วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2557

แสนปม

ป.เอ๋ยป.ปม
แม่ไม่นิยมสมรัก
ผู้บุตรขลาดเขลาเศร้าหนัก
กระหายความรักทะเลทราย

ใฝ่ฝันหารักหนักแน่น
พลิกผันดินแผ่นตะวันฉาย
ที่ใดมีรักมากมาย
ฉันนั่งเอียงอายแอบมอง

ใจเอยใจไม่กล้าเอ่ย
ใจเคยผิดหวังซ้ำสอง
จนใจเรานี้ช่ำชอง
สุมกองดองซึ่งโศกา

ปฏิเสธเพียงครั้งคลั่งบ้า
ผินพักตร์ยิ้มทักไหววูบ
ใจเอยแอบอ้อนกอดจูบ

เพียงบุตรอยากได้ซึ่งมาตา

ไร้กมลที่จะเหลือเผื่อผู้ใด

ตาปั้นปึ่งแต่ใจไหวสะเทิ้น
ตายอมเมินแต่ใจไม่ยอมกลับ
ตาบอกปัดแต่ใจไปบอกรับ
ตาบอกขับแต่ใจเรียกให้คืน

รู้ก็รู้ว่าเขามีเจ้าของ
ถึงเขามองเขาก็เห็นเป็นคนอื่น
ใจยังไม่ห้ามใจให้กล้ำกลืน
ตาจะฝืนอย่างนี้กี่เวลา

อย่านะอย่าหวั่นไหวใจห้ามขาด
ใจตวาดแล้วไยใจผวา
ตาร้องไห้ใจก็ตามไปห้ามตา
สมน้ำหน้าดวงใจร้องไห้เอง


นภาลัย สุวรรณธาดา

29/12/2557 เหงานักมักฟุ้งซ่าน

เหงานักมักฟุ้งซ่าน

แส่สั่นหมั่นปรุงฟุ้งซ่าน               พ่นลมระงมผ่าน
เปิดด่านปากช่องนองวจี

คึกคักลำพองผ่องศรี                 หักหาญปารมี
เสริมศักดิ์เสริมศรีมวลมาร

ให้เติบกล้าใหญ่ไพศาล               เป็นไฟสังหาร
คุณธรรมอันร่ำเรียนมา


-----
เหงาหนักมักฟุ้งซ่าน
ให้รำคาญอาการจินต์
หิวนักยักเคี้ยวกิน
ซึ่งอารมณ์ผสมโมห์

คิดมากลากเตลิด
ก่อกรรมเกิดเชิดโทโส
ตัณหาหาทางโต
ได้ออกโอ่โอ้สมใจ

ลอดหลุดเป็นอาวุธ
สะดุดแท้สะดุดใน
ล้อลามละทรามวัย
แม้นผู้ใหญ่ก็ล่วงเกิน

พี่มาอิจฉาน้อง
ด้วยติดต้องคลองดำเนิน
นึกไปให้ขวยเขิน
มิอาจเดินมัชฌิมา

ไฟรักสลักจิต
ปรุงจริตคิดมิจฉา
เพียงครั้งหวังเมตตา
จากธาดาผู้หมางเมิน
-----


วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

พูดนิ่มนวล

Diplomatic Language


"ใช่ แต่..."

"เห็นด้วยถึงตรงนี้นะ แต่..."

"เข้าใจนะ แต่..."


เปรียบเทียบ

"นี่มัน...นะ" VS "นี่มัน....ไม่ใช่เหรอ"

"คุณไม่เข้าใจ" VS "ฉันอาจจะพูดไม่กระจ่าง"

"คุณพูดไม่ตรงประเด็น" VS "ฉันยังไม่เข้าใจในประเด็น"

"คุณควรทำอย่างนั้น" VS "เราอยากได้อย่างนี้"


พูดไม่โดยไม่ไม่

แบบญี่ปุ่น

  1. รับคำ ครับ/ค่ะ จากนั้นอธิบายเนื้อหาสาระที่จะสื่อว่าไม่อีกครึ่งชั่วโมง หรือละคำว่าไม่ พูดเฉพาะส่วนเหตุผล
  2. พูดให้คลุมเครือเข้าใจยาก เลี่ยงจุดสำคัญ ให้อีกฝ่ายหลงประเด็นไม่ก็ลืม
  3. ไม่ตอบ/ไม่พูดเรื่องนั้นอีกเลย เช่น 
    1. เปลี่ยนเรื่องพูดกระทันหัน 
    2. วิพากษ์วิจารณ์บุคคลที่ 3 
    3. เปลี่ยนโทนเป็นขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
    4. แกล้งโมโห หาเรื่องจับผิด
    5. หัวร่องอหายเหมือนตลกซะเต็มประดา
    6. แสดงความลังเล
    7. เห็นด้วยในมุมอื่น


"ครับ เป็นคำถามที่ดีมาก แล้วคุณคิดว่ายังไง"

"เอาเถอะ ผมจะรับไว้พิจารณาไว้ก่อนนะ"

"อือมมม...มัน...คง...ไม่...ได้...ง่าย...นัก...หรอก...นะ..."

"งั้นหรอกเหรอ..."

"โดยหลักการ/โดยส่วนตัวเห็นด้วยค่ะ แต่ขอสอบถามเพิ่มเติมอีกนิด คือ..."

ให้

ก่อนให้ใคร่ให้คิด
ตริสักนิดก่อนให้ตังค์
กุศลมิภินท์พัง
ทั้งจะยังให้สบาย

หากมิตรจิตคิดให้
ดำรงใจตั้งความหวัง
จักให้เต็มกำลัง
ดั่งพระจันทร์ในวันเพ็ญ

ให้ใครอย่าให้ชุ่ย
แบใบ้บุ้ยแบบเบียดเบียน
ให้ไปใจต้องเนียน
ใช่กระเบียดกระเสียรตัว

ฝึกใจให้มันคิด
แผ่เมตต์จิตพี่น้องทั่ว
ให้แล้วต้องไม่กลัว
แม้ผลชั่วจะกลับมา

รำลึกตรึกว่าให้
เพื่อรักษ์ใจไม่หมองมัว
ถอนถอดโลภโกรธกลัว
หมักดองใจในธุลี
....
ตริตรองถ้วนถี่แล้ว............... ตั้งจิต
อธิษฐานทานอุทิศ ..............พิสุทธิ์แน่ว
ปวงดำริจงเต็มอิฏ- ..............ฐะผลเอย
ทรงธรรมนำผ่องแผ้ว ...........จิตต้อง นฤพาน

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

กลอนคำพูด

จะพูดจาปราศัยกับใครนั้น
อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู
ไม่ควรพูดอื้ออึงขึ้นมึงกู
คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ
(สุภาษิตสอนหญิง - สุนทรภู่)
----

ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา
(นิราศภูเขาทอง - สุนทรภู่)
----

อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก
แต่ลมปากหวานหูมิรู้หาย
แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย
เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บให้เจ็บใจ
(เพลงยาวถวายโอวาท - สุนทรภู่)
----


วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

24/12/57

24/12/57

สัปดาห์ก่อนร่างกายอ่อนแอตามวงรอบของมัน ประกอบกับออกกำลังกายใช้แรงเยอะไปหน่อยในวันนั้น พอนั่งๆ ไปก็จะหลับ แล้วก็เป็นต่อเนื่องมาเกือบอาทิตย์ ตอนแรกนึกว่าเกิดจากร่างกาย ตอนหลังถึงรู้ว่า ขี้เกียจชัดๆ 5555

วันก่อนฟังธรรมได้ยินมาประโยคนึง "อะไรจะสอนความรักได้ดีเท่าความรัก" ใจก็คิดต่อเสร็จสรรพ "อะไรจะสอนความตายได้ดีเท่าความตาย" แล้วมันก็เบิกบาน วางไว้ในใจว่า หากต่อไปนี้ได้ยินข่าวใครจะเป็น ใครจะตายที่ไหน การวางใจแบบนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี

ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ยังคงเคล้าคลึงประโยค "อะไรจะสอนความรักได้ดีเท่าความรัก" ลองบิ้วตัวเองให้อยู่ในสภาวะ being in love ดึงใจให้อยู่ในอารมณ์สุข สังเกตไปที่การรับรู้ ผัสสะหน่อยรู้แล้วก็สุข รู้แล้วก็สุข ซึ่งจริงๆ ก็ทำได้ไม่ยาก ไม่ต้องมีเป้าเป็นตัวเป็นตนก็ได้ ความสุขนี้ละลายความแข็งกระด้างที่บางทีเหมือนจะอยู่ในภาวะเฉยๆ แต่ใจจะกระด้างๆ และไม่รู้จะทำไงให้มันอ่อน (แถมบางทีไม่รู้ด้วยว่ามันกระด้าง) แต่เอาเข้าจริงๆ บางทีพี่จิตเขาจะอยู่โหมดนั้นจริงๆ กู่ไงก็ไม่กลับเหมือนกัน คิดว่าจะลองดูว่าอารมณ์นี้สามารถฝึกให้เป็นความเคยชินได้ไหม ใจจะได้ไม่แห้งแล้ง

กลับบ้านเปิดไฟล์หลวงพ่อเทศน์ไปด้วยเดินจงกรมไปด้วย แล้วก็มานั่งต่อ มีประโยคนึงท่านว่า "ดูกายที่หายใจเข้าหายใจออกไป" ดูตาม เห็นอารมณ์เพียบเลย นึกนับถือคนที่สามารถจิตนิ่งอยู่กับอารมณ์อันเดียวได้จริงๆ ดูสภาพพี่จิตแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย สักพักรวมวูบเสียงเทศน์ฟังดูชัดกว่าปกติหลายเท่า นั่งเฉยอยู่สักพัก แล้วก็ไปคิดถึงลมหายใจ คราวนี้วุ่นวาย ใจนึงก็บอกมันไม่หายหรอกมีอยู่นั่นแหละ อีกใจนึงก็หาๆๆ ลมอยู่ไหน ตลกดีค่ะ

อาตมัน - ปรมาตมัน

จิตเป็นอัตตาเรียกอาตมัน เวลาตายถ้าฝึกสมาธิดี อาตมันหรือจิตนี้เองก็รวมเข้ากับพระเจ้า (ปรมาตมัน) บรมอัตตา ถึงวันนึงก็หลุดออกมาอีก มาหมุนเวียนอยู่อย่างนี้อีก จิตขึ้นสู่พรหมโลกวันนึงก็หลุดออกมาใหม่ หมุนเวียน ตกนรกก็ได้อีก

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สติ - หลบอารมณ์ หัดเปลี่ยนอารมณ์

ตอบคำถามสองภาษา
โดยพุทธยานันทะ
ปุจฉา: ๑. บางแนวทางเขาว่า เวลาเกิดผัสสะ หากเรามัวแต่กลับมารู้สึกตัว จะเป็นเหมือนการละนันทิ โดยไม่ได้พิจารณาไตรลักษณ์เลย จะเกิดปัญญาได้อย่างไร เขาบอกว่าเป็นการหลบผัสสะมากกว่า หลวงพ่อมีความเห็นว่าอย่างไรครับ?
Question: 1. Some methods mention that whenever we have contact and we call back to awareness immediately, it is like we deflect from contact and lose the chance to see triluksana (the three characteristics of impermanence, suffering, and non-self). Then wisdom cannot arise. How do you think?
วิสัชชนา: ๑. แสดงว่าคนเข้าใจเช่นนั้น ยังไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนา ทำสมถะ แต่เข้าใจว่า ตัวเองทำวิปัสสนา นักปฏิบัติที่เข้าใจอย่างนี้เยอะมากๆ แต่ถ้าจิตเป็นวิปัสสนา จะไม่ถามแบบนี้ คำตอบก็คือว่าความรู้สึกตัวที่ถูกต้องนั้นเอง มันเป็นการเห็นไตรลักษณ์ และละนันทิไปในตัวเสร็จ วิปัสสนาปัญญานั้น ไม่ได้พิจารณาไตรลักษณ์แบบสมถะ(พราหมณ์) เมื่อเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งต่อหน้าแล้ว การพิจารณาแบบวิปัสสนาก็สำเร็จเสร็จสิ้นไปในตัว แต่ถ้าแบบสมถะ ต้องพิจารณาทีละอารมณ์ว่า แบบนี่คืออนิจจัง แบบนี้คือทุกขัง แบบนี้คืออนัตตา นี้เป็นอารมณ์บัญญัติ เป็นสมถสัญญา ขืนพิจารณาแบบนั้น ไม่ทันกิเลสหรอกคุณเอ้ย มันเอาไปกินเสร็จ
Answer: 1. A lot of practitioners do not understand vipassana (insight development) correctly. They are practicing samadha (tranquilty) but misunderstand that they are practicing vipassana. If the mind is in vipassana meditation, this question does not arise. Right mindfulness is to see triluksana (the three characteristics of impermanence, suffering, and non-self) totally by vipassana-panya (insight development wisdom). It is different to samadha (concentration in Brahminism) that we have to consider each object singly. For example, to consider the object that this one is impermanence, this one is suffering, this one is non-self, this one is regulations, or this one is samadha perception, etc. It is too slow to catch up defilement. Conversely, defilement will swallow us.

