ก็ไม่ต้องมีสามี
คนมีญาณจะมองเห็นอย่างนี้
ว่าถ้าได้มาแล้ว
ย่อมเสียแน่นอน จะเสียท่าไหนไม่รู้
แต่เสียแน่นอน
จะไม่เสียนั้นไม่มี
การจะเลือกเอาแค่อย่างใดอย่างนึง
จะเอาแต่ได้ ไม่เอาเสีย
อันนี้คือ เลือกทางตาย
ไม่ได้เลือกทางมีชีวิต
บางคนอยากจะกล้าหาญอย่างเดียว
ไม่อยากกลัว
อันที่จริงชีวิตมันก็กล้าบ้างบางเรื่อง
กลัวบ้างบางเรื่อง
เศร้าบ้างบางเรื่อง
ดีใจบ้างบางเรื่อง
พวกนี้เป็นธรรมดา
พวกนี้คือชีวิต ความขัดแย้งมีเป็นปกติ
ถ้าไม่อยากมีความรู้สึกเลย
ไปเป็นโต๊ะก็น่าจะดี
เลือกเอาแต่สุขอย่างเดียว ไม่เอาทุกข์
วันหลังลองเลือก หายใจเข้า ไม่ต้องออก
กินข้าวกินอย่างเดียว ห้ามเอาออก อย่าหยุดนะ
นั่งอย่างเดียวเลย
อันนี้เป็นการเลือกอย่างอวิชชา เลือกอย่างนี้มันเป็นชีวิตขึ้นมาไม่ได้
เลือกเอาแต่ใจสบาย ไม่เครียดเลย
เลือกเอาแต่สงบ ไม่ฟุ้งซ่านเลย
พวกนี้มันคู่กันอยู่ ความสงบจะมีคุณค่าอะไร ถ้าไม่มีความฟุ้งซ่าน
ในโลกเวลาเลือกก็เลือกทั้งสองอัน
เวลาปล่อยก็ปล่อยทั้งสองอัน
มันเป็นของพอๆ กัน
ต้องฟุ้งซ่านเป็น จึงจะสงบเป็น
บางคนไม่สงบสักที เพราะไม่กล้าปล่อยให้ใจฟุ้งซ่าน
มันฟุ้งเต็มที่มันก็สงบเอง
แต่เคยเข้าใจอันนี้บ้างหรือเปล่า
ญาณคือการยอมรับในเงื่อนไขอันนี้
เงือนไขในชีวิตที่มันธรรมดา
มาเรียนรู้ความจริงของชีวิต
การปฏิบัติธรรมไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะตายนะ
ปฏิบัติให้มันมีชีวิต
ความไม่รู้นี่อยู่ในหนทางแห่งความตาย
ธรรมนี่อยู่ในหนทางแห่งความมีชีวิต
กิเลสเกิดกิเลสตาย
กิเลสเกิดแล้ว
ไม่มีอาหารก็แห้งตายเหมือนต้นไม้
การให้อาหารมันก็เช่น...
อยากได้อันนี้
ไปเดินช้อปปิ้งดูจิตละกัน
ไปคุยกับเพื่อนคอเดียวกันสักหน่อย
เผื่อจะหายอยาก
อาหารกิเลสคือกรรมนี่แหละ
กายกรรม
วจีกรรม
มโนกรรม
สนองมันไปเรื่อยๆ
ตัวมันเองไม่ได้มีกำลังอะไรมาก
ถ้าไม่ไปให้อาหารเดี๋ยวก็ตายไปเอง
ไม่มีอาหารก็แห้งตายเหมือนต้นไม้
การให้อาหารมันก็เช่น...
