โพชฌงค์ที่เป็นเหตุให้วิชชา วิมุตติ นิพพาน
สังเกตจะมีคำสร้อยต่อท้าย
ภิกษุเจริญสติสัมโพชฌงค์ ..ฯลฯ..อุเบกขาสัมโพชฌงค์
โดยอิงอาศัยวิเวก
โดยอิงอาศัยวิราคะ
โดยอิงอาศัยนิโรธะ
น้อมไปเพื่อความปล่อยวาง
คือนอกจากจะมีคุณธรรมต่างๆ ของโพชฌงค์แล้ว
ต้องนำมาพัฒนาให้ "โน้มเอียงไปทางนิพพาน"
ไม่ใช่มีสติแล้วใช้ชีวิตไปวันๆ
ต้อง อิงอาศัยวิเวก
คือการอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวเป็นอย่างยิ่ง นึกถึง คนเดียว ไว้เสมอ
ไม่ใช่มีสติปัญญาแล้วแล่นไปช่วยชาวโลก
คิดอย่างนี้ก็ยังโง่อยู่
ที่จริงเราเกิดมาก็มาคนเดียว เราไม่ได้เป็นของใคร และใครก็ไม่ได้เป็นของเรา
สิ่งเดียวที่เป็นของเราคือ กรรม
มีกรรมเป็นของเฉพาะตน
คนอื่นจะทำให้คนอื่นบริสุทธิ์ก็ไม่ได้
ฉะนั้นมีสติมีปัญญาวิจัยธรรมแล้ว
มันต้องมาอิงอาศัยวิเวก คิดมาด้าน คนเดียว
ถ้ายังคิดถึงหลายคนนี้ยัง "กลับข้าง" อยู่ ถ้าจะไปนิพพาน
ฟังดูเห็นแก่ตัว
แต่การคิดมาด้านตนเองนี่แหละ
เป็นการช่วยตนเอง และช่วยคนอื่น
มาเห็นตนเอง เออยังกิเลสเยอะอยู่ จะขัดเกลายังไงได้บ้าง
การช่วยเหลือผู้อื่นตามเหมาะสม ก็เป็นการขัดเกลา
การพูดดีๆ ก็เป็นการขัดเกลา
การสัมพันธ์กับผู้อื่นมันก็จะดียิ่งขึ้น เพราะทำเพื่อขัดเกลาตน
คนรอบตัว อยู่ในฐานะอุปกรณ์ฝึก เพื่อขัดกิเลสตน
นี่เรียกว่า อิงอาศัยวิเวก
อยู่คนเดียวก็ไปฝึกๆๆๆ
ออกสังคมมาก็ขัดๆๆๆ
ทำนองนี้
อิงอาศัยวิราคะ
ก็คอยเช็คว่าแต่เดิมยึดติดเยอะ
มันก็จะต้องเป็นไปเพื่อคลายออก
อิงอาศัยนิโรธะ
คอยเช็คความห่วงใย อาลัยอาวรณ์ (ความไม่ดับสนิทในส่ิ่งต่างๆ)
และ น้อมเอียงไปเพื่อความปล่อยวาง
เราภาวนามีคุณธรรมต่างๆ
ก็ต้องให้มันเอียงไปทางนู้น
ไม่ใช่จับเอียงมาทางโลก
โพชฌงค์นัยนี้ท่านเน้นมาก
เป็นแบบ "เอียงข้าง"
ไม่ใช่เป็นกลางนะ เอียงข้าง 5555
ธรรมะ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้เป็นกลางนะ
เอียงเสมอ !!!
เอียงไปนิพพาน
เอียงไป ก็จะเข้าใกล้นิพพานมากขึ้นเรื่อยๆ
สัมผัสนิพพานมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น