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

จิตคน จิตควาย

21/12/57

ไปฟังหลวงพ่อปราโมทย์ ท่านว่า มีสัตว์อยู่ 2 อย่าง ที่แผ่เมตตาแล้วรับไม่ค่อยได้ คือ คน กะควาย ไม่รู้มันเป็นสปีชีย์เดียวกันรึยังไง พระโดนควายขวิดประจำ

จุติจิตมันเคลื่อนจริงๆ หมุนออกอย่างแรง ถ่ายทอดไปหมุนต่ออีกภพ ข้อมูลก็ถูกสืบทอดไป เหมือนเป็นลูกของจิตเดิม

จิตอยู่ๆ ก็หมุนเอาอะไรขึ้นมานะ

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

18/12/57

18/12/57

เจอพี่นวลโดยไม่ตั้งใจ คุยไปคุยมาพอกลับบ้านรู้สึกเพี้ยนๆ ไปถามคุณนายว่า

วันเมาๆ

ลูก - จะรู้ได้ไงว่าคนเราเกิดมาทำไม
แม่ - เงียบ....ก็เกิดมาแล้วไม่ต้องไปคิดหรอก ก็อยู่ไปเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย
ลูก - เป้าหมายคืออะไร
แม่ - ตายไง
ลูก - เงิบ...(รู้สึกเจอค้อนหนักสิบตัน...ตื่นดีแท้ 5555)
แม่ - ตายอย่างสง่างาม ระหว่างทางไปถึงเป้าหมายก็มีความสุขกะปัจจุบันไป

-----
แม่ว่าแม่อยากตายอย่างมีสติ ถึงเวลาที่ต้องไปอย่างนั้นจริงคงไม่อยากให้มีใครมาเยี่ยม อยากใคร่ครวญด้วยสติมากกว่า

เวอร์ชันนั่งคุยกะพระพุทธเจ้า

เห็นมั้ยว่าหนูมีตัณหาในการหาเป้าหมายของชีวิต เชื่อลึกๆ ว่ามันเป้าหมายชีวิตสัมบูรณ์เป็นสิ่งล้ำค่าที่มนุษย์พึงมี เห็นมั้ยว่ามันคล้ายๆ กับค่านิยมอย่างนึงนั่นล่ะ คนอื่นอาจจะอยากได้ทรัพย์สินเงินทอง แต่หนูอยากได้ "เป้าหมายชีวิต"

จริงๆ หนูอยากได้รูปธรรมสักอย่าง ที่จะกระตุ้นให้เกิดความสุขเวลาระลึกถึงนั่นเอง

ทำไมหนูเห็นอย่างนั้น

เพราะความฝันในตอนเด็กมันให้ภาพว่ามันให้ความสุขทุกเวลาที่หนูระลึกถึง หนูจึงเกิดความเชื่ออย่างช่วยไม่ได้ขึ้นมาว่ามันคือความสุข การได้อยู่กับมันเป็นความสุข ผ่านมาถึงตรงนี้หนูว่าของอย่างนั้นมีที่ไหนกัน มันเกิดความเชื่อว่ามันเที่ยงสังเกตมั้ย

ข้อสังเกตเอาเอง

ถ้าเห็นเป็นทุกข์ไม่ได้ ก็ผันออกอนัตตา เร็วกว่า เป็นอีกเส้นทางเรียกว่าไม่เดินผ่าน แต่เดินหลบแล้วเหลียวมอง

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ศรัทธา (ยังไม่เลิก)

ศรัทธา ไม่ได้แปลว่าความเชื่อ แต่เป็นสภาวะเปิด หรือโน้มน้อมที่จะรับ ที่จะฟัง ดังนั้นหากหาที่อุดหู ที่อุดใจเจอ คืออะไรที่ขวางการฟังเอาออกซะ ศรัทธาก็อยู่แถวๆ นั้นแหละ ไม่ต้องเสียเวลางมหาให้วุ่นวาย

ศรัทธา อีกสภาวะเป็นแบบ "จิตน้อมนิยมชม"

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

15/12/57

15/12/57

สัปปายะแต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน วันก่อนนั่งท่าเอนแล้วสบายมีสมาธิดี วันนี้นั่งท่าเอน สบายแต่หลับ ระหว่างวันเหมือนมีสติเหมือนไม่มีสติ พาลให้สงสัยเป็นระยะว่าตกลงนี่รู้รึไม่รู้

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

14/12/57

14/12/57

เพื่อนก้อยพาไปฟังธรรมพระอาจารย์กฤช แบบฟังชิดติดขอบจอ ได้แกะส้มจัดจานถวาย ได้ไปซื้อกาแฟถวาย ถ้าไปเองไม่กล้าทำ 5555 ตอนท่านให้พรก็น้ำตาไหลไม่หยุด ตอนไปนั่งรอฟังพี่จิตอธิษฐานของมันเอง ช่วงแรกๆ ของการฟังก็มีหลายจังหวะที่น้ำตาจะไหลๆ โดยเฉพาะตอนที่ท่านพูดถึงในหลวง ช่วงเล่นเกมส์ทำให้เข้าใจบางอย่างมากขึ้นอีกหน่อย

ขอบพระคุณเพื่อนก้อยที่นึกถึงและพาไป กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ ^_^

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

12/12/57

12/12/57

ระหว่างวันคึกคักหายไป แต่กำลังยังอยู่ มีโทสะเป็นคลื่นใต้น้ำอยู่ มีความเฉยๆ อยู่ มีฟุ้งอยู่แต่ซ่านไม่แสดงผล

ตอนเย็นไปสวดมนต์นั่งสมาธิที่วัด กลับบ้านนั่งสมาธิจนหลับไป

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เก็บตกเพิ่มเติม

การดำเนินจากตัณหาไปอุปาทาน
เพราะอยากได้จึงแสวงหา
เพราะแสวงหาจึงได้มาซึ่งของรัก
เพราะได้มาซึ่งของรักจึง...
เพราะ...หวงแหน
เพราะหวงแหนจึงปิดกั้น

11/12/57 เย็น

หลังจากกลับจากวัด จิตใจสภาพเป็นม.ม้าคึกคัก ฟุ้งลอยเป็นพื้น และเพลิดเพลินมากในความสุขที่มันได้ คอยปรุงเรื่องแหย่มันโกรธ ก็เหมือนมีปราการมาหักล้างผลของมันโกรธไม่ขึ้น ขณะที่คิดแหย่สภาวะไปเรื่อยๆ แต่สติมีไม่เท่ากัน ผลคือปล่อยไก่แบบได้โล่ห์ เอาถุงอาหารกะถุงขยะทิ้งไปพร้อมกันแถมไม่รู้ตัวทันที มารู้อีกทีตอนถึงที่หมายแล้วแบบทำไมมือตรูไม่ถือของเลยคะ แต่เดินเข้าไปหาแม่แล้ว (เป็นของที่แม่ฝากซื้อ) ก็เลยบอกแม่ว่าเดี๋ยวเดินออกไปซื้อก่อน ไม่บอกให้นางรู้เดี๋ยวนางปรุงอกุศล

หลังจากรู้ตัว จริงๆ มันน่าจะเครียดได้แล้วนะ ยังไม่เครียดค่ะ ม.ม้าคึกคัก หักล้างผลความเครียดสิ้น แต่รู้แล้วว่าชีวิตไม่พอดี เกิดทางเลือกสองทาง คือลากม้าลง กะดึงสติขึ้น ลองทำแบบหลังเพราะไม่เคยมีม้าอยากลองเลี้ยงม้าดู เลยต้องเรียกมาอยู่กับกายเยอะๆ กำแบๆ เดินรู้เท้า ในปากก็กระดกลิ้นไปด้วย เอามันทุกอย่าง

ตกเย็นนั่งสมาธิ เจอสัปปายะโดยไม่ตั้งใจ เป็นท่าเอนๆ สบายๆ มีหมอนรับหลัง ขาเหยียด แขนวางบนหมอน ผัสสะเต็มตัวไม่สัปปะหงก ปรากฏตื่นเชียว แค่ว่าจะนั่งตามธรรมเนียมเฉยๆ ผลคือนอนไม่ได้ไปจนถึงเกือบตีสี่ สุดท้ายพอคิดว่าเออถ้าไม่นอนก็นั่งอีกรอบละกัน เปิดเสียงครูบาอาจารย์คลอไปด้วยสักพักหลับ 5555

----------
อันนี้ตกผลึกเองตอนอยู่วัด

ในความรู้สึก

ฉันทะ เกิดจากความชัดเจน เพราะมันต้องเห็นผลจึงได้เอ็นจอยกะมันตรงนั้นได้เลย ถ้าไม่ชัดเจนจะเกิดฉันทะได้ยากมาก โดนเจ้ามือตัณหากินรวบ

ศรัทธา ไม่ได้แปลว่าความเชื่อ แต่เป็นสภาวะเปิด หรือโน้มน้อมที่จะรับ ที่จะฟัง ดังนั้นหากหาที่อุดหู ที่อุดใจเจอ คืออะไรที่ขวางการฟังเอาออกซะ ศรัทธาก็อยู่แถวๆ นั้นแหละ ไม่ต้องเสียเวลางมหาให้วุ่นวาย

อวิชชา, อนุสัย, โมหะ (ไม่รู้ใช้คำไหน) แต่มีอารมณ์นึงให้ความรู้สึก พอทุกข์อยู่ก็เหมือนตาแก่หลงลืม ลืมภาวะปกติสุข ระลึกไม่ออก ระลึกไม่ขึ้น การที่จำภาวะปกติสุขได้ จะทำให้เกิดสติ (สัมมาสติ)

การปิดหูปิดใจกับธรรมของศรีศากยอโศก ไม่แน่ใจว่าเป็นสัมมาหรือมิจฉา
หากพิจารณาแยกแยะแล้ว หนึ่งในเหตุที่ให้รู้สึกอย่างนั้น คือการที่ฟังครูแสดงธรรม โดยจั่วหัวว่า
" เป็นการแสดงด้วยสภาวะ" แต่การใช้คำกลับใช้ลักษณะของถ้อยวจีซ้ำ จึงทำให้รู้สึกขัดขืนกันอยู่
การเน้นน้ำเสียงหนัก ทำให้รู้สึกถึงการเน้นย้ำ ชักจูงให้โน้มไปในทางตัณหา

คิดพักไว้

สัมมาในแง่หนึ่งอาจหมายถึง เกิดขึ้นเอง

เริ่มจากศีลสังวรณ์
ไปอินทรีย์สังวรณ์
ไปสันโดษ พิจารณาปัจจัยที่เข้ามาซ่องเสพ
ไปสมาธิภาวนา
ไปจิตภาวนา