อยากได้อันนี้
ไปเดินช้อปปิ้งดูจิตละกัน
ไปคุยกับเพื่อนคอเดียวกันสักหน่อย
เผื่อจะหายอยาก
อาหารกิเลสคือกรรมนี่แหละ
กายกรรม
วจีกรรม
มโนกรรม
สนองมันไปเรื่อยๆ
ตัวมันเองไม่ได้มีกำลังอะไรมาก
ถ้าไม่ไปให้อาหารเดี๋ยวก็ตายไปเอง
วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ศีล VS ธรรมะชนะอธรรม
"ธรรมะชนะอธรรม"
ดูที่เจตนาจะไปเบียดเบียนมั้ย
ตัวคำพูดนี้มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
เช่น เกิดแล้วก็ต้องตาย
ธรรมะ : เกิดแล้วต้องดับอยู่แล้ว (พูดงี้ก็จริงเท่านั้น ชนะแหงๆ) มันเป็นเรื่องปกติ
แต่ถ้าเรามีเจตนาไม่ดี
คิดจะไปเบียดเบียนเขาโดยใช้คำนี้
คิดว่า "เราเป็นธรรม" และ "เขาเป็นอธรรม"
เราชอบคิดว่าความยุติธรรมเป็นไปในแบบ
สมมติเขาด่าเรา
เราย่อมมีความชอบธรรมที่จะด่าคืน
แต่ธรรมคือ เขาด่ามา เราต้องหวังดีต่อเขา
ต้องเมตตาถ่ายเดียว จึงจะถูกธรรม
ถ้าเมตตาไม่ได้ก็ให้อภัย ทำได้แค่สองอย่าง
ถ้าทำเกินกว่านี้ เช่น ไปผูกโกรธ ไปผูกพยาบาท
อันนี้ผิดธรรม
เขาด่ามาต้องหวังดีต่อเขา (เขาอุตส่าห์ปวดคอ) 5555
ดูที่เจตนาจะไปเบียดเบียนมั้ย
ตัวคำพูดนี้มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
เช่น เกิดแล้วก็ต้องตาย
ธรรมะ : เกิดแล้วต้องดับอยู่แล้ว (พูดงี้ก็จริงเท่านั้น ชนะแหงๆ) มันเป็นเรื่องปกติ
แต่ถ้าเรามีเจตนาไม่ดี
คิดจะไปเบียดเบียนเขาโดยใช้คำนี้
คิดว่า "เราเป็นธรรม" และ "เขาเป็นอธรรม"
เราชอบคิดว่าความยุติธรรมเป็นไปในแบบ
สมมติเขาด่าเรา
เราย่อมมีความชอบธรรมที่จะด่าคืน
แต่ธรรมคือ เขาด่ามา เราต้องหวังดีต่อเขา
ต้องเมตตาถ่ายเดียว จึงจะถูกธรรม
ถ้าเมตตาไม่ได้ก็ให้อภัย ทำได้แค่สองอย่าง
ถ้าทำเกินกว่านี้ เช่น ไปผูกโกรธ ไปผูกพยาบาท
อันนี้ผิดธรรม
เขาด่ามาต้องหวังดีต่อเขา (เขาอุตส่าห์ปวดคอ) 5555
ระดับการฝึกศีล : ปกติ และไม่ปกติ
เบื้องต้นก็เริ่มจากการสมาทาน
คือ ตั้งใจเอาไว้ก่อน
สมาทานนี้ก็ดี
แต่มันไม่แน่ไม่นอน
อยากรู้ว่าสมาทานแล้วได้ผลดีแค่ไหน
มาดูตอนกระทบอารมณ์
ถ้ากระทบแล้ว
สามารถรักษาเจตนาที่ดีเอาไว้ได้
