นักปฏิบัติชอบไปทำท่าเหมือนพระอริยะ
เช่น
คุณสมบัติพระโสดาบัน คือศีล 5 บริบูรณ์
เราก็ดันไปนึกว่า ถ้ารักษาศีล 5 ได้สมบูรณ์
จะได้เป็นโสดาบัน
การปฏิบัติ "ไม่ได้" ทำกลับข้างอย่างนี้นะ
หรือ
คุณสมบัติพระอนาคามี คือ หมดกามราคะ ปฏิฆะ
บางคนก็พยายามไม่มีราคะ พยายามไม่มีปฏิฆะ
ก็คงจะได้เป็นพระอนาคามี
ตัณหาพอมันอยากเป็นก็ชอบกลับข้างอยู่เรื่อย
หรืออีกตัวอย่าง
ไปรู้ว่าคุณสมบัติพระอรหันต์คือ มีสติสมบูรณ์
ก็ไปพยาย้าม พยายาม ปฏิบัติให้สติสมบูรณ์อยู่นั่น
ข้ามโสดาบันไปเสียฉิบ
ทำกลับข้าง
ไม่ทำตามลำดับ
ไม่ศึกษาโดยการรู้จักตนเอง
พอเห็นความเป็นจริงตามอริยสัจ
สังโยชน์จึงจะถูกละ
ไม่ใช่ละสังโยชน์ก่อน
เห็นตามความเป็นจริงก่อน
สังโยชน์จึงถูกละ
ศีลจึงสมบูรณ์
ไม่ใช่ไปทำศีลให้สมบูรณ์ก่อน
เราชอบไปทำแบบนี้
สลับขั้นตอน
ก็อาจจะเพราะเรียนมาแบบนี้ด้วยล่ะ
"ชอบรักษาดี"
แต่ลืมไปว่า "ชั่วยังไม่ได้ละ"
อันนี้ยังใช้ไม่ได้
เช่นว่า เราอยากจะคิดให้มันดี
ก็ทำความดี ให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิ ว่าไป
รักษาภพสวรรค์ ถ้าไม่ดีแตกก็ได้ไปสวรรคล่ะ
แต่ไม่ปิดอบาย
ความหมายคือ นรกยังอยู่
ฝึกแบบนี้ คือ
รอวันดีแตก เละตุ้มเป๊ะเหมือนเดิม
วิธีการแบบพระพุทธศาสนาคือ
ละฝ่ายไม่ดี
เมื่อละฝ่ายไม่ดี
ก็จะเหลือแต่ฝ่ายดี
ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์นะ
ปฏิบัติเพื่อรู้อริยสัจ
พอรู้ว่ามันไม่ดี การละเป็นเรื่องของมันเอง ตามธรรมชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น