เห็นธรรมะคือเห็นปฏิจจสมุปบาท
เห็นความเป็นเหตุเป็นปัจจัยอาศัยกันและกันเกิดขึ้ัน
ไม่ได้ไปเห็นความไม่มีตัวไม่มีตน
นิ่งๆ โล่งๆ อะไร
คำว่า อนัตตาไม่ใช่ไม่มีอะไร
ความหมายคือ มีเมื่อมีเหตุ ไม่มีเหตุก็ไม่มี
จึงเรียกว่าอนัตตา
อนัตตาคือ ไม่มีอะไรนิ่งๆ ถาวร
สมัยก่อนเห็นชัดๆ ก็เช่น แสวงหาความเป็นอมตะ
สมัยนี้ก็เช่น แก่แล้วไปทำสาวอยู่นั่น
อันนี้เป็นความไร้เดียงสาฝ่ายรูป
การแสวงหาจิตให้สงบตลอด
นิ่งตลอด ดีตลอด
ว่างตลอด ไม่มีกิเลสตลอด
ให้สามารถเห็นไม่มีตัวไม่มีตนตลอด
อันนี้ก็เป็นความไร้เดียงสาฝ่ายนาม
เราปฏิบัติเพื่อละความเห็นผิด และละความยึดมั่นถือมั่น
ความรู้สึกว่ามีตัว มีตน มีเรา มีเขา
ก็เกิดจากตัณหาบ้าง
มานะบ้าง
ทิฏฐิบ้าง
เป็นไปตามกระบวนการปฏิจจ.
พอเข้าไปเห็นความจริงขึ้นมาว่า
อ้อ พอเข้าไปยึดสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมา
จึงเกิดมี "เรา" ที่สำคัญเช่นนี้ขึ้น
เราจึงไม่มี
มีเมื่อกระทบผัสสะ
เมื่อผัสสะก็รู้สึก
เมื่อรู้สึกก็ชอบใจ
เกิดตัณหาทะยานอยากของจิต
เกิดจริงจังเกินเหตุ เป็นอุปาทาน
เห็นเป็นกระบวนการอย่างนี้
ไม่มีตัวตนจริงในที่ไหน
อย่างนี้เรียกเห็นธรรมะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น