ถือว่าใช้ได้
เวลามีคนด่า
โกรธได้ปกติ
แต่ต้องรักษาเจตนาเอาไว้ว่า
อย่าไปทำร้ายเขา
อย่าไปอยากให้เขาเสียประโยชน์
สามารถไม่ชอบเขาได้
แต่ไม่ใช่ไปดีใจเวลาเขาเสียประโยชน์
อันนี้เป็นอาการ "เกินกรรม"
คือเขาก็เป็นไปตามกรรมนั่นแหละ เราไปสะใจนี่มัน "เกิน"
เรามักจะรักษาเจตนาพวกนี้ไม่ได้
เพราะใจมันไม่มีศีล
เวลาเห็นคนไม่ดี โดนจับเข้าคุกก็ "โอ้ย สมควรแล้ว สมน้ำหน้ามัน"
อันนี้เรียกว่าใจไม่มีศีล
เวลาได้กำไรมา
คนอื่นจะเสียผลประโยชน์ก็ไม่เป็นไร
อันนี้เรียกใจไม่มีศีล
เวลาไปเรียนอะไรมา
ก็มี "เราถูก" "เขาผิด"
อันนี้ก็ใจไม่มีศีล เรียกว่าเบียดเบียนผู้อื่น
จะรักจะชอบสามีคนอื่นก็ได้
แต่ต้องไม่คิดไปแย่งเขามา
ทำการงานอยู่ แล้วบอกความจริงไม่หมด
เพื่อให้เราได้รับประโยชน์เพิ่มเติมขึ้นมา
อันนี้ก็ผิดศีล
ใครมาทำไม่ดีกับเรา
ก็โกรธเป็นธรรมดา
แต่อย่าไปมีเจตนาทำร้าย
อย่าไปมีเจตนาเบียดเบียน
ต้องมีเจตนาให้เขาพบความสุข
อย่ามีเจตนาให้เขาเสียประโยชน์
ชอบไม่ชอบเป็นเรื่องปกติ
รักไม่รักเป็นเรื่องปกติ
โกรธ ก็เป็นเรื่องปกติ
แต่การเห็นคนอื่นฉิบหายแล้วดีใจ (อันนี้ผิดปกติ - เรียกว่าผิดศีล)
เห็นใครแล้วชอบ อันนี้ปกติ
แต่เจตนาที่จะไปหลอกเขา (อันนี้ผิดปกติ)
เจตนาที่จะให้เขามาหลงเรา ชอบเรา (อันนี้ผิดปกติ)
ทำท่าเป็นให้โอกาส (อันนี้ผิดปกติ)
อาการไม่ปกตินี้คือ
การที่มีเจตนาแอบแฝงอยู่
ทำให้เกิดการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ
การกระทำที่ออกมาจากเจตนาไม่ดี เรียกว่า "ทุจริต"
ทุจริตทางใจ เช่น
คิดให้เขาเสียประโยชน์
คิดดีใจเมื่อเขาเสียประโยชน์จริง
รัก - ชัง - ชอบ - เกลียด เป็นธรรมชาติธรรมดาทั่วไป
ถ้าเราอยู่กับมันได้
เราก็จะเป็นปกติ
เรียกว่าเป็น "คนมีศีล"
คือ ไม่เสียเจตนาไป
สิ่งที่จะรักษาเจตนาเวลาที่กระทบอารมณ์ต่างๆ นี้คือ "สติ"
พอกิเลสตัวใหญ่ไปแล้ว ถูกครอบงำแล้ว
ก็เสียศีลไป คำพูดและการกระทำก็ออกมาตามนั้น
คนที่จะไม่โกรธ ไม่รัก - ชัง - ชอบ - เกลียด คือ อนาคามี
ดังนั้น เบื้องต้นไม่ใช่ปฏิบัติให้ไม่โกรธ ไม่รัก ไม่ชอบ
การจะละมันได้ต้องละอคติก่อน