ครูว่าถ้าในชีวิตประจำวันไม่เคลียร์กิเลสหยาบ แล้วอยู่ๆ มาเข้าคอร์สแบบนั่งกันเกือบทั้งวี่วัน มันกลับกัน เลยผลไม่ได้อย่างเต็มที่ แต่อย่าท้อถอย

ภาวนาให้เหมือนเล่นหมากรุก ล้มก็ตั้งใหม่

ครูว่าหากตัดสินใจเดินเส้นทางนี้ ให้ทำห้องพระเลย รัตนบัลลังก์สำคัญ นั่งตรงไหนนั่งตรงนั้น ไม่ใช่เปลี่ยนที่ไปมาแบบนั้นพลังงานกระจายหมดยิ่งไม่น้อยๆ (เห็นว่าพลังบารมีพุทธคุณที่มากที่สุดอยู่ที่พุทธคยา) พลังงานจากการภาวนาจะคงทิ้งไว้ แล้วจะเป็นตัวดึงดูดเกื้อหนุน ประเภทที่ถ้าทำไปสักพักแล้วจะไม่ทำไม่ได้ ก่อนนั่งอธิษฐานสู้ตายกับมาร คือ ไม่ใช่ว่ามุ่งเอาแพ้ชนะ แต่ขีดเส้นให้ชัดเจนเพื่อเป็นสัญญาคุมจิตไม่ให้หลงทาง

มีพี่คนนึงคล้ายๆ ว่าจิตจะแหย่ๆ เข้าอรูป (หรือรูปฌาน 4 สักอย่าง) แต่ประเด็นคือ ชักเข้าชักออกกลัวๆ กล้าๆ ครูว่ามันเหมือนเข้าไปในที่มืดที่เราไม่เคยไป แล้วสัญญาที่เคยได้ยินมาว่าถ้าไปอิโหน่อิเหน่เดี๋ยวมันบ้าได้ อันนี้มันเป็นวิจิกิจฉาขวางไว้ จึงไม่ข้ามไป ครูว่าจึงให้วิปัสสนาตามประกบติดหลังไปด้วยเสมอ สติต้องมี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจอให้ปักป้ายไว้เลยว่าเป็นสังขารทั้งสิ้น จะสวยงาม น่ากลัว น่าพึงใจ น่าหลงไหล แต่ให้กำหนดรู้ว่ามันเป็นเวทนาปักป้ายเอาไว้เลยว่าไม่พึงกำหนัดยินดี ใช้คาถานี้ตามเป็นหางเข้าไป แต่ถ้าเกิดมัวคิดว่า "กูโดนหลอกแน่ กูโดนหลอกแน่" เช่นนี้จิตจะไม่สามารถก้าวข้ามและพัฒนาต่อไปได้


สัมมากับมิจฉา (ไม่ใช่สัมมา) ตัดกันตรงที่ เป็นที่เกาะเกี่ยวของตัณหา อุปาทานหรือไม่

คำติดใจ

  • วิปัสสนา ไม่ใช่อนุปัสสนา
  • สติสัปปชัญญะ เป็นเหตุแห่งสัมมาสติ
  • คิดฟุ้งซ่าน ต่างกับพิจารณาธรรม หากการคิดนั้นไม่เป็นไปเพื่อการเกิดอุปาทาน ภพ ชาติ อันนี้จัดเป็นโยนิโสมนสิการ 
  • พระพุทธเจ้า รู้จักปฏิจจตั้งแต่เป็นราชกุมารจึงออกบวช?


ไปวัดบางปลากด


5/12/57

เดินเข้าไปในศาลารู้สึกกายใจเงียบสงบดี แต่พอนั่งสมาธิฟุ้งกระจาย รู้สึกเฉยๆ ไม่เดือดร้อนกับความฟุ้ง ลองพยายามทำแบบนู้นแบบนี้บ้างให้หายฟุ้ง ผลก็ฟุ้งอยู่

6/12/57

เช้ามาหิวมากจนคลื่นไส้ เดินจงกรมด้วยความกระอักกระอ่วน ใจไหลไปเดือดร้อนกับกายบ้าง แยกออกมาบ้าง นั่งสมาธิไม่รู้สึกถึงความคิด แต่รู้สึกถึงชาๆ ที่หัว ตอนแรกก็คิดว่าดูความรู้สึกอย่างงี้ไปถูกแล้ว แต่ดูนานๆ แล้วเหมือนโมหะครอบ ออกมามึนๆ เลยเปลี่ยนไปเดินจงกรม ก็เคยชินที่จะดูความรู้สึกชาๆ นี้ ไหลไปทางนี้บ่อย คอยดึงออกมาเรื่อยๆ

ตกกลางคืนฝันร้ายทั้งๆ ที่ปกติไม่ฝัน เด้งขึ้นมานั่งนึกอะไรไม่ออก สวดยันทุนๆๆๆ สักพักจิตรวมหลับ 555

7/12/57

สังเกตุว่าเวลานั่งสมาธิไปได้สักพักจะสัปหงก มันไม่ได้ง่วง แต่ไม่รู้จะเกาะอะไรจิตเลยเหมือนไหลลงรู พอรู้ตัวก็ขึ้นจากรู สลับกันเป็นวงจรง่อกแง่กไปมา เข้าใจว่าคงจะเพราะเคยชินที่จะนั่งสมาธิก่อนนอน คือถ้ามันจะหลับก็ให้มันหลับไปเลย เลยออกมารูปนี้

8/12/57

นั่งสมาธิแบบสัปหงกตามเคย ไม่รู้จะทำไง จิตไม่มีอะไรเกาะ (ลมหายใจมันไม่เย้ายวน 5555 เอาไม่อยู่) สักพักนึงถึงคนคนนึงขึ้นมา จิตก็ไปเกาะคนๆ นั้น พอรูปดับก็ง่อกแง่กใหม่ สักพักไประลึกถึงอสุภะ จิตก็เกาะภาพอสุภะ พอภาพดับก็ไหลลงรูใหม่ จนครูเดินเข้ามาตบมือเข้าที่ข้างหู ฉับพลันเหมือนมีพลังงานซ่านไปทั้งตัว แล้วกายก็ค่อยๆ ตั้งตรงขึ้น ดำรงสติอยู่ สักพักหมดเวลานั่ง แผ่เมตตา จิตยิ่งนิ่งน่านั่งต่อ เกิดความเสียดาย

นั่งรอบสองหลังจากเดินจงกรม เริ่มต้นที่ง่อกแง่กตามสไตล์ สักพักพระเดินผ่าน เสียงจีวร ให้ผลคล้ายๆ กับที่ครูตบมือข้างหูเมื่อกี้ เหมือนตะกอนอะไรถูกตีขึ้นมาทำให้มันตั้งได้ แต่ผัสสะไม่แรงพอ ก็พอดีมีแมลงที่ไหนไม่รู้บินเฉี่ยวหัว เอาเป็นว่าผัสสะสองอย่างนี้รวมกันทำให้กระเด้งตื่นมีกำลังได้ รับรู้ว่าหัวเอียง แต่มันเอียงไปตอนไหนไม่รู้ ความสุขแผ่ซ่านทั้งร่างกาย คอเอียงอยู่ก็ไม่รู้สึกว่าเมื่อย กลับรู้สึกเหมือนหนุนหมอนนอนกลางวันอยู่ แต่หูก็ได้ยินทุกอย่าง จิตไม่แส่ส่าย ดื่มด่ำกับความสุขนั้น ธรรมใดไม่เกี่ยวข้องก็เพิกเลย การใช้ความคิดก็ได้ปกติ แต่ไม่ใส่ใจเอาเป็นจริงจัง เป็นสภาวะ half concious แต่รู้ตัวมากกว่าฝัน นานๆ จะเจอสภาวะอย่างนี้เลยนั่งเอนจอยมันไป สักพักรู้สึกน้ำหนักกดแขนข้างนึงมากกว่าอีกข้างถึงรู้ว่าตัวเริ่มเอียง (ที่แท้ให้เอามือวางหน้าตักเพื่อการนี้เอง 555) ก็สั่งให้ยกกายขึ้น กายก็ค่อยๆ ยกขึ้นเหมือนหุ่นยนต์ นิ่มนวลมากๆ พอบอกให้ตั้งหัวตรง ก็ทำตามทุกอย่าง เชื่อฟังดี นั่งนานเท่าไรก็ไม่เมื่อย กายเบาจิตเบา แต่สักพักยุงกัดง่ามเท้า จิตเลยค่อยๆ ถอยออกจากความสุขอันนั้น โดนกัดอีกก็ค่อยๆ ถอยออกมา นั่งไปจนหมดเวลารู้สึกโดนกัดมากขึ้นเรื่อยๆ เจ็บมาก นึกในใจ เดี๋ยวแบ่งบุญให้ปล่อยก๊อนน~~ ลืมตาขึ้นมา นึกว่าพญายุงกัด ที่ไหนได้ มดเป็นสิบตัวรุมกัดง่ามเท้าอยู่จุดเดียวจนได้เลือด ไม่ให้เรียกเจ้ากรรมนายเวรจะให้เรียกอะไร

9/12/57

ช่วงบ่ายเดินจงกรม เดินมาเดินไป ใจอึดอัด มันตอบตัวเองได้ไม่ชัดว่าเดินทำไม เดินไปใจกังขา แม้จะบอกว่าก็ฝึกรู้สึกตัวไง แต่มันยังไม่ชัด มันก็ใช่ที่ว่ารู้สึกตัวที่หัวทางจงกรมก้อนอึดอัดก็หลุดแป๊บ พอหันมาก็มาแบกเดินต่อมันข้องใจ ใจลึกๆ มันบอกว่าบ้าป่าว ทำไรอยู่ บอกว่าเดินสบายๆ สิ กล่อมไงก็ไม่ได้ผล เลยมานั่งพักเก้าอี้ ถือพัดโบกๆ ไปด้วย นั่งดูรูปพระปฏิมา ใจอิ่มเอม ชื่นชมว่าท่านงามจัง ถามท่านว่า

นิ้ง  "พระพุทธเจ้า เดินจงกรมไปทำไมคะ"
พระพุทธเจ้า (ในมโน) "แล้วหนูเดินทำไมล่ะ"
นิ้ง (อึ้งไปพักนึง แล้วตอบว่า)   "...เหมือนเดินหาอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้อะไร นั่นสิหาอะไร มันจะเอาอะไรก็ไม่รู้ค่ะ อ๋อ หนูอยากนี่นา"
พระพุทธเจ้า (ในมโน) ยิ้มหวาน "ตอนนี้ใจหนูเป็นยังไง"
นิ้ง "สบายแล้วค่ะ"

พบว่าตัวเองเวลาเดินจงกรมนี่เผลอทำงานสองอย่าง คือเคยได้ยินคำว่า "รูปเคลื่อนไหวใจเป็นคนดู" ผลคือ ทำจริงๆ จิตงง ว่าจะดูกายหรือดูใจเป็นอีกส่วนที่ทำให้อึดอัด

หลังจากนั้น ก็มโนพระพุทธเจ้า ยิ่งคุยกับท่านยิ่งเบิกบาน เหมือนปลดล็อคอะไรบางอย่างที่สงสัยแต่เก็บไว้จนลืมว่าสงสัยอะไร แต่กลับผูกเป็นปมทางจิตไว้

ค้นพบว่าพอเมื่อยแล้วมานั่งพัก ความสุขที่แผ่ซ่านกายตอนนั่งพักนี้พาเข้าสมาธิง่ายดี

10/12/57

ก่อนเข้าสมาธิครูให้อธิษฐาน ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ตัวอย่างเช่น ขออาราธนาคุณพระพุทธให้เป็นอิสระจากฐานะทั้งปวง ความเป็นลูก ความเป็นพี่น้อง ความเป็นเพื่อน เป็นอิสระจากนิวรณ์ และทำไปเพื่อการพ้นทุกข์ เป็นการย้ำเป้าหมายเราให้ชัดไม่หลงทาง

