มีสมาธิ หมายถึง มีอารมณ์หลักอยู่อันนึง
เช่นสนใจในเสียงฟังธรรม
จะมีเสียงก๊อกแก๊กบ้างก็ไม่ได้ใส่ใจ
เอกัคคตาไม่ได้หมายถึง นิ่ง ค้าง เติ่ง
เข้าใจว่าได้สมาธิต้องเป็นอย่างนั้น
อันที่จริงแค่อารมณ์ปรากฏขึ้นก็เรียกว่า "มีสมาธิ" แล้ว "มีสติ" แล้ว
ไม่ใช่ว่ามีสติจะต้องมีต่อเนื่องให้ได้ทุกก้าว ไม่หลุดเลย ไม่พลาดเลย
ไม่งั้นถือว่าไม่มี ... (อันนี้โง่แล้ว)
คืออันนี้ไม่ใช่ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ แต่ไม่มีญาณ (แปลว่าทำไปโดยไม่รู้)
ญาณจึงสำคัญ จะทำอะไรต้องทำด้วยความรู้
เอกัคคตาแห่งจิต นี่ทำให้รูปนามปรากฏขึ้นมา
ความคิดเป็นความคิดปรากฏขึ้นมา
ลมหายใจเป็นลมหายใจปรากฏขึ้นมา
ความง่วงเป็นความง่วงปรากฏขึ้นมา
ถ้ามีญาณก็ง่าย คือไม่ต้องถึงกับลึก ไม่ต้องถึงกับนิ่ง
อารมณ์ก็ปรากฏได้แล้ว
การปรากฏของอารมณ์ก็เป็นสิ่งบ่งบอกถึงว่า จิตมันเป็นสมาธิ "พอใช้" แล้ว
ท่านนิยมสอนให้ทำสมาธิ "พอใช้"
คือสมาธินี่เป็นไปเพื่อยถาภูตญาณทัสสนะเท่านั้น
ความคือ ถ้าเกินนี้ คือ "เหลือใช้"
ผู้ปฏิบัตินี่ ถ้ามัน "พอใช้" พอดีรู้สึกน้อยๆ ชอบกล
ถ้า "เหลือใช้" นี่ก็เอามา "คุย" มันดี มันนิ่ง สงบ อย่างนู้นอย่างนี้
แต่ของพระพุทธเจ้าท่านสอนแค่ "พอใช้"
พอใช้ คือแค่เห็นรูปนามตามความเป็นจริงก็ใช้ได้แล้ว
เห็นความคิดเป็นความคิด
เห็นความฟุ้งเป็นความฟุ้ง
ที่มาแล้วก็ไป ... เท่านี้ ใช้ได้แล้ว
เหมือนมีเงิน ประโยชน์ของเงินคือมาซื้อข้าวกิน
ทำงานกินเงินเดือนทุกวันนี่เรียกมีหรือไม่มีเงิน?
ไม่ใช่ว่า "มีเงิน" ต้องมีระดับบิลเกตส์ อันนี้เรียก "เหลือใช้"
พวกเราติดนิสัย ต้องมีนั่นนี่แบบเหลือใช้
พอไม่มีญาณ (ไม่รู้ว่าเท่านี้ก็พอแล้ว) ก็เลยนึกว่าไม่มี
ว่าเอาเองว่าไม่มีสมาธิ มั่วไปนู่น
ต้องนิ่งเป็นวันๆ ต้องใจไม่กระเพื่อม ต้องไม่รับรู้...อันนี้....แล้ว !!
แต่ถ้าของพระสมาธิแค่ไหนพอ?
พระนี่ไม่มีเครื่องบันเทิงใจอะไรเลย ถ้าไม่มีสมาธิเยอะหน่อย
เดี๋ยวไปเห็นโยมมีนั่นมีนี่ ถ้าเริ่มไม่มีความสุขนี่ แปลว่าสมาธิไม่พอ
พอใช้แต่ละคนไม่เหมือนกันนะ
เบื้องต้นเท่านี้พอ
ถ้าระดับสูงขึ้นไปสมาธิก็ต้องมากขึ้น
ถ้าปัญญาสูงสุด สมาธิก็ต้องสูงสุด ประมาณนั้น
ท่านสอนแบบพอใช้
ให้มีความรู้นำหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น