เป็นกลางกับมันก่อน
ถ้าไปปฏิบัติให้ "อคติ" กับมัน อันนี้มัน "ผิดปกติ" ตั้งแต่ต้น
ปุถุชนอยู่กับความโลภ โกรธ หลงอย่างเป็นปกติ
ก็คือ อยู่กับมันด้วยความปกติ
มีมันอยู่ แต่ไม่ให้มันครอบ
คือ ครอบ ก็อยู่ในระดับนิวรณ์ ไม่ใช่ครอบจนกลายเป็นทุจริต
ถ้านิวรณ์ครอบงำใจ ก็ไม่มีสมาธิ
ถ้าทุจริตครอบงำใจ ก็ไม่มีศีล
หมายเหตุ การเห็นคำด่าเป็นเสียงกระทบนี่ ระดับสติต้องเยอะพอตัว
ถ้ายังไม่มากพอ ต้องหาธรรมะแวดล้อมหมวดนั้นหมวดนี้มาเป็นตัวช่วย
สรุปว่าศีลมีการงดเว้นอยู่ 3 ระดับ
คือ ตั้งใจเอาไว้ก่อน
สมาทานนี้ก็ดี
แต่มันไม่แน่ไม่นอน
อยากรู้ว่าสมาทานแล้วได้ผลดีแค่ไหน
มาดูตอนกระทบอารมณ์
ถ้ากระทบแล้ว
สามารถรักษาเจตนาที่ดีเอาไว้ได้
ถือว่าใช้ได้
เวลามีคนด่า
โกรธได้ปกติ
แต่ต้องรักษาเจตนาเอาไว้ว่า
อย่าไปทำร้ายเขา
อย่าไปอยากให้เขาเสียประโยชน์
สามารถไม่ชอบเขาได้
แต่ไม่ใช่ไปดีใจเวลาเขาเสียประโยชน์
อันนี้เป็นอาการ "เกินกรรม"
คือเขาก็เป็นไปตามกรรมนั่นแหละ เราไปสะใจนี่มัน "เกิน"
เรามักจะรักษาเจตนาพวกนี้ไม่ได้
เพราะใจมันไม่มีศีล
เวลาเห็นคนไม่ดี โดนจับเข้าคุกก็ "โอ้ย สมควรแล้ว สมน้ำหน้ามัน"
อันนี้เรียกว่าใจไม่มีศีล
เวลาได้กำไรมา
คนอื่นจะเสียผลประโยชน์ก็ไม่เป็นไร
อันนี้เรียกใจไม่มีศีล
เวลาไปเรียนอะไรมา
ก็มี "เราถูก" "เขาผิด"
อันนี้ก็ใจไม่มีศีล เรียกว่าเบียดเบียนผู้อื่น
จะรักจะชอบสามีคนอื่นก็ได้
แต่ต้องไม่คิดไปแย่งเขามา
ทำการงานอยู่ แล้วบอกความจริงไม่หมด
เพื่อให้เราได้รับประโยชน์เพิ่มเติมขึ้นมา
อันนี้ก็ผิดศีล
ใครมาทำไม่ดีกับเรา
ก็โกรธเป็นธรรมดา
แต่อย่าไปมีเจตนาทำร้าย
อย่าไปมีเจตนาเบียดเบียน
ต้องมีเจตนาให้เขาพบความสุข
อย่ามีเจตนาให้เขาเสียประโยชน์
ชอบไม่ชอบเป็นเรื่องปกติ
รักไม่รักเป็นเรื่องปกติ
โกรธ ก็เป็นเรื่องปกติ
แต่การเห็นคนอื่นฉิบหายแล้วดีใจ (อันนี้ผิดปกติ - เรียกว่าผิดศีล)
เห็นใครแล้วชอบ อันนี้ปกติ
แต่เจตนาที่จะไปหลอกเขา (อันนี้ผิดปกติ)
เจตนาที่จะให้เขามาหลงเรา ชอบเรา (อันนี้ผิดปกติ)
ทำท่าเป็นให้โอกาส (อันนี้ผิดปกติ)