ก่อนนั่งสมาธิครูให้ท่องคาถา
เอาสัมมาสติเป็นอารมณ์
ไม่ปล่อยให้อกุศลครอบงำจิต
ระวังความกำหนัดยินดีเพลินในเวทนา
ไม่ว่าเห็นอะไร รู้สึกอะไรล้วนเป็นสังขารทั้งสิ้น
ให้ระลึกให้สลักลงในจิตไปเลยว่าสังขารทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล

วันนี้พี่จิตมาแปลกอาราธนาพระพุทธเจ้ามานั่งเป็นเพื่อน

จับได้ว่านั่งกายนิ่งสักพักจิตจะหมุนตัว ถ้าจ๊ะเอ๋ทันจะหยุดสักพักหมุนใหม่เหมือนเป็นวงรอบทำงาน หมุนเล็กๆ หมุนใหม่ใหญ่กว่าเดิม คราวนี้เหวี่ยงเอากายผงกหัวหงึกๆ ไปด้วย หงึกเล็กๆ เป็นหงึกใหญ่ๆ จนเลิกหงึก ก็เหมือนจะหลับไปเลย แต่ถ้าในช่วงคำนับพระธรรมนี้ได้ผัสสะอะไรสักอย่าง คราวนี้กายจะเหยียดตรงขึ้น แล้วจะทรงอยู่ในสมาธิได้พักใหญ่เลย ครั้งก่อนๆ รอผัสสะภายนอก คราวนี้ ขยับมือกำแบๆ เอาเอง ใช้ได้เหมือนกัน ทรงได้สักพักกำลังตกอีก กำแบๆ ใหม่

ทรงตัวได้สักพักอยู่ดีมีโผล่วูบมาว่าเป็นภาพงานศพแม่ จิตเศร้าหมองไปวูบใหญ่ สักพักรวมกำลังใจว่าหากจริงงั้นการนั่งครั้งนี้ขออุทิศให้แม่ เลยเชิญภาพแม่ขึ้นเหนือศีรษะทำใจให้ผ่องใสนั่งต่อไป อกุศลโผล่มาเป็นระยะๆ รวมทั้งที่จิตไปปรามาสครูไว้ก็โผล่ขึ้นมาเป็นความแน่น ก็เอาความแน่นนั้นควบแน่นออกมายกถวายพระพุทธเจ้าไป (นึกได้ยังไงนะ 555 ทำไมไม่เอาของดีๆ ถวาย) เป็นการนั่งสมาธิที่ดีมาก ไม่ฟินไปเลยเหมือนวันก่อน แต่แจ่มใสและเบิกบาน สักพักใช้หนี้เก่า โดนมดกัดให้หลุดสมาธิอีกตามเคย แผ่บุญให้เจ้าหนี้เขาไป

เดินออกมาจากศาลาภาวนา จิตแช่มชื่น ยินดี ซะจนพูดมาก เหมือนประสบความสำเร็จในการค้นพบเคล็ดลับอะไรสักอย่าง ประมาณว่ารู้แล้วโว้ยต่อไปนี้พอมันจะวูบนะ ก็หาผัสสะเจ๋งๆ ให้มันกระโดดงับเลย

ฟังเทศน์จากพระอาจารย์
ท่านให้ถามตัวเองว่า ตอนนี้จิตยังอยู่ในกายรึป่าว ถ้าอยู่มันทำอะไรอยู่

11/12/57

จากที่เมื่อวานกระหยิ่มยิ้มย่องในการค้นพบ เช้านี้ความไม่เที่ยงแสดงให้เห็นเลย กำแบไม่ได้ผล 5555 นั่งดูโงกหงึกๆ ไป จนปัญญา ทำไรไม่ได้ สักพักพี่จิตก็เมตตา มโนการทำความดีขึ้นมาสักอย่าง น้อมจิตให้เป็นกุศล จึงกอบกู้จิตตนครขึ้นมาได้

ขณะนั่งเห็นแต่คลื่นสั่นสะเทือน นั่งปวดขาก็เห็นความสั่นสะเทือนที่ขาอันนึง สั่นสะเทือนที่ใจอันนึง คลื่นความเจ็บปวดที่ขาอยู่ๆ ก็โผล่มา อยู่ๆ ก็หายไป พลังงานชอบมาโฟกัสอยู่แถวๆ หัว เหวี่ยงซ้ายทีขวาทีอยู่อย่างงั้น

ช่วงที่ทรงตัวได้ดีก็รู้สึกสว่าง สักพักรู้สึกถึงอะไรไม่รู้ดำๆ อยู่เบื้องล่าง หน้าตาคล้ายรังสิ่งมีชีวิตที่ฉีดไปตอนล้างห้องน้ำเมื่อวาน (ซึ่งก็ดูเหมือนไม่มีอะไรอยู่แล้วนา) ไม่รู้ทำไง (จริงๆ คือไม่รู้คืออะไรด้วย) เลยแผ่กุศลให้ไปก็กลายเป็นสีทองแล้วยกถวายพระพุทธเจ้าไป

สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนคราวนี้ที่อยู่วัดคือ ตัณหาในการปฏิบัติที่อยากจะทำให้ได้อะไรขึ้นมาสักอย่างเกิดน้อยมาก ไม่รู้เพราะขี้เกียจรึป่าว 555 แต่ที่ชัดเจนคือ ใจไม่เดือดร้อนกับมรรคผลนิพพาน พ้นไม่พ้นทุกข์อะไรตามที่มันเคยเป็น

ใจที่เปิดเผยได้มันดีมาก

มาวัดคราวนี้เลยทำให้เข้าใจคำว่าราวเกาะของสติ และระลึกขึ้นมาว่าทำไมอนุสติมี 10 อย่าง (นี่อยู่มายังใช้ไม่ครบเลย แล้วถ้าครบแล้วใช้ซ้ำได้รึป่าว)

การดำเนินจากตัณหาไปอุปาทาน
เพราะอยากได้จึงแสวงหา
เพราะแสวงหาจึงได้มาซึ่งของรัก
เพราะได้มาซึ่งของรักจึง...
เพราะ...หวงแหน
เพราะหวงแหนจึงปิดกั้น

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

莫循知错

九爷:陛下。

皇上:这些年来朕一直想见你少、你却避而不见、为何今日要来见朕这个舅父了?

九爷:陛下言重了。莫循久病未愈、实在不便以这残疾之身出入宫廷、还望陛下怒罪。

皇上:既然来了就留在宫中用膳吧。

九爷:莫循今日前来是求陛下赐一道保命符。

皇上:保命符?朕听闻石舫在建安甚至在大漠也遍布势力、怎么还要来求朕。是谁让石舫莫循朕的外甥为难了?


九爷:落玉坊坊主、莘月。

皇上:为卫无忌的女人?

九爷:正是。莫循与莘月是患难之交、我听说她为了一个关外的舞女被关入大牢、如今莘月有孕在身、莫循实在不忍看到她受苦、所以恳请陛下能够赦免莘月。

皇上:我还以为是什么要紧的事。莘月之事乃是內宫之事交由皇后亲自处理、朕不便插手。

九爷:陛下乃是当今天子、若陛下能够赦免莘月、想必皇后也不会为难。

皇上:这天下是朕的、可朕把后宫交由皇后亲自处理、倘若因为你今日求情而赦免了莘月、那皇后在后宫的威信将大大受损。莫循哪、你说这天下是朕的但为什么朕要见你却那么难。

九爷:莫循久病缠身•••

皇上:不要以久病作为推脱。朕知道你志节高远、但是做事要留有余地、要懂得妥协与退让。当日你抗指不来见朕今日来见朕就当知道后果!

九爷:莫循知错。

皇上:罢了。你是朕的外甥、骄纵些也是情有可原。

九爷:恳请陛下能够赦免莘月。

皇上:莘月污蔑太子赵砥、乃是重最岂能轻易赦免。

九爷:•••

皇上:朕这些年一直在与羯族作战对大漠之事倒有所疏忽。你既然对大漠各陪有所了解并且有势力、不妨助朕一臂之力力用你的名声笼络大漠各陪归顺我朝、你意下如何?

九爷:若能免去生灵涂炭、莫循自当尽力而为。shēnglíng tútàn
the people are plunged into an abyss of misery

皇上:好。有你廷句话胜过雄兵十万。

九爷:陛下言重了。莫循只不过是一个商人。

皇上:被大漠称为大善人、你岂止是一个商人那么简单哪。日后常来宫中走走给朕讲讲大漠的事。

九爷:如陛下所愿、莫循岂感推辞。

皇上:莘月的事不是不可赦免、但你总得让朕对后宫有一个交代吧。

九爷:莫循愿亲自彻查此事、一定给陛下和后宫一个合理的交代

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

23/11/57

23/11/57
ตอนเช้านั่งสมาธิที่บ้านนับลมหายใจไปเรื่อยๆ จากเห็นหายใจชัดอยู่แถวๆ ท้อง อยู่ๆ ก็เปลี่ยนมาสนใจอยู่แถวๆ อก รู้สึกถึงความกลัว และความอึดอัดก็นั่งดูไป จนสักพักรู้สึกว่านั่งนานกว่านี้จะกลายเป็นโมหะแล้วเลยเลิก

จิตทั้งวันดูห้าวๆ จะว่ากระด้างรึป่าวไม่แน่ใจ ยังไม่เจอทดสอบ

ตอนเย็นไปนั่งสมาธิที่วัด นับลมได้ไม่ติดต่อเหมือนเมื่อเช้า รู้สึกถึงพลังงานกดที่ไหล่กับแขนซ้าย รู้สึกถึงภาพผู้ชายผมยาวมีหนวดแต่งตัวแบบทาร์ซาน สักพักผุดภาพทารก แล้วก็เป็นผู้ชายคนเดิมในชุดตาปะขาว ฟุ้งซ่านเชียว 5555 พอจะเลิกนั่งก็เหมือนมีพลังงานคายออกไปทางหน้าผาก ลุกขึ้นมารู้สึกว่าจิตห้าวๆ หายไปแล้ว

我要他为我做一件事应该不算难吧


秦湘:这里不是关外大漠、不可能任由你纵横。你敢吗?后果你承担得起吗?

辛月: 今天全都是民女有罪。娘娘我和无忌都不是什么心慈手软的人。
如果嬗儿少一根头发、我就不会让你好过、
如果嬗儿摔倒了、你最好小心你的骈儿、
如果嬗儿有认何不测的话、我绝不会放过你。

秦湘:你不可能做到的。

辛月: 你放心我永远不会泄漏Xièlòu你的身份、永远不会。
但是你得想想你在意的人。无忌现在手握重兵、皇上又那么信任他、我要他为我做一件事应该不算难吧。


恕末将无答案


皇上: 卫将军你有什么意见?

卫无忌:  回陛下、末将没有任何意见

皇上: 那在李达之死这件事上、你认为万谦是对是错?

卫无忌:  李达将军和万大将军在战场上的风采末将都见识过。两位都是一等一的将领。

皇上: 那你支持万氏还是反对万氏?

