ความเป็นหนึ่งแห่งจิตนี้เรียกว่าสมาธิ
ถ้าซัดซ่าย กระโดดไปมาตามอารมณ์ 6 นี่เรียกไม่มีสมาธิ
ความเป็นหนึ่งแห่งจิต
ใจก็อยู่ตรงนี้แหละ ไม่ไปสนใจที่อื่น
สนใจอยู่ที่เรียนนี่แหละ
ไม่ได้หมายถึงอยู่ที่เดียว
คืออยู่เรื่องเดียว อยู่ในวงนี้แหละ แล้วแต่พิจารณาอะไรอยู่
เช่น เห็นรูปทางตา ใจก็ยังอยู่กับตัวเอง ไม่ฟุ้งไปทางนั้น
ยินเสียงทางหู ใจก็ยังอยู่กับตัวเอง ไม่ซัดส่ายซอกแซก
เรียกจิตอารมณ์เป็นหนึ่ง
คือเห็นหมานี่ เราก็รู้ว่าเป็นหมา แล้วใจอยู่กับตัวก็ได้นะ อย่างนี้คนมีสมาธิ
ถ้าไม่มีสมาธิ เห็นหมา ก็เป็นหมาไปด้วย 5555
ฟังเสียงนี่ ฟังเสียงชมเสียงด่า ก็ยังอยู่กับตัวเองได้
ยังรู้สึกถึงตัวเองหายใจเข้า-หายใจออก หรือทำกรรมฐานอย่างอื่นก็อยู่กับฐาน
แต่ก็รับรู้เหมือนกัน แต่ใจมันไม่ไปทางโน้น
รับรู้แต่ใจไม่ไปตาม
ถ้าแนบแน่นมากๆ ก็อาจรับรู้ทวารเดียวก็ได้ อันนี้คือเข้าลึก
ถ้าเข้าไม่ลึก ก็สามารถรับรู้อารมณ์ภายนอก อายตนะทำงานปกติหมด แต่ใจเป็นหนึ่ง
ถ้าแนบแน่นขึ้นไป บางอายตนะก็หยุดทำงาน เหลือแต่ทางใจ เช่นพวกเล่นนิมิต พวกทำอรูปฌาน
และแม้ใจก็มีอารมณ์เยอะแยะ แต่เขาก็รับรู้แต่กรรมฐานของเขา
พวกอรูปนี่ ไม่ได้หลับนะ ตื่นเต็มที่ ยังหมายรู้ ยังมีสัญญา แต่การรับรู้ทางอื่นตัด
เหลือแต่ทางใจ และทางใจนี่ก็เหลือแต่กรรมฐาน
อะไรเป็นสมาธินิมิต
อะไรเป็นเครื่องบอกว่าเป็นสมาธิ
สติปัฏฐาน 4 เป็นนิมิตของสมาธิ
หมายถึงเป็นเหตุของสมาธิ
จิตมันมาโคจรอยู่ในวงกาย - ใจนี่ อันนี้เป็นนิมิต
มาอยู่กับตัวเอง อารมณ์ก็จะเริ่มเป็นหนึ่ง
สมาธิบริขาร
ตัวประคับประคองให้มันอยู่
สัมมัปปธาน
เป็นสมาธิบริขาร
เป็นตัวหนุนให้สมาธิตั้งอยู่นานขึ้น
เพียรปิดกั้นอกุศล
อะไรดูแล้ว เห็นแล้ว ฟังแล้วกิเลสเยอะ ไม่ต้องไปยุ่ง
สมาธิเจริญได้อย่างไร
จะทำยังไงให้สมาธิมันเยอะขึ้น คือสมาธิเป็นผล
ไม่ได้ไปเจริญตัวสมาธิตรงๆ
การทำให้สมาธิเจริญคือ "ทำเยอะๆ 5555"
ทำให้มันคุ้น ทำให้มันเคย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น