อาการไม่ปกตินี้คือ
การที่มีเจตนาแอบแฝงอยู่
ทำให้เกิดการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ
การกระทำที่ออกมาจากเจตนาไม่ดี เรียกว่า "ทุจริต"
ทุจริตทางใจ เช่น
คิดให้เขาเสียประโยชน์
คิดดีใจเมื่อเขาเสียประโยชน์จริง
รัก - ชัง - ชอบ - เกลียด เป็นธรรมชาติธรรมดาทั่วไป
ถ้าเราอยู่กับมันได้
เราก็จะเป็นปกติ
เรียกว่าเป็น "คนมีศีล"
คือ ไม่เสียเจตนาไป
สิ่งที่จะรักษาเจตนาเวลาที่กระทบอารมณ์ต่างๆ นี้คือ "สติ"
พอกิเลสตัวใหญ่ไปแล้ว ถูกครอบงำแล้ว
ก็เสียศีลไป คำพูดและการกระทำก็ออกมาตามนั้น
คนที่จะไม่โกรธ ไม่รัก - ชัง - ชอบ - เกลียด คือ อนาคามี
ดังนั้น เบื้องต้นไม่ใช่ปฏิบัติให้ไม่โกรธ ไม่รัก ไม่ชอบ
การจะละมันได้ต้องละอคติก่อน
เป็นกลางกับมันก่อน
ถ้าไปปฏิบัติให้ "อคติ" กับมัน อันนี้มัน "ผิดปกติ" ตั้งแต่ต้น
ปุถุชนอยู่กับความโลภ โกรธ หลงอย่างเป็นปกติ
ก็คือ อยู่กับมันด้วยความปกติ
มีมันอยู่ แต่ไม่ให้มันครอบ
คือ ครอบ ก็อยู่ในระดับนิวรณ์ ไม่ใช่ครอบจนกลายเป็นทุจริต
ถ้านิวรณ์ครอบงำใจ ก็ไม่มีสมาธิ
ถ้าทุจริตครอบงำใจ ก็ไม่มีศีล
หมายเหตุ การเห็นคำด่าเป็นเสียงกระทบนี่ ระดับสติต้องเยอะพอตัว
ถ้ายังไม่มากพอ ต้องหาธรรมะแวดล้อมหมวดนั้นหมวดนี้มาเป็นตัวช่วย
สรุปว่าศีลมีการงดเว้นอยู่ 3 ระดับ
- สมาทานวิรัติ - งดเว้นด้วยการตั้งใจเอาไว้ (ตั้งใจเฉยๆ ยังไม่ได้กระทบ)
- สัมปัตตวิรัติ - งดเว้นตอนที่มีการกระทบ
อันนี้ต้องมาดูว่าเรามีเจตนาอะไรเกิดขึ้นหลังจากกระทบอารมณ์ไปแล้ว - สมุทเฉทวิรัติ - พระโสดาบันงดเว้นเจตนาทำร้ายเบียดเบียนโดยสมบูรณ์
การศึกษาในสิกขาบท ต้องตามไตรสิกขา
การจะมีญาณ ต้องฝึกฝนตามหลักไตรสิกขา
ฝึกอธิศีลเสียก่อน
สมาทานสิกขาบท 5 ตั้งเจตนาเอาไว้
ฝึกให้มีสติสัมปชัญญะเวลาที่รับรู้อารมณ์
รู้เท่าทันจิตใจตนเอง
จะได้ไม่ถูกกิเลสหลอก
ไม่ถูกความยินดี ยินร้ายหลอกไปทำ
ใจก็จะมีศีลขึ้นมา
เมื่อละสิ่งหยาบๆ ได้แล้ว
ก็ศึกษาเรียนรู้จิตให้มันมากขึ้น
เรียนรู้ว่าจิตใดเป็นกุศล - อกุศล
เรียกว่าเรียนรู้อธิจิต
การไปทำแล้วก่อให้เกิดอภิสังขารอย่างไรบ้าง