卫无忌:  回陛下、这个问题末将不是不回答而是对我来说根本没有任何关系。在公、身为南朝子民、能为南朝安定边疆是我的职责和梦想。在私、我只想过自己想过的日子。大臣之间的斗争、我不会主动参与亦不想被迫参与。既不在局内、何来支持和反对。陛下的问题恕末将无答案。 



วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

22 พ.ย.5


22 พ.ย.57

วันนี้ประหลาด

ทั้งวันไม่ได้โกรธใคร โทสะไม่มี ปฏิฆะไม่เห็น แต่ปากผ่าซากมากๆ ไวด้วย ตอนพูดใจเฉยสนิท วาจาห้วนสนิท ฟังใครมาแนวพี่เวิ่นหน่อยเป็นตัดจบผันบทออกเสียไม่ยอมเสียเวลาฟัง หรือลุกไปเข้าห้องน้ำเลย แต่ก็มีรู้สึกอยู่แว่บนึงว่า วาจาเรามันห้วนไปมั้ง อีกฝ่ายหนีเลย ไม่รู้กระเทือนรึป่าว เลยส่งขออภัยสำหรับปากฟ้าผ่าไป กายวาจามันออกคล้ายมีโทสะแต่ใจมันเฉย ทั้งนี้ก็รู้สึกถึงแรงบีบคั้นทางกายบางอย่างที่ทำให้กิริยามันออกรวดเร็วอย่างงั้น 

ตกดึกแหงนหน้าดูท้องฟ้า รู้สึกถึงความติดใจในดวงดาว

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปุริสภาวะ

มันมีจิตบางแบบเกิดขึ้นให้รู้สึกได้ว่า จิตแบบนี้ไม่สามารถดำรงด้้วยอิตถีภาวะได้ มันเป็นจิตแบบพร้อมรับเผชิญทุกอย่างแต่ไม่เหลือที่ให้ใครอยู่ด้างข้าง ขณะที่จิตแบบหญิง เรารู้สึกว่าใันจะเป็นแบบยินดีในการสนับสนุน ยินดีในการเป็นที่สอง เป็นผู้ช่วย ประมาณนั้น

จำเหตุไม่ได้ว่าคิดมาจากอะไร

16 -17 พ.ย.57


16 -17 พ.ย.57
เดินทางมาทำงานต่างจังหวัด 

ระหว่างนั่งรถ ก็เสียบหูฟังเสียงสวดมนต์บ้าง ฟังไฟล์เทศน์บ้าง แต่ใจมีตัณหาเกือบจะตลอดเวลา ด้วยเห็นว่าช่วงนั่งรถเป็นเวลาว่างนาน ไม่อยากจะให้เสียเปล่า ไอ้ความไม่อยากตรงนี้แหละที่ไม่พอดี 

มาต่างจังหวัดคราวนี้ ใจต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด

ครั้งก่อนๆ จะมีจิตอิจฉาบ่อย เพราะงานเราเป็นงานที่ต้องเริ่มก่อน และเลิกทีหลัง ยิ่งหิวยิ่งเหวี่ยงง่าย แล้วก็มีประเภทต้องเจอผู้ใหญ่หลายคน เบื่อทำตัวพินอบพิเทา อยากให้งานรีบเสร็จเวลาผ่านเร็วๆ จะได้กลับบ้าน ถึงกับนับถอยหลังแต่ละวันว่าเหลืออีกกี่เปอร์เซ็นต์ แต่รอบนี้ ใจค่อนข้างนิ่ง เจอผู้ใหญ่ก็เฉยๆ ไม่ได้รู้สึกต้องตัวลีบตัวเล็กอะไร จิตอิจฉาไม่ค่อยเกิด เขาจะพักก่อนก็ดีแล้ว ยินดีที่ผู้อื่นมีความสุข ตัดกระแสอิจฉา ตัดความโอดครวญ ตั้งเอาไว้ในใจว่าจะรักษาประโยชน์เรา (ไม่ทำใจเราให้เสีย) รักษาประโยชน์เขา (ไม่ทำใจเขาให้เสีย) การนับถอยหลังก็ไม่มี ดูพี่จิตเขาเฉยๆ งานจะมาขนาดไหนก็ไม่มีใจแขยงบ่ายเบี่ยง ยังไงก็ได้ ชิวๆ

หลังเลิกงาน คณะพาไปชมวัดริมแม่น้ำ เราก็ไปนั่งรับสายลมริมโขง ด้วยเวลาจำกัด ทั้งๆ ที่บรรยากาศน่าผ่อนคลายมาก แต่ใจกับกังวลอยู่กับเวลา เลยมาเหมือนไม่ได้มา ใจไม่ชิวตามบรรยากาศ เสียโอกาสซะฉิบ

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

10-11 พ.ย.57

10-11 พ.ย.57

โดนตัวอิจฉาเล่นงานเอาทีเผลอ คือมันไปแอบอิจฉาเขาที่แม่งว่างจังวะ ทีกูยุ่งจะตาย เงินเดือนก็เท่ากัน ค่อยๆ เก็บเป็นปฏิฆะเล็กๆ เห็นหน้าแล้วก็ขุ่นเป็นพื้น มีโอกาสจะจิกกัดได้ตลอดจนสองวันก่อนมีเหตุสักอย่างให้วางระเบิดเลยจัดไปกลางงาน เสร็จแล้วก็เซ็งเอง

แต่ได้ข้อดีมาอย่างนึงคือ ได้ตัดผัสสะเด็ดขาด ไม่ยุ่งด้วย ในภาวะเหงา ทำให้หารู้เป็นเพื่อนได้ดีกว่าที่จะปล่อยกาย ปล่อยวาจาฟุ้งซ่านไปตามโลก

การบ้านแบบเป็นทางการ

10-11 พ.ย.57
โดนตัวอิจฉาเล่นงานเอาทีเผลอ คือมันไปแอบอิจฉาเขาที่แม่งว่างจังวะ นั่งโม้ทั้งวัน ทีกูยุ่งจะตาย เงินเดือนก็เท่ากัน ค่อยๆ เก็บเป็นปฏิฆะเล็กๆ เห็นหน้าแล้วก็ขุ่นเป็นพื้น จนมีเหตุเลยบู้มกลายเป็นโกโก้ครั้นช์ เสร็จแล้วก็เซ็งเอง
แต่ได้ข้อดีมาอย่างนึงคือพอเข้าหน้าไม่ติด จิตก็หลบเลยตัดฟุ้งซ่านไปได้พวงใหญ่ ได้งานเป็นชิ้นเป็นอัน แลกกะความเซ็งเป็ดเมื่อเผลอแส่ไปหาเรื่องเขา แล้วก็เหมือนคนเวลาได้แผลจะเคลื่อนไหวจะอะไรก็ระมัดระวังมากขึ้น
กลับบ้านนั่งสมาธิตามไฟล์ในซีดี จิตตามติดได้ค่อนข้างดี พบว่าสมาธิไม่ได้เงียบเชียบ แต่มันก็ไม่ได้วุ่นวาย แต่ก็มีพักที่ว่างหายไป พอออกมาก็พบว่า ต่อให้นั่งสมาธิวันละ 2 ชั่วโมง มันก็ลบล้างความไม่สบายใจจากศีลที่พร่องไม่ได้จ้า
ปล.ขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพค่ะ

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

养身之道

皇后:我最近闲时翻起了医书发现养身之道,想跟妹妹分享一下。

湘夫人:妹妹愿闻其详。

皇后:所谓养生之道最重要的一点就是不要思虑太多,该放手时就放手。

湘夫人:姐姐嘱咐的是。妹妹受教了。

湘夫人:其实妹妹真的很佩服姐姐的容人之量,对过往的事毫无介怀,不跟妹妹计较。

10-11 พ.ย.57

10-11 พ.ย.57

นั่งสมาธิตามไฟล์โพชฌงค์8 จิตตามติดได้ค่อนข้างดี พบว่าสมาธิไม่ได้เงียบเชียบ แต่มันก็ไม่ได้วุ่นวาย แต่ก็มีพักที่ว่างหายไป

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

4 พ.ย.57

4 พ.ย.57

เลิกงานว่าจะไปวัดนั่งสมาธิ เจออาจารย์กลับมาจากกราบหลวงพ่อถาวร เล่าว่าสุขภาพท่านเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ มองแทบจะไม่เห็นแล้ว และการเป็นพระก็ไม่มีลูกหลานดูแลลำบากตรงนี้ เล่าไปถึงว่าปีก่อนท่านลำไส้อักเสบ bleed จนช็อค เข้ารพ.ไปถึง 2-3 ครั้ง

เล่าไปถึงอาการแม่อ.และแม่เพื่อน มะเร็งปอด ไอ 2-3 อาทิตย์ไม่หายสักที และสูงอายุ ไปตรวจก็สงสัยทีบีกับมะเร็งด้วยอายุมากแล้ว มะเร็งมีหลายไทป์ ไทป์บีจะ fluid มาก เพราะเซลล์มะเร็งสร้าง พอจะได้ฤกษ์ไปหาหมอเอ็กซเรย์ดู ปอดก็มักจะหายไปข้างนึงแล้ว แอดมิทเข้ารพ.ทันที อาการต่อมาจะนอนไม่ได้ เพราะน้ำจะเอ่อออกตลอด T_T

ฟังแล้วเกิดมรณานุสติ

พอแยกจากหมอตา เข้าไปศาลา โดนเชิญออกว่าศาลาปิดแล้ว เง้อ เลยกลับมาบ้านก่อนนอนก็นั่งสมาธิ ตั้งใจไว้ว่าไม่ต้องดูเวลาละ ถ้ามีีปัญญานั่งได้ทั้งคืนก็นั่งไป ดูอาการ นั่งได้ประมาณชั่วโมง(กะเอา) ก็นอน

重逢



九爷:建安好玩吗?

月儿:刚到建安就忙着喂饱肚子,后来又整天红姑的园子里,哪儿都没玩过。

九爷:我猜你过得不错,红姑待你一定也好,如今站在这里已经有建安城大家闺秀的样子了。

月儿:我一直就不错,只不过人要衣马要鞍而已。

九爷:是

月儿:我在月牙泉狼狈的样子你是见过的,就不要造捉弄我了,想起来那个时候我过得很好,现在也不错。

九爷:红姑没有为难你吧

月儿:没有没有

九爷:你紧张什么

月儿:谁知道你们这儿什么规矩,万一跟大漠一样动不动就砍人一只手,红姑那样的大美人岂不是可惜了。

九爷:这不是你和红姑之间的个人恩怨这么简单,如果放任不管一定会有人再犯,将来受苦的是那些弱女子。

月儿:红姑已经承诺过我绝对不会再犯,可有两全法子?

九爷:这件事情是交给老吴去做吧,他地下的人出了事,我可犯不着替他去操这份心。

月儿:外面有些冷不如我们到屋子里面坐吧。

----------------------

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

2-3 พ.ย.57

2-3 พ.ย.57

มีเหตุปะทะกะทั่นแม่อีกครา จิตเซ็งไปอีกตามระเบียบ พบว่าพี่มารไม่ปราณีเรยทะลวงแผลซ้ำย้ำแผลเดิม ไม่เป็นสุภาพบุรุษชายสี่บะหมี่เกี๊ยวเลย -*-

- อาศัยการสนทนาได้เพื่อนชี้ว่าเพราะเรามีอัตตาออกไปก่อนทั่นแม่จึงได้เกิดปฏิกิริยาป้องกันตัวขึ้น
- อาศัยปุคลาธิษฐาน + อารมณ์ขัน พูดกะพี่มารเป็นเรื่องเป็นราว ยกจิตตัวยกจิตเพื่อนไปพร้อมๆ กัน

บ้านรก

สนทนากับท่านหน่อยเรื่องการจัดบ้าน บ้านรก ว่ากันไป มีประโยคนึงติดใจ

"เพราะเก็บเละเทะเวลาจะใช้เลยหาไม่เจอ แต่มันอยู่ในนั้นแหละ" 

วาทะท่านหน่อย

เหตุผลจะเนี้ยบขนาดไหนถ้าใส่ด้วยอัตตา ต่อให้เถียงชนะก็แพ้อยู่ดี แพ้เชิงความสัมพันธ์ - วงเวียนใหญ่ 

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

29/10/57

29/10/57 - 31/10/57

โดนบุพการีด่ามา

มีผัสสะใหม่ให้เรียน พบว่าเวลาเสียใจสุดๆ พี่จิตนี่มันจะตัดความรับรู้ไปเลย (เอ๊ะแล้วรู้ได้ไงว่ามันเสียใจ 555) ไม่โมโห ไม่โวยวาย ตอนแรกนึกว่ามันอุเบกขายังนึกใจในว่า ดีแฮะไม่โกรธ เงียบสนิทในภายใน แต่มันเฉยแบบจะทำดีด้วยก็ทำไม่ออก เช่นจะหาวิธีพูดขอโทษ หรือหาวิธีทำให้เขารู้สึกดีขึ้นทำไม่ออก ธรรมฝ่ายกุศลพวกเมตตา หรือปีติงี้หายไปอยู่สุดขอบจักรวาล จะให้ทำชั่วด้วย เช่นตอบโต้กลับ สวนกลับ หรือความคิดจะอธิบายชี้แจงแม้ในใจมันก็ไม่ทำ

