เมื่อมีสติสัมปชัญญะ
เมื่อมีธรรมวิจัย
เมื่อมีความเพียรกระทำไปข้างหน้า
ปีติที่ปราศจากอามิสย่อมเกิดขึ้น
แก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียร
ปีติสัมโพชฌงค์ไม่ใช่ปีติธรรมดา
เป็นปีติที่ปราศจากอามิส
คำแปลคือ ปีติที่ไม่ต้องอาศัยแรงกระตุ้น
คือไม่ใช่ต้องรอลูกรับปริญญา หรือรอหุ้นขึ้น ค่อยมาเอิบอิ่มเบิกบานสักทีนึง
ปีติพวกนี้มันมาจาก
มีสติสัมปชัญญะ มีความรู้ และได้ทำความเพียรในสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม
แค่การทำถูกเท่านั้นล่ะ
ง่วงนอน แต่ไม่ยอมนอนตามมัน
ก็ปลาบปลื้มใจที่มันทำอย่างนี้ได้
เคยโกรธ แต่เดิมก็ของขึ้น
คราวนี้มีสติสัมปชัญญะ วิจัยลงไปเลย
ดูความไม่มีประโยชน์ของมัน ก็อดทนทำ
เมื่อมองย้อนกลับไป ปีติอันปราศจากอามิสมันจะเกิด
จะรู้สึกเหมือนทำสิ่งที่สมกับเป็นลูกพระพุทธเจ้า
หรือกินเนื้อหนังชาวบ้าน (หมูเห็ดเป็ดไก่) มาหลายครั้ง
คุ้มค่ากับที่เขาเสียสละให้เรามาหน่อย
เป็นความรู้สึกว่า มันคุ้มนะ พ่อแม่อุตส่าห์คลอดมา เราได้ทำอะไรที่มันขัดเกลากิเลส
ท่านก็ได้บุญไปกับเรา
แม้จะไม่ได้มีเงินมีทองไปตอบแทน แต่เขาจะรู้สึกว่ามันคุ้มละที่ดูแลมา
เป็นความรู้สึกภูมิใจ เอิบอิ่มขึ้นมา
เกิดมาชาตินึง เออ...ได้เดินหน้าเลยไปจากเดิมแล้ว
ถ้าระดับเดิมคือ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ คุ้มดีคุ้มร้ายตามชอบชัง
---
สังเกต
โพชฌงค์ตัวหลังๆ จะเป็นผลมาจากโพชฌงค์อันแรกๆ
กายของภิกษุผู้มีใจปีติ
ย่อมสงบระงับ
เรียก ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
พอมีปีติสัมโพชฌงค์
มันก็จะไม่ค่อยเอนไปทางโลก
ก็จะเอนมาทางขัดกิเลสยิ่งๆ ขึ้น
ใช้ชีวิตให้มันเหมาะสมยิ่งๆ ขึ้น
มันก็จะสงบระงับ
กายก็ระงับ จิตก็ระงับ
---
จิตของผู้มีกายสงบ
ย่อมตั้งมั่น ปลอดโปร่ง โล่งสบาย
เรียก สมาธิสัมโพชฌงค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น