มันผิดอย่างไรบ้าง
เมื่อไปอยากได้ ไปต้องการ ไปยึด แล้วมันผิด
ใจจะเกิดความหนักความแน่นขึ้นมา เป็นอกุศล
ถ้าปล่อยวาง
ก็เป็นจิตที่เบาสบาย ปลอดโปร่ง เป็นกุศล
ถ้าไปเอามาเป็นอกุศล
ถ้าให้ไปเป็นกุศล
ถ้ายึดเป็นอกุศล
ถ้าปล่อยวางเป็นกุศล
จิตแบบไหนเป็นสมถะ
จิตแบบไหนเป็นวิปัสสนา
จิตที่เป็นสมถะ
จิตก็เป็นกุศล เบาสบาย ปลอดโปร่ง
แต่สนใจตัวอารมณ์
รู้จิตที่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
มันก็ไม่เห็นไตรลักษณ์
จิตที่เป็นวิปัสสนา
สนใจลักษณะ เห็นแต่ความผ่านมาผ่านไป
ไม่ได้สนใจว่าเป็นอะไร
เป็นธาตุ เป็นสิ่งไม่ใช่ตัวเรา
ไม่ใส่ใจอารมณ์ ใส่ใจลักษณะ
เรียนรู้อย่างนี้ก็จะได้จิตมีสมาธิ
รู้เท่าทันจิตใจตนเอง
สรุปใหม่
สติสัมปชัญญะฝึกให้เพื่อมีศีล
เพื่อให้มาสนใจภายในมากขึ้น
ถ้าจิตไม่มีศีลมันจะสนใจแต่ภายนอก
คนนู้นว่ายังไง คนนี้ว่ายังไง
ไม่สนใจความรู้สึกตนเอง
ต้องฝึกสติบ่อยๆ มันจึงจะปล่อยอารมณ์ภายนอกได้ง่าย
ไม่ถูกความยินดียินร้ายครอบงำ
มันก็จะไม่ผิดศีล
พอไม่ผิดศีล
มันก็จะได้มาเรียนรู้จิตใจตนเอง
เป็นการฝึกอธิจิต
การฝึกนี้จะเป็นไปตามลำดับ
หากศีลยังไม่มี จะไปฝึกเดินปัญญา
ทำแบบนี้ไม่ได้ประโยชน์ ทำจนตายก็ไม่ได้ผล
ฝึกอธิศีลเสียก่อน
สมาทานสิกขาบท 5 ตั้งเจตนาเอาไว้
ฝึกให้มีสติสัมปชัญญะเวลาที่รับรู้อารมณ์
รู้เท่าทันจิตใจตนเอง
จะได้ไม่ถูกกิเลสหลอก
ไม่ถูกความยินดี ยินร้ายหลอกไปทำ
ใจก็จะมีศีลขึ้นมา
เมื่อละสิ่งหยาบๆ ได้แล้ว
ก็ศึกษาเรียนรู้จิตให้มันมากขึ้น
เรียนรู้ว่าจิตใดเป็นกุศล - อกุศล
เรียกว่าเรียนรู้อธิจิต
การไปทำแล้วก่อให้เกิดอภิสังขารอย่างไรบ้าง
มันผิดอย่างไรบ้าง
เมื่อไปอยากได้ ไปต้องการ ไปยึด แล้วมันผิด
ใจจะเกิดความหนักความแน่นขึ้นมา เป็นอกุศล
ถ้าปล่อยวาง
ก็เป็นจิตที่เบาสบาย ปลอดโปร่ง เป็นกุศล
ถ้าไปเอามาเป็นอกุศล
ถ้าให้ไปเป็นกุศล
ถ้ายึดเป็นอกุศล
ถ้าปล่อยวางเป็นกุศล
จิตแบบไหนเป็นสมถะ
จิตแบบไหนเป็นวิปัสสนา
จิตที่เป็นสมถะ
จิตก็เป็นกุศล เบาสบาย ปลอดโปร่ง
แต่สนใจตัวอารมณ์
รู้จิตที่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
