วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สมาบัติ

อากาสานัญจายตนะนี่ไม่ใช่ฌาน เป็นสมาบัติ
คือแต่เดิมเอานิมิตของรูปเป็นอารมณ์
ก็เข้าลำดับไปตามความแนบแน่น ไปจอดที่สูงสุด อุเบกขา เอกัคคตา

ทีนี้เปลี่ยนอารมณ์
เอาอารมณ์กรรมฐานยกออกไป ทิ้งซะนี่แน่ะ
ยกไปก็เหลือแต่ความว่างไม่มีที่สุด
ฌานเท่าเดิม เปลี่ยนตัวเข้า เปลี่ยนตัวที่จิตไปอยู่

จึงเรียกสมาบัติ ไม่เรียกฌาน
ฌาน แปลว่า เพ่งอารมณ์เผากิเลส (หมายถึง เผานิวรณ์)
ซึ่งมันก็เผาได้ 4 ชั้น

นามธรรมนี่
เวทนาอุเบกขา ละเอียดสุดแล้ว ไม่มีละเอียดกว่านี้
สังขารเอกัคคตา ก็ละเอียดสุดแล้ว ไม่มีละเอียดกว่านี้
ในด้านสมาธิมีเท่านี้สูงสุดแล้ว
แต่ถ้าในฝั่งวิปัสสนา ปัญญาจะสูงสุด

เมื่อเปลี่ยนอารมณ์จึงเรียกว่าสมาบัติแทน
สมาบัติ หมายถึง เครื่องอยู่ สิ่งที่ให้จิตเข้าไปอยู่
ส่วนสมาบัตินี่เยอะแยะแล้วแต่จะเอาอารมณ์อะไรมา "แปะ" ให้จิต
อรูปสมาบัตินี่ ไม่เรียกฌาน เพราะเป็นฌาน 4 อยู่แล้ว เปลี่ยนแต่อารมณ์

คำว่า สมาบัติ เหมือนเอาจิตมาเข้าถ้ำให้มันอยู่
คือถ้าจิตไม่มีที่อยุ่มันก็กระโดดดึ๋งๆ เพ่นพ่านไปมา
จับมันมาเข้าถ้ำ เข้ารู ถ้ำที่ว่าก็กรรมฐานนี่แหละ
ถ้าอยู่ได้ก็เรียก สมาบัติ - สมมติอยู่ได้ ปฐมฌาน ก็เรียก ปฐมฌานสมาบัติ

นิมิตรูปฌานนี่ก็ไม่ใช่ของจริง
แต่มาจากของจริง
ทีนี้พอเพิกนิมิต
ก็เป็นความว่างไม่สิ้นสุด

ความว่างนี่เป็นบัญญัติ
เป็นความคิดขึ้นมาเฉยๆ

พอว่างไปหมด
มันจะว่างยังไงก็ต้องมีตัวรู้
ก็ย้อนมาดูตัวรู้ความว่าง

ดูข้างนอกก็เป็นความว่าง
ย้อนมาก็มาดูตัวรู้
ดูครบสองอันนี้แล้วมันก็ไม่มีอะไร
เมื่อรู้จักความว่าง รู้จักจิตแล้ว มันก็ไม่มีอะไร

การรู้สึกว่าไม่มีอะไรนี่ ก็มีแต่ความว่าง กับจิต
และน้อมเข้าไปสู่ความไม่มีอะไร
ไม่มีอะไรแม้แต่นิดเดียว
(ซึ่งก็เป็นบัญญัติอีกชนิดนึง)

แต่การรู้ว่าไม่มีอะไร
มันก็น่าจะมีอะไร 5555
ไอ้นี่ เนวสัญญาฯ

คือ มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่
หมายถึง ถ้าจะว่าไม่มี มันก็ไม่น่าจะรู้อะไรเลย
แต่ตอนนี้ก็รู้ว่ามีอะไรด้วยนะ
แต่ว่ารู้ว่ามันไม่มีอะไร 55555

ถ้าเป็นพระอริยะก็เข้าอยู่ 'ผลสมาบัติ'
ไปเข้าอยู่กับนิพพาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น