กราบพระนั่งสมาธิได้เป็นปกติ สามารถน้อมกุศลตอนกราบพระได้ ในชีวิตประจำวันปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็ได้ตามปกติ อารมณ์ส่วนนี้ไม่รบกวน แต่พอกลับบ้านรู้สึกเหมือนจิตจะพยายาม delete ตัวละครสาเหตุไป ไม่สนใจ ไม่พูดด้วย เลี่ยงผัสสะฝุดๆ แบบผ่าตัดเอาเฉพาะส่วนนี้ออกไปเป็นช่องว่าง ถึงได้รู้ว่าอุเบกขาขี้หมาน่ะสิ

เช้าวันนี้มาตั้งใจว่า กุศลที่เพียรทำมาตั้งแต่วันแม่จะมาโดนเตะตัดขาอย่างงี้เหรอ ไม่เอาอ่ะ เลยปรับกาย วาจาให้ปกติ ใช้กายวาจาน้อมใจให้เป็นปกติตาม น้อมนึกถึงเรื่องที่หลวงพ่ออำนาจเคยเล่าให้ฟังเรื่องพระโพธิสัตว์ฝึกอุเบกขาบารมี การวางใจของท่านระหว่างคน 4 คน ได้แก่ บิดาที่สั่งประหารท่าน, เพชรฌฆาตผู้ลงมือ, มารดาผู้รักท่าน และตัวท่านเอง ท่านสามารถวางใจได้เรียบเนียนเสมอกันหมด แล้วตอนเช้าพอเปิดฟังธรรมทุกประโยคที่ฟังไปก็เกิดปีติ ให้ใช้ปัญญาให้ผ่านไปทีละขณะๆ ไม่ให้เก็บเอาไว้เป็นนิวรณ์ ก่อนออกจากบ้านก็เลยไหว้แม่ก่อนออกมา

ตอนเดินมาทำงานพี่สติพี่ปัญญาที่หายไปชั่วคราวก็กลับมาสอนวิธีคิดน่ารักๆ เช่น หน่อยแน่ะ มารมันเสียบเราไม่ได้มันก็เสียบคนใกล้ตัวเราเนอะ แล้วก็พูดกะพี่มาร(ในใจ)ว่า นี่หลุดได้คราวนี้รีบๆ อนุโมทนาเลยนะ ^_^

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

15-26 ต.ค.57

15-26 ต.ค.57

นั่งสมาธิเช้าเย็น ไปสวดมนต์ที่วัดตามโอกาส สภาวะราบเรียบ ไม่มีผัสสะแรงๆ แต่บางครั้งที่ทำกิจกรรมอะไรซ้ำๆ แบบจังหวะคงที่จะเห็นว่าโมหะแทรกง่ายมาก แล้วก็จะถูกดึง ถูกดูดเข้าไปเรื่อยๆ ก็รีบออกมาไวๆ หันหลังให้ความคิดนั้นทันที บางวันนอนนานไปก็โดนมารเสียบให้หงุดหงิดง่ายก็มี

วันก่อนมีโอกาสได้ดูโขน แล้วรู้สึกว่าศิลปะการแสดงของไทยนี่ดีจัง ไม่มีอารมณ์กระชากไปมาเหมือนกับดูหนังหรือละคร ดูแล้วรู้สึกอิ่ม เสียงคนพากย์จังหวะการหายใจฟังดูคล้ายเสียงสวดมนต์ ดนตรีคนเป่าปี่ก็เป่าได้ละเมียดละไมเหลือเกิน มีจังหวะกลองแล้วก็เสียง "เฮ่ย!!" เรียกสติเป็นพักๆ การเคลื่อนไหวของตัวหนุมานรวดเร็ว คล่องแคล่ว แต่ไม่วุ่นวาย ส่วนนางสีดาก้าวย่างแต่ละก้าวราวกะจะลอยได้ ดูจบมีความสุข ก่อนนอนวันนั้นนั่งสมาธิรู้สึกนั่งได้นาน ขนลุกเย็น มีสติตื่นมากกว่าปกติไม่ง่วงเลย

ช่วงนี้ที่บ้านคุณนายน่ารักขึ้นทุกวัน เรียกได้ว่าไม่มีวันไหนไม่ถามหาเสียงพระเทศน์ บางทีลืมเปิดก็ยังสะกิดให้เปิด สิ่งที่เคยฟังไม่ได้ท่านก็ฟังได้มากขึ้น ไม่มีปฏิฆะต่อการฟังเหมือนเมื่อก่อน บางทีเหนื่อยหงุดหงิดก็มีโทสะหลุดพลั้งปากบ้าง แต่ก็เห็นว่าเกิดสติแล้วหลุดได้เร็ว ไม่บ่นไม่รู้จบเหมือนเมื่อก่อน แซวอะไรก็รู้ทันมากขึ้น

อีกหน่อยสงสัยได้ส่งการบ้านรายปักษ์ 5555

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สังขาราปัจจยา นามรูปัง

1. ลักษณะของมัน ไม่เหม่อ ไม่เผลอ ไม่ล่องลอย ไม่เบลอ ไม่เอ๋อ
2. มีที่ตั้ง
3. มีผลลัพธ์ คือการรักษาให้ปกติ ทีละขณะๆ
4. เกิดจากความจำที่ถูกต้อง


วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

14/10/57

14/10/57

วันนี้เตรียมตัวตั้งสติแต่เช้า คิดแต่เรื่องดีๆ ทำจิตให้สบายๆ เพราะจะเจอผัสสะแบบเมื่อวาน พอไปถึงที่ทำงานก็พร้อม ... ปรากฏเจ้าตัวยังไม่มา รู้สึกแป้กเล็กน้อย ก็ทำงานไปเรื่อย ถึงตอนบ่ายนั่งทำคอมอยู่ พี่แกก็ปรากฏตัว รู้สึกเหมือนมีตะขาบไต่ที่หัวใจขึ้นทันที T_T แต่ยังไม่ทันอะไร นางก็ต้องไปธุระก่อนแล้วบอกเดี๋ยวกลับมาใหม่ พอกลับมาก็ได้คุยกันไม่มาก เพราะเหมือนมีคนอื่นมาช่วยขัดจังหวะตลอดเวลา ราวกับเทวดาช่วยไว้

กลับบ้านนั่งสมาธิก่อนนอน

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

12 - 13 ต.ค.57

12/10/57

ไปกฐินวัดสวนสันติธรรม ต้องออกบ้านแต่เช้าประมาณตีสี่ ได้พี่+เพื่อนก้อยผู้ใจบุญมารับถึงบ้าน แต่คืนก่อนหน้ากว่าจะเสร็จภาระกิจพักผ่อนได้ก็ปาเข้าไปตีสอง เลยเอาวะคืนนี้ไม่ต้องนอนมันแระ นั่งสมาธิรอ ผลคือกรรมฐานคอหัก 5555 ตั้งใจไปจนเสร็จงานกลับจากวัดว่าจะ ไม่เอาไม่หลับ ง่วงขนาดไหนก็จะเรียกให้ตื่น มันก็อยู่ของมันได้ค่ะ มีความทุรนทุรายจะนอนโผล่ประปรายก็ดูไป ระหว่างวันใจค่อนข้างจะอุเบกขา มีปีติตอนระลึกหยอดตู้ทำบุญ

13/10/57

มาทำงาน เจอผัสสะเป็นมนุษย์ขี้เหงา รู้สึกสงสาร เคยเจอกันมาหลายครั้งแล้ว ปกติเขาเล่าอะไรเราก็ฟัง แรกๆ ก็ฟังดี แต่พอเห็นนางเริ่มเวิ่นเว้อ เราก็เริ่มรำคาญ พอรำคาญแบบไปไหนไม่ได้มันก็หลบสายตา เพราะมันรู้สึกเหมือนถูกดูดพลังชีวิตแล้วไม่ชอบ พอเป็นต่อไปเรื่อยๆ คราวนี้เกิดจิตขยะแขยง  555 ปัญญาดับ ทำตัวไม่ถูก คราวนี้การแสดงออกมันก็ไม่อยู่แค่ที่จิตแล้ว เริ่มตัดบทการสนทนา ตามด้วยตัวเองก็รู้สึกผิดที่เหมือนไปมีไมตรีกับเขาไว้แล้วตัดฉับอย่างนั้น ... กลับมานั่งทบทวนตัวเอง นี่หนูควรทำยังไงดีเนี่ย พรุ่งนี้ต้องเจออีกแล้ว เรามันมนุษย์แรงน้อย~~~

ระหว่างที่คิดถึงเขา ใจก็เกิดความขยะแขยงขึ้นมา เลยเลิกคิด เพื่อนก้อยให้ข้อธรรมเสริมมาว่าการคิดถึงความไม่ดีคนอื่นก็เหมือนขับไล่พุทธองค์ออกจากหัวใจ ใช่เลย คาถานี้แหละ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ


วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

8/10/57

8/10/57

เกิดภาวะหิวแบบกินอะไรก็ไม่อิ่ม แปลงร่างเป็นมนุสสเปโต ใจที่ไม่พอนี่ทรม๊าน ทรมาน กลับบ้านสวดมนต์หลายบท พอถึงบทเมตตปริตรรู้สึกดีกว่าบทอื่น

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

6/10/57

6/10/57

ระหว่างเดินทางกลับบ้าน อยู่ๆ ก็นึกถึงเพลงๆ หนึ่งขึ้นมาที่ไม่ได้ฟังมานานแล้ว เพลงนี้ตอนเด็กๆ ติดใจ ฟังทีไรก็เศร้า หดหู่ แต่วันนี้นึกขึ้นมาก็เฉยๆ ไม่อิน ห่างๆ ออกมา แต่เห็นมันรีเพลย์ซ้ำไปมาและมีความรู้สึกว่าขาดอะไรไปสักอย่าง ดูเป็นความพยายามระลึกว่าเดิมมันเคยรู้สึกยังไงเมื่อฟังเพลงนี้

สักพักก็นึกถึงสภาวะเดียวกันที่เจอระยะนี้แต่ด้วยเหตุอื่น มันมีสภาพรีเพลย์ซ้ำแล้วก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรสักอย่างไปเหมือนกัน เลยเทียบว่า อ่อ มันคงเป็นภาวะที่จิตมันพยายามระลึกอะไรล่ะมั้ง แล้วก็เอะใจว่า เดี๋ยวนะ...เราไม่เคยมีเหตุการณ์ให้เกิดสภาวะอะไรแบบนั้นนะจากเหตุที่ว่านี้นะ 555 คิดแล้วขนลุก หลอนตัวเองก็เป็น :P

ตอนเย็นไปสวดมนต์นั่งสมาธิที่วัดปทุม ก่อนนอนนั่งสมาธิ 20 นาที


3-5 ตุลาคม 57

3-5 ตุลาคม 57

ระหว่างวันหรือระหว่างเดินทางเป็นธรรมเสียบหูฟังไปเรื่อยๆ เริ่มเกิดความรู้สึกละอายที่จะส่งการบ้าน เพราะไม่ได้ทำ ไม่มีส่ง ครั้นจะบรรยายสภาวะก็รู้สึกถึงการเจือความคิดอยู่มาก แง ขอโทษค่ะ T_T


5/10/57

5/10/57

วันอาทิตย์ไปฟังธรรม หลวงพ่อท่านพูดถึงไตรลักษณ์ รู้สึกถึงความสั่นไหวของทุกขัง คนทำบุญหน้าตาอิ่มเอิบจริง

มีคำพูดนึงที่เกิดปีติ "ภาวนาไปจะได้ความสุขจากการปล่อยวาง ใหม่ๆ ปล่อยอารมณ์ก็มีความสุข ภาวนาต่อไปจนปล่อยขันธ์ได้ก็จะมีความสุขยิ่งกว่านี้อีก มีแต่พระพุทธเจ้านะที่สอนแบบนี้ได้"

เจอองค์ประกอบที่จะก่อรูปเป็นราคะแระ มันคือ "春" มิน่าจึงต้องพิจารณาอสุภะตัดกัน ให้เกิดเป็นมรณานุสติ พอจิ๊กซอว์ต่อติดแบบนี้ขอให้ระวังกามวิตกไว้

จริงกิเลสมันก็ไม่ได้เกิดง่ายๆ นะ องค์ไม่ครบ ผัสสะไงก็ไม่เกิด เจอสุภะนิมิตทีเดียวได้เรื่องเลย ดูมันหาช่องไปของมันจนได้นะ ราคะเกิดแล้ว รู้สึกราวเป็นแหล่งพลังงานเอื่อยๆ ไม่รู้ว่าจิตจะลงสมดุลของพลังงานองค์รวมรึป่าวเลยออกมาแบบนี้ เนื่องจากเห็นอีกฝ่ายกำลังตก

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

1/10/57

1/10/57

นั่งอ่านบทสนทนาธรรมของเพื่อนสองคน เกิดปีติ ^_^

2/10/57

หลังเลิกงานรู้สึกง่วงนอน คำตัดพ้อน้อยใจไหลมาสารพัด ทำไมชีวิตตรูมันบัดซบงี้ว๊า จะกินไม่ได้กิน จะนอนไม่ได้นอน บลาๆ ก็ดูมันไป เหมือนส่วนหนึ่งมันก็บ่นไป ส่วนกายก็ขยับเคลื่อนไหวไป สงสัยง่วงเกินกว่าจะเอาเรื่องเอาราว เห็นคนใกล้ตัวสภาพไม่ต่างกัน ง่วงแสนง่วงแต่ไม่ยอมนอน เพราะรู้สึกว่าทำงานมาทั้งวันยังไม่ได้เสพอะไรเลย เห็นแล้วสงสารมาก


วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

30/9/57

30/9/57

เช้านั่งสมาธิ ตอนกินข้าวเกิดสติเอง 5-6 แว้บ ระหว่างวันวันนี้หลงเยอะกว่าเมื่อวาน

ได้เวลาช่วงเย็นมาโดยไม่ตั้งใจ จึงไปสวดมนต์ที่วัดปทุม วันนี้สวดไม่ค่อยวอกแวก แล้วนั่งสมาธิต่อ ความคิดเพลิดเพลินเกิดขึ้น มีครั้งที่หลงไป แล้วก็มีครั้งที่มันแยกห่างออกมา

นั่งสมาธิคอหักก่อนนอน

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

29/9/57

29/9/57

การไปกราบครูบาอาจารย์เมื่อวานทำให้สำนึกได้ถึงความจำเป็นที่ต้องให้ใจได้กินอาหาร

ระหว่างวันมีแรงที่จะตั้งสติอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังไม่เป็นอัตโนมัติ มีความคิดระลึกถึงบางเรื่องขึ้นมา แล้วก็คิดว่ามันมีโอกาสกลายเป็นการยึดแบบราคะได้ ใจมีขยาดแหยงๆ ตามเคยชินของมัน แต่รู้สึกถึงความไม่เชื่อมโยงบางอย่างสภาวะอย่างนั้นจึงไม่เกิดขึ้น

สังเกตระหว่างเดินว่าก้มหน้า กับเงยหน้าตั้งกายตรง ใจไม่เหมือนกัน ตอนก้มหน้า แม้ไม่ได้มีความคิดอะไรเป็นคำพูด แต่รู้สึกเหมือนหลุดจากปัจจุบันไปไหนไม่รู้

ได้สนทนากับเพื่อนเนยทางเฟสบุค คุยไปคุยมารู้สึกถึงความอิน ยึด สะดุดกำแพงตัวเอง เลยล้างไพ่ๆ ไปกินข้าวแล้วกลับมาคุยใหม่บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นละเมียดละไมมากขึ้น

ก่อนนอนนั่งสมาธิ แต่หลับป๊อกไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ค่ะ 5555

28/9/57

28/9/57
ได้เพื่อนก้อยเป็นสะพานบุญมาชวน ทำให้ได้ไปกราบครูบาอาจารย์ที่รพ.วิชัยยุทธ ตื่นสายกว่าที่ตั้งใจ แต่ใจก็ไม่เดือดร้อน ทันก็ทันไม่ทันก็ไม่ทัน ไม่ได้ออกบ้านในวันหยุดเช้าขนาดนี้มานานมาก มีโอกาสเห็นคนใส่บาตรก็น้อมใจใส่ไปด้วย การเดินทางมีขลุกขลักนิดหน่อย คลื่นโทสะเกิดบ้าง ก็บอกตัวเองว่า ตั้งใจดีแล้วอย่าให้เสีย ให้สำรวม
ไปถึงรพ. เห็นก้อยเดินไปถวายเครื่องดื่มหลวงปู่ (ตอนนั้นยังงงๆ ว่าอะไรยังไง) หันมองตาม สักพักก็รู้สึกส่งจิตออกนอก ไม่มีประโยชน์ ก็พามันกลับบ้านมาอยู่กับฐาน นั่งสงบอยู่หน้าห้องหลวงปู่ท่อนรู้สึกกระแสดีมาก ว่าง สว่าง สงบ เพียงครู่เดียวก็รู้สึกมีกำลัง สักพักมีคนยกถาดอาหารจะไปถวายหลวงปู่ท่อนแต่เราไม่ได้เข้าไปด้วย น้อมใจถวายตาม เกิดปีติ
ระหว่างรอ ก้อยพาไปกราบหลวงปู่อีกองค์จากอ่างทองที่ห้องใกล้ๆ กัน ได้ถวายปัจจัยท่าน ตั้งอธิษฐาน ตอนกราบท่านเกิดปีติ
นั่งอยู่พักหนึ่งก็เห็นญาติโยมแห่ไปทางห้องหลวงปู่ไดโนเสาร์ เลยได้มีโอกาสกราบและฟังนิทานพุทธประวัติจากท่าน เมื่อท่านเล่าจบญาติโยมทั้งหมดก้มลงกราบ ใจกลับเห็นเหมือนเป็นภาพพระพุทธเจ้าแสดงธรรมแล้วบรรดาภิกษุก้มลงกราบ เกิดปีติน้ำตาไหล
ออกจากรพ.เดินทางไปฟังธรรมหลวงพ่อปราโมทย์ต่อ นั่งสมาธิฟังไปสักพักรู้สึกมืด เลยลืมตา แล้วกระดิกนิ้วเรียกความรู้สึกตื่นตัว ฟังต่อถึงช่วงส่งการบ้านของท่านหนึ่ง เป็นเรื่องกำลังใจในการปฏิบัติ หลวงพ่อเล่าถึงครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ท่านว่าองค์นั้นเล่าว่าท่านนั้นอยู่กับหลวงปู่มั่น องค์อื่นนั้นได้รู้ธรรมเห็นธรรมกันไปหมดแล้วท่านยังไม่ได้ แต่ท่านไม่ท้อหรอกนะจะปฏิบัติต่อไป อีกร้อยชาติก็จะปฏิบัติ หลวงพ่อปราโมทย์ว่าท่านก้มกราบครูบาอาจารย์องค์นี้อย่างเต็มหัวจิตหัวใจ กำลังใจในการปฏิบัติมันต้องอย่างนี้
เกิดปีติน้ำตาไหลพราก
ระหว่างเดินทางไปเรียนช่วงบ่าย ใจก็คิดถึงเรื่องสนุกๆ ขึ้นมา แล้วก็เพลินไปเรื่อย มีจังหวะนึงมันระลึกกลับมาว่า โห.. กำลังที่ไปชาร์จมาเมื่อกี้ สภาวะเมื่อกี้ หายแซบหายสอย ชนิดนึกไม่ออก เอากะมันสิ
พอถึงที่เรียน จะหยิบไอแพดมาเล่น อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าเป็นการใช้เวลาไม่คุ้มกัน ทำใจเสียเปล่าๆ เลยเก็บ แล้วนั่งสมาธิรอเรียนไป
ตอนเย็นไปสวดมนต์ที่วัดปทุม ใจค่อนข้างนิ่ง นั่งสมาธิต่อก็ค่อนข้างนิ่ง จับลมหายใจได้สบายๆ ไม่บีบคั้น สังขารมีบ้างแต่เป็นความเคลื่อนไหวไปมา ไม่ขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราวให้สาวความต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

22-26 ก.ย.57

22-26 ก.ย.57

นั่งสมาธิเช้า - เย็น ไม่เห็นสภาวะอะไรเป็นพิเศษ ตอนเดินไปทำงานก็เสียบหูฟังธรรม หรือบทสวดมนต์ไปเรื่อย กำลังเริ่มตกเพราะไม่ได้ตั้งใจในรูปแบบ ระหว่างสัปดาห์งานเยอะทั้งที่บ้านและที่ทำงาน จิตงอแง ทุรนทุรายอยากจะนอน วกกลับมาเป็นความพร่องในศีลวาจา ด้วยความที่อยากจะให้งานจบตามกำหนด หลายครั้งจะตัดบทสนทนาคนอื่นที่เริ่มเวิ่นเว้อ แต่ไม่ยักตัดบทเวิ่นเว้อตัวเองเรื่องจะนอน :P

จากการทำงานทำให้ได้เรียนรู้ว่า หลายอย่างมันมีจังหวะ มีครรลองตามธรรมชาติของมัน การจะไปเร่งเร้า ก็เหมือนยิ่งดิ้นยิ่งทุกข์ อะไรบางอย่างจะเกินงามไป ครั้นจะตรงข้ามคือไม่แตะไม่ต้องไม่ดูไม่แล โอกาสจะทำอะไรบางอย่างก็จะพลาดไป

จิตในการทำงาน ยังไม่พอดี ยังมีความจับจ้องอยากจะให้บรรลุผลที่ดีที่สุด กลายเป็นใส่ความเครียดเข้าไป แสดงออกเป็นความเค้นในน้ำเสียงกับบางคน เป็นคำพูดอ่อนหวานเกินปกติกับบางคน บางทีก็ขาดกระทั่งความเมตตาต่อตัวเอง ด้วยกดดันว่าควรจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

19-21 ก.ย.57

19 ก.ย.57

มีเรื่องที่ทำงานมาหลายวัน เจออะไรตุกติกยิ่งวิตกหนัก นั่งรถเมล์ไปประชุม แหงนหน้ามองกระจก เห็นหน้างี้แก่ไปเลย รอยพยาบาทมันวาดไปตามคิ้วกะหน้าผาก เลยเอานิ้วดีดๆ นวดๆ ทำสปาหน้าให้กลับมาๆ ดึงทั้งหน้าดึงทั้งใจ

ตกเย็นตั้งใจจะไปสวดมนต์ แต่บังเอิญเจอเพื่อนเสียก่อน เลยไปนั่งสนทนาธรรมกันแทน เล่านู่นนี่นั่นให้ฟัง พบว่าตอนเล่าไป เหมือนตัวเองจะเข้าใจอะไรมากขึ้น จากใจที่ตอนแรกฟุ้งซ่านหน่อยๆ กังวลว่าจะไม่ได้ไปสวดมนต์ ก็เย็นลงเป็นเฉยๆ แล้วก็เบิกบาน ระหว่างมีกระเพื่อมเล็กน้อยเวลาพูดไปแล้วเจออุปาทานจากอีกฝั่ง เซ็งแว้บแล้วก็ปล่อย

20 ก.ย.57

รอวันเสาร์มาทั้งสัปดาห์ (วันคลายเครียด) พอถึงเวลาจริงๆ กลับนิ่งๆ อย่างงั้นๆ ระหว่างวันรู้สึกถึงความยึดในอารมณ์สุข ความอาลัยในความเพลิน แต่ก็รู้สึกว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนจะอินกว่านี้


เช้า 21 ก.ย.57

ตื่นมานั่งสมาธิเช้า เห็นความเพลินในคิดเยอะไม่ตัด เลยเสียบหูฟังธรรมช่วย ฟังไปก็ดูมันค่อยๆ สงบลง จากเป็นเรื่องเป็นราวเป็นคนเป็นภาพ ก็ค่อยๆ ลดลงเป็นเรารู้สึก เป็นความรู้สึก เป็นความสั่นไหว

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

18/9/57

18/9/57

มีข้อให้ต้องตัดสินใจ แต่รู้สึกว่ามันทะแม่งๆ ตุกติกๆ ยิ่งคิดยิ่งเกิดแรงดัน ตัดสินใจตอนนี้ไม่เวิริ์ค ปรึกษาใครก็ยังไม่ได้คำตอบที่สบายใจ ได้แต่คำว่า "ไม่ต้องกังวลหรอก ทำๆ ไปเถอะ ใครๆ เขาก็ทำกัน" สุดท้ายเลยตุัดสินใจว่า ถ้ายังมีแรงดันจะไม่ตัดสินใจ 5555

เอาเรื่องไม่สบายใจไปปรึกษาแม่ แม่ก็เตือนว่าให้มีสติไว้ สักพักก็พูดต่อ "ไอ้คำพวกนี้พูดไปเหมือนง่ายนะ แต่มันต้องอาศัยเหตุปัจจัยอย่างอื่นอีก ใช่ว่าพูดแค่นี้แล้วสติจะเกิดซะเมื่อไร" ฟังแล้วยิ้มเลยค่ะ ปลื้มแม่มีมุมมองของเหตุปัจจัย

เปิดเฟสบุค นั่งสนทนากับเพื่อนก้อยใจก็สว่างขึ้นมา แรงดันหายไป พอนึกใหม่ก็ดันใหม่ หันไปคุยใหม่ก็หาย เลยตัดสินใจได้ว่า ถ้ารู้สึกไม่สบายใจก็ไม่ต้องทำ และเมื่อตัดสินใจแล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องจะต้องไปผิดใจกับใคร Danger is real, fear is a choise

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

การบ้าน 16-17 ก.ย.57

16-17 ก.ย.57

นั่งสมาธิเช้า - เย็น ระหว่างวันมีสติประปราย เกิดดับแล้วผ่าน นึกอะไรขึ้นมาไม่รู้แล้วรู้สึกอาย ก็ลองดูมันไปตรงๆ เดี๋ยวมันก็แผ่วลง มีหงุดหงิด, เครียดเพราะงานเยอะ พอช่วงพักก็ไปนั่งในสวน ใจก็ถูกดูดเข้าไปคิดเรื่อยว่าเดี๋ยวจะทำอะไรต่อ ทำยังไงดี ตอนเย็นเลิกงานไปเล่นโยคะได้ยืดเส้นยืดสาย สติถูกดึงมาอยู่กับกาย แล้วมันก็ว่า เออ ใช่ๆ คิดมากต้องออกมาอยู่กับกาย

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

14/9/57 - 15/9/57

14/9/57

เมื่อวันอาทิตยฺ์ไปกราบหลวงพ่อสมบูรณ์ ได้คำมา 3 คำว่า แนบแน่น มั่นคง หนักแน่น ลองมาพิจารณาลงดูปัจจยาการ แล้วพบว่าจริง สามารถบรรยายได้ทั้งแบบพรรณนาและปัจจยา ดังนั้น ในการพิจารณาปฏิจจะในรูปแบบของ chronological sequence อาจไม่ถูกต้องเสียทีเดียวนัก

15/9/57

การรักษาสมดุลหยิน-หยาง
สองคนกำลังมีส่วนร่วมในเรื่องเดียวกัน ในกรณีนี้ึคือเกิดโทสะในเรื่องเดียวกันแต่เป็นในระดับที่ไม่เท่ากัน สมดุลนี้รักษากันในระดับว่ากันเป็นประโยคแต่ละขณะ คนนึงร้อน อีกคนจะเย็นลงอัตโนมัติ เป็นความขึ้นลงของสมดุลที่ตลกดี

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

การบ้าน 13-15 ก.ย.57

13 ก.ย.57

นั่งสมาธิเช้า ระหว่างวันก็มีจังหวะที่สติเกิดแล้วตัดเร็วหลายช็อตอยู่ อารมณ์เซ็งยังติดใจอยู่ เผลอเป็นโผล่มาหลอก แต่บอกตัวเองว่าไม่ต้องดูแล้วไม่ต้องดู เปลี่ยนช่องๆ

14 ก.ย.57

วันเสาร์ได้ไปเรียนอะไรแล้ว วันนี้จิตมันเก็บมาเคี้ยวต่อเอร็ดอร่อย มันสนุก เพลินในความสนุก แถมมีความกลัวจะยึดด้วย กลายเป็นเกิดสภาวะครึ่งๆ กลางๆ ไม่กล้าสนุก 5555 เลยบอกตัวเองว่าที่กลัวยึดก็ยึดแหละ ยึดไปแล้วต้องฝึกปล่อยให้ไว

ตกเย็นไปสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรมที่วัดปทุม

15 ก.ย.57

เช้า พื้นอารมณ์ไม่ค่อยดี มีเรื่องเครียดสืบทอดมาจากเมื่อคืน + กระแสเครียดคนใกล้ตัวเข้าไป ต้องเตือนตัวเองแต่เช้าให้ "ระวังฟืนไฟ" เดินเอามือไพล่หลัง (รู้สึกมันจะอยุ่กับกายได้มากกว่า) แต่พอเข้ามาอ่านการบ้านคนอื่นในห้องนี้ แล้วโพสต์ส่งการบ้านใจรู้สึกสว่างขึ้นมาเลย

ขอบพระคุณค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

การบ้าน 11 ก.ย.57

11/9/57

นั่งสมาธิเช้า - เย็น

หลังเลิกงานบังเอิญนึกย้อนเรื่องนึง เกิดอารมณ์เซ็งหนัก (แปลกใจที่ไม่พลิกเป็นโทสะ) จากคิ้วเบาๆ เลิกๆ อยู่ รู้สึกถึงคิ้วหนักขึ้นทันทีหางคิ้วตกลงเรื่อยๆ สักพักรู้สึกเหมือนหน้าฉีดโบท็อกซ์ 555 ดูไปสักพักมันก็เฉลียวของมันเองว่า นี่จมอารมณ์อยู่นิ แช่อยู่นี่ก็เพราะสงสัยไปเรื่อยนะ นี่ไม่ใช่ดูจิตนะ นี่ส่งออกนอก มันก็อ๋อว่า ที่เคยได้ยินหลวงพ่อปราโมทย์ว่าดูจิตดูไม่ถูกก็ไม่ใช่วิปัสสนานะ

เช้า 12/9/57

เพิ่งตื่นขึ้นมานั่งสมาธิ อยู่ๆ จิตยังไม่มีความฟุ้งซ่านมากเหมือนยังไม่ตื่นดี อยู่ๆ ก็ผุดเรื่องหนึ่งขึ้นมาแล้วดับไป ผุดอีกเรื่องขึันมาแล้วดับไป เป็นอยู่สองสามครั้ง แล้วก็นึกถึงเสียงหลวงพ่อปราโมทย์ "สัพเพ สังขารา สัพพะสัญญา อนิจจา" แล้วความฟุ้งซ่านแบ็คกราวน์ก็เข้ามา


  • ธัมม ทีโป สาธุ มันมีขณะที่รู้ ที่ได้เห็นธรรมแระ แต่ยังต้องฝึกให้ตั้งมั่น คือธรรมมันมาไวไปไว เพราะกำลังของเราไม่พอ แป้บเดียวฟุ้งซ่านเข้ามาได้แล้ว ก็ไม่เป็นไร ให้ทำไปเรื่อยๆ ขยายความรับรู้ไปเรื่อยๆ ขยายชั่วขณะที่เป็นสมาธิ สังขารยังไม่ตื่นมาทำงาน ให้ฉวยโอกาสนั่งสมาธิเจริญสติให้ต่อเนื่อง ต่อเวลาไปเรื่อยๆ
    12 hrs · Unlike · 3
  • ธัมม ทีโป จะชี้ให้เห็นว่า ถ้าเราพิจารณาธรรม ด้วยขณิกสมาธิมันจะเป็นแบบนี้ คือพอสติกับสมาธิพอดีกัน เราเห็นการเกิดดับ ของสังขาร ความคิดปรุงแต่งได้ อย่างชัดเจน หนึ่งขณะ สองขณะ สามขณะ แล้วเกิดสัญญาธรรมผุดสอน รองรับสภาวะที่ได้เห็น อันนี้คือกระบวนการในการวิปัสสนา แต่ว่ามันยังไม่นานพอที่จิตจะเห็นจนแจ้ง ก็ถูกนิวรณ์แทรกแล้ว
    12 hrs · Unlike · 3
  • ธัมม ทีโป คนที่เขามีสมาธิมากอีกหน่อย อุปจารสมาธิ ก็จะพิจารณาได้นานกว่านี้ โดยมีนิวรณ์มารบกวนได้เบาบาง สำหรับผู้ที่ได้อัปปนาสมาธินั้น กำลังที่ตั้งมั่น มันสามารถตั้งได้นานพอ จนกระทั่งจิตหมุนเต็มรอบ เขาถึงบรรลุธรรมกันได้แบบ "อาสนะเดียว" เขา ที่ว่านี่คือระดับพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เราอ่านๆ มา
    12 hrs · Unlike · 3
  • ธัมม ทีโป ถ้าไม่ชอบแนวสมถะ ทำสมาธิได้ไม่นาน ก็ใช้เจริญสติ คือจิตที่มีสติตั้งมั่น อยู่กับรู้ ก็จะไม่สนใจแบคกราวด์ จะพุ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่งที่เรากำหนดพิจารณา จนกระทั่งเรารู้ได้ตลอดสาย แบบนี้ก็ได้ รู้ต่อเนื่องตลอดสาย จนเราแจ้งในสภาวะนั้นๆ อ้อ.. แบบนี้ก็ได้
    12 hrs · Unlike · 3
  • ธัมม ทีโป หรือแบบที่ว่า เราแบ่งเวลาทำสมถะสวดมนต์ยาวๆ เติมกำลังก่อน พอจิตมีกำลังก็มั่นคง พอเราออกมา บางทีเราอยู่นิ่งๆ ก็เกิดสภาวะแบบที่น้องเล่ามาเนี่ย นั่งล้างจานอยู่ก็เกิดได้ ตื่นนอน เดินๆ อยู่ ก็เกิดได้ อันนี้เพราะผลที่จิตเขาตั้งมั่น เมื่อธรรมเขาพร้อม เหตุปัจจัยพร้อม ก็ "เห็นสภาวะธรรม" คือ วิปัสสนานั่นเอง
    12 hrs · Unlike · 3
  • ธัมม ทีโป เห็นก่อน คือเห็นปรากฏการณ์ แล้วจึงมีสัญญาธรรมรองรับ อันนี้คือ วิปัสสนา บางครั้งเห็นแล้ว แต่เห็นโดยไม่มีสมมติรองรับ รู้แต่ไม่รู้ว่ารู้อะไร อันนี้เป็นการเห็นระดับจิต ไม่อาศัยสัญญา ก็เป็นวิปัสสนาอีกเหมือนกัน
    12 hrs · Unlike · 3
  • ธัมม ทีโป แต่ถ้าคิดจากสัญญา หรือเอาธรรมมาขบคิดพิจารณา จัดว่าเป็นสุตปัญญา ไม่ใช่ภาวนามยปัญญา
    12 hrs · Unlike · 2
  • ธัมม ทีโป คุณภาพในทางธรรม จะมีกำลังน้อยกว่า ภาวนามยปัญญา แต่ถ้าทำบ่อยๆ ต่อเนื่อง วันนึงก็อาจทำให้เกิดภาวนามยปัญญา ได้เช่นกัน คือดีกว่าไม่ทำ แน่นอน แต่ที่ครูอาจารย์สอนให้ภาวนาเพื่อให้เราได้สัมผัสกับภาวนามยปัญญาบ่อยๆ ท่านปรารถนาให้ศิษย์รู้จริง มากกว่ารู้จำ จ้ะ
    12 hrs · Unlike · 3