มันก็ไม่เห็นไตรลักษณ์
จิตที่เป็นวิปัสสนา
สนใจลักษณะ เห็นแต่ความผ่านมาผ่านไป
ไม่ได้สนใจว่าเป็นอะไร
เป็นธาตุ เป็นสิ่งไม่ใช่ตัวเรา
ไม่ใส่ใจอารมณ์ ใส่ใจลักษณะ
เรียนรู้อย่างนี้ก็จะได้จิตมีสมาธิ
รู้เท่าทันจิตใจตนเอง
สรุปใหม่
สติสัมปชัญญะฝึกให้เพื่อมีศีล
เพื่อให้มาสนใจภายในมากขึ้น
ถ้าจิตไม่มีศีลมันจะสนใจแต่ภายนอก
คนนู้นว่ายังไง คนนี้ว่ายังไง
ไม่สนใจความรู้สึกตนเอง
ต้องฝึกสติบ่อยๆ มันจึงจะปล่อยอารมณ์ภายนอกได้ง่าย
ไม่ถูกความยินดียินร้ายครอบงำ
มันก็จะไม่ผิดศีล
พอไม่ผิดศีล
มันก็จะได้มาเรียนรู้จิตใจตนเอง
เป็นการฝึกอธิจิต
การฝึกนี้จะเป็นไปตามลำดับ
หากศีลยังไม่มี จะไปฝึกเดินปัญญา
ทำแบบนี้ไม่ได้ประโยชน์ ทำจนตายก็ไม่ได้ผล
วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560
อย่าโลภ อย่าโกรธ อย่าหลง
อย่าโลภเด้อ
อย่าโกรธเด้อ
อย่าหลงเด้อ
ฟังดูดี แต่นี่เป็น "ผล"
เวลารับมายังเอาไปทำเหตุไม่ได้
เรียนแบบไม่มีหลัก
เหตุคือ "รู้"
อย่าโกรธเด้อ
อย่าหลงเด้อ
ฟังดูดี แต่นี่เป็น "ผล"
เวลารับมายังเอาไปทำเหตุไม่ได้
เรียนแบบไม่มีหลัก
เหตุคือ "รู้"
แผ่เมตตาคืออยากให้คนอื่นมีความสุข
คือยุงมันตอมเรา
มันจะมีความสุขที่ไหนล่ะ
ก็มีความสุขที่ได้ตอมเราไง
ปล่อยมันตอมไปสิ
ทีนี้มันตอม
เราไม่ชอบ
เลยแผ่เมตตาให้มันไป
บางทีแผ่เมตตายุงเพราะไม่อยากให้ยุงมากวน 5555
ปลวกขึ้นบ้าน
แผ่เมตตาให้ปลวกอยู่อย่างมีความสุข
เราก็ออกจากบ้านไป
บ้านมันเอาห้อยคอไปด้วยไม่ได้นะ
ทีนี้พอทำไม่ได้
เพราะเราก็ยังยึดบ้านอยู่
ความคิดก็ตัน
พอตัน ทางออกก็เหลือน้อย
ดังนั้นถ้าคิดในแง่ดี
มีเมตตา
คิดตรงตามความจริง
จะมีแต่ทางออก
แต่เมื่อคิดไม่อดทน
อยากให้ตนเองเป็นสุขอยู่อย่างเดียว
คิดไปท่าไหนก็ตีบตัน
เราจึงไม่ค่อยมองเห็นทางออก
เพราะใจไม่ได้เปิดกว้าง
มันจะมีความสุขที่ไหนล่ะ
ก็มีความสุขที่ได้ตอมเราไง
ปล่อยมันตอมไปสิ
ทีนี้มันตอม
เราไม่ชอบ
เลยแผ่เมตตาให้มันไป
บางทีแผ่เมตตายุงเพราะไม่อยากให้ยุงมากวน 5555
ปลวกขึ้นบ้าน
แผ่เมตตาให้ปลวกอยู่อย่างมีความสุข
เราก็ออกจากบ้านไป
บ้านมันเอาห้อยคอไปด้วยไม่ได้นะ
ทีนี้พอทำไม่ได้
เพราะเราก็ยังยึดบ้านอยู่
ความคิดก็ตัน
พอตัน ทางออกก็เหลือน้อย
ดังนั้นถ้าคิดในแง่ดี
มีเมตตา
คิดตรงตามความจริง
จะมีแต่ทางออก
แต่เมื่อคิดไม่อดทน
อยากให้ตนเองเป็นสุขอยู่อย่างเดียว
คิดไปท่าไหนก็ตีบตัน
เราจึงไม่ค่อยมองเห็นทางออก
เพราะใจไม่ได้เปิดกว้าง
ขอบ่นสักหน่อย
อาการบ่นแม้สักนิดสักหน่อย
เป็นอาการแสดงของการ
ไม่ยอมรับความจริง
หิวก็บ่น
คือบ่นไม่บ่น ก็ไปหาของกินอยู่แล้ว
ก็ยังหาที่บ่น
อากาศหนาวก็บ่น
บ่นไม่บ่น เดี๋ยวไปเอาเสื้อมาใส่
ก็ยังจะบ่น
เป็นอาการแสดงของการ
ไม่ยอมรับความจริง
หิวก็บ่น
คือบ่นไม่บ่น ก็ไปหาของกินอยู่แล้ว
ก็ยังหาที่บ่น
อากาศหนาวก็บ่น
บ่นไม่บ่น เดี๋ยวไปเอาเสื้อมาใส่
ก็ยังจะบ่น
ทำดี ได้ดี ผลดีๆ
มีสิ่งไหนสมบูรณ์พร้อมอยู่ในมือ
เตรียมตัวทุกข์เพราะสิ่งนั้น
และมันจะให้ทุกข์มากกว่าสิ่งที่ไม่ดีเสียอีก
ของดีๆ ก็ต้องทุ่มแรงรักษามันมาก
เตรียมตัวทุกข์เพราะสิ่งนั้น
และมันจะให้ทุกข์มากกว่าสิ่งที่ไม่ดีเสียอีก
ของดีๆ ก็ต้องทุ่มแรงรักษามันมาก
ปฏิบัติธรรมเป็นการฝึกความอดทน
อดทนที่เมื่อมีอารมณ์มากระทบแล้ว
ไม่ไปสร้างกรรมชนิดใหม่ๆ ขึ้นมา
เพราะนั่นหมายถึงการสร้างการวนเวียนให้เกิดขึ้น
อดทนที่จะไม่กระทำกรรมใหม่
อดทนที่จะไม่กระทำคืน
อดทนได้ที่จะเมตตา
อดทนได้ที่จะเห็นว่ามันเป็นของไม่เที่ยง
อดทนจนเห็นสอดคล้องกับความจริง
เมื่อเห็นแล้วจึงไม่ดิ้นหนีมัน
เมื่อประสบผลของกรรมแล้วก็ยอมรับ
ด้วยทุกอย่างที่เผล็ดผลแล้ว
ย่อมมีเหตุมา
จะเห็นก็ตาม จะไม่เห็นก็ตาม
ไม่ไปสร้างกรรมชนิดใหม่ๆ ขึ้นมา
เพราะนั่นหมายถึงการสร้างการวนเวียนให้เกิดขึ้น
อดทนที่จะไม่กระทำกรรมใหม่
อดทนที่จะไม่กระทำคืน
อดทนได้ที่จะเมตตา
อดทนได้ที่จะเห็นว่ามันเป็นของไม่เที่ยง
อดทนจนเห็นสอดคล้องกับความจริง
เมื่อเห็นแล้วจึงไม่ดิ้นหนีมัน
เมื่อประสบผลของกรรมแล้วก็ยอมรับ
ด้วยทุกอย่างที่เผล็ดผลแล้ว
ย่อมมีเหตุมา
จะเห็นก็ตาม จะไม่เห็นก